“เออ! ตามใจก็แล้วกัน แต่จำไว้ด้วยว่าพอหย่ากันแล้ว เธอก็คือคนอื่นสำหรับนาย ตัวนายเองก็เป็นคนอื่นสำหรับเธอด้วยเช่นกัน ฉะนั้น ไอ้เรื่องที่นายทำเมื่อสามวันก่อนอย่าให้เกิดขึ้นอีก” นี่คือเหตุผลที่เมธัสรับปากเรื่องเงินสิบล้าน ในเมื่อเขาเป็นทนายส่วนตัวของเชษฐ์ เรื่องแบบนี้ก็ต้องรู้ไว้ เผื่ออนาคตมีอะไรเกิดขึ้น จะได้แก้ไขทันเวลา เพราะว่าการรักษาผลประโยชน์ของลูกความเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
เมื่อถึงวันต้องลงนามในเอกสาร คุณมนฤดีก็ส่งรถมารับพิมาลาเหมือนวันที่พาเธอมาส่ง พอเห็นเจ้าของร่างบอบบางน่าทะนุถนอมลงจากรถมาแล้ว ดวงตาที่ทอดมองก็พลันแดงก่ำขึ้นมา
“หนูเพียง” คุณมนฤดีทั้งกอดทั้งหอม
“คุณป้า” พิมาลาซุกหน้าลงกับอกของท่าน พยายามคลี่ยิ้มทั้งๆ ที่ยิ้มไม่ออก เพราะรู้ดีว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เธอกับลูกชายของคุณป้าก็จะหย่าขาดกันแล้ว ถึงตอนนั้นก็หวังว่าคุณลุงกับคุณป้าจะยังคงให้ความเมตตากับเธอ และเธอเองก็จะทำหน้าที่ตอบแทนพระคุณของท่านทั้งสองให้ดีที่สุด
สองป้าหลานกอดกันอย่างเข้าอกเข้าใจ คุณเชิดมองภาพนั้นแล้วก็หันไปพูดกับทนายที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม
“เมธ เจ้าเชษฐ์มันจะไม่เปลี่ยนใจจริงๆ ใช่ไหม”
“คงไม่แล้วครับ” เมธัสตอบตามตรง “แต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือครับ คุณเพียงจะได้มีความสุขไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับผู้ชายที่ไม่มีหัวใจอย่างนายเชษฐ์อีก” พูดออกมาแล้วเมธัสก็ยิ้มแหยๆ เพราะที่เขาพูดถึงคือลูกชายเพียงคนเดียวของคุณเชิด “ขอโทษที่ผมพูดตรงๆ นะครับ”
เชิดตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ “ช่างเถอะ ลุงก็เห็นด้วยกับเมธนั่นแหละ”
ทั้งสองยิ้มบางๆ ให้กัน กว่าคุณมนฤดีจะพาพิมาลาเข้ามาในห้องรับแขกเวลาก็ล่วงเลยนัดหมายมาเกือบสิบนาทีแล้ว ตอนนี้คนจะเป็นอดีตแม่สามีดวงตาแดงก่ำ ขณะที่สีหน้าของอดีตลูกสะใภ้มีแค่เพียงความเรียบเฉย แต่เมธัสกลับมองเห็นความฝืนทนผ่านแววตาของเธอชัดเจน คล้ายกับว่าถ้าผ่านวันนี้ไป บางทีพิมาลาอาจไม่เซ็นใบหย่าก็เป็นได้
เมื่อทุกคนมากันพร้อมหมดแล้ว เมธัสก็รีบนำเอกสารออกมาแจกแจงให้พิมาลาฟัง จนกระทั่งบอกว่าเชษฐ์มอบเงินให้สิบล้านหญิงสาวถึงได้ส่งคืน
“เช็คสิบล้านนี้ เพียงไม่ขอรับนะคะ ฝากคุณทนายคืนคุณเชษฐ์ด้วยค่ะ”
“หนูเพียง”
คุณมนฤดีทักท้วงทันที “รับไปเถอะ ป้าว่านี่มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ เจ้าเชษฐ์ควรจะจ่ายให้หนูสักร้อยล้านถึงจะถูก”
พิมาลาส่ายหน้า “เพียงไม่ต้องการเงินของเขาจริงๆ ค่ะคุณป้า”
“แต่...”
“ถ้าคุณป้าไม่สบายใจ เพียงรับก็ได้ค่ะ แต่ฝากคุณป้าไว้ก่อนนะคะ เอาไว้ลำบากจริงๆ ค่อยรบกวนคุณป้านะคะ” “แต่...”
“เพียงไม่อยากรับเงินของเขาจริงๆ ค่ะ” เพราะภายในใจลึกๆ รู้ดีว่าเงินที่เขาให้มันมีความหมายว่าอะไร ดังนั้นแทนที่จะดีใจเธอกลับรู้สึกคล้ายถูกตบหน้า สามคืนก่อนเขานอนกับเธอ พอหย่ากันก็จ่ายเงินให้ ที่ไม่นับว่าเงินก่อนนี้เป็นค่าเสียตัวของเธอหรอกหรือ
พิมาลายิ้มขมขื่น น้ำตาแทบจะไหลลงมาอยู่แล้ว แต่เพราะกลัวคุณลุงกับคุณป้าที่รักเอ็นดูจะไม่สบายใจ ดังนั้นต่อให้ในอกเจ็บปวดแค่ไหนก็ต้องฝืนทนอยู่ดี
เอกสารแผ่นแล้วแผ่นเล่าถูกลงชื่อจนหมด จัดการแล้วก็ได้แต่ก้มหน้าซ่อนความอุ่นร้อนที่เห่อขึ้นตามขอบตาเอาไว้ กว่าจะทำใจคุยกับทนายได้ก็ใช้เวลาเกือบห้านาทีเลยทีเดียว
“เรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ”
“ครับ” เมธัสรับคำเสียงเรียบ “เรื่องใบหย่า ถ้าเรียบร้อยผมจะขอพบคุณเพียงอีกครั้งนะครับ”
“ได้ครับ”
“ถ้าอย่างผมขอตัวก่อนนะครับ” เมธัสกล่าวลากับเจ้าของบ้าน แต่ก่อนออกไปก็อดเอ่ยกับพิมาลาไม่ได้จริงๆ “ขอโทษแทนนายเชษฐ์ด้วยนะครับ”
พิมาลามองเขาแล้วฝืนยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ความจริงฉันผิดเอง...ผิดที่ก้าวเข้ามาในชีวิตของคุณเชษฐ์ ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ”
เมธัสมองพิมาลาด้วยสายตาชื่นชม “น่าเสียดายแทนนายเชษฐ์นะครับ เสียดายที่มันกล้าปล่อยคนดีๆ อย่างคุณเพียงไป ต่อไปนี้หวังว่าคุณเพียงจะความสุขนะครับ ผมเอาใจช่วย”
“ขอบคุณค่ะ” พิมาลายิ้มให้ด้วยใจจริง รอยยิ้มของเธอทำเอาเมธัสชะงักงันไปเล็กน้อย สุดท้ายก็ได้แต่ยิ้มเก้อๆ พลางโบกมือลา
พอทนายกลับไปแล้ว พิมาลาก็เดินกลับไปหาคุณลุงกับคุณป้า พอเห็นหน้าเธอ นายหญิงของบ้านก็ถึงกับแผดเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาไม่หยุด ท่าทางแบบนั้นทำเอาหญิงสาวต้องพุ่งเข้ากอดเอวของท่านไว้แน่น “คุณป้าอย่าร้องเลยนะคะ ถึงเพียงจะหย่ากับคุณเชษฐ์แล้ว แต่กับคุณป้าเพียงยังคงรักเคารพเหมือนเดิมนะคะ คุณป้าจะเป็นคุณป้าของเพียงตลอดไป เพียงจะมาหาคุณป้าบ่อยๆ จะไปเที่ยว ไปกินข้าว ไปช้อปปิ้ง ไปกับคุณป้าในทุกๆ ที่เลย ดังนั้นอย่าร้องไห้นะคะ เพียงรักคุณป้านะ รักคุณป้าเหมือนแม่ของเพียง”
“โธ่...หนูเพียงของป้า” คุณมนฤดีทั้งกอดทั้งหอม เช็ดน้ำตาให้พิมาลาไม่หยุด แต่สุดท้ายทั้งสองคนก็กอดกันร้องไห้อยู่ดี สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำเอาคุณเชิดทนมองไม่ไหวจนต้องเดินออกจากห้องไปด้วยตาแดงๆ เช่นกัน หนำซ้ำยังเอาแต่โทษตัวเองอีกด้วย ที่หนูเพียงต้องทุกข์ใจขนาดนี้ มันเป็นเพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาด ถ้าหากยอมส่งพิมาลาไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่สามปีก่อน แก้วตาดวงใจของเพื่อนรักเพื่อนสนิทที่สุดอย่างพิพัฒน์ก็คงไม่เป็นเช่นนี้ เธอคงไม่เจ็บปวดเพราะต้องแต่งงานกับลูกชายใจดำของตัวเอง
“ขอโทษนะเพื่อน เจ้าเชษฐ์ลูกชายของฉันมันโง่เอง...มันโง่เองที่ปล่อยลูกสาวของแกไป แต่แกอย่าห่วงเลยนะ ไม่ว่าหนูเพียงจะเป็นสะใภ้ของฉันหรือไม่ ฉันก็จะดูแลหนูเพียงแทนแกไปตลอดชีวิต ชาตินี้ฉันกับเมียจะทำหน้าที่พ่อกับแม่หนูเพียงแทนแกกับคุณกานดาเอง ฉันสัญญา”
พูดสิ่งที่อัดอั้นตันใจออกมาแล้ว ใช้เวลาปรับสภาพจิตใจเพียงไม่กี่นาที สีหน้ากับแววตาของประมุขแห่ง นามวรพันธ์ก็กลับมานิ่งสงบเช่นเดิม ราวกับคนอ่อนแอเมื่อครู่นั้นเป็นแฝดผู้น้องก็ไม่ปาน
พิมาลาอยู่พูดคุยกับป้ามนนานพอสมควรถึงได้ขอตัวไปเก็บกระเป๋าที่บ้านรอง พอก้าวเข้ามาในห้องที่เคยอยู่มาสองปีก็อดที่จะมองภายในห้องอย่างสิ้นหวังไม่ได้ ห้องนี้คล้ายกับเป็นทุกสิ่งทุกอย่างทั้งเพื่อน ทั้งที่พักพิง ทุกๆ ความทรงจำของเธออยู่ในห้องนี้ทั้งหมด แต่สุดท้ายวันที่ต้องออกจากความทรงจำก็มาถึง
หญิงสาวลงมือเก็บกระเป๋า เลือกเอาเสื้อผ้ากับของใช้ที่จำเป็นไม่กี่อย่าง ส่วนที่เหลือคงต้องขอร้องคุณป้าจัดการให้
กว่าจะเก็บของเรียบร้อย พระอาทิตย์ก็คล้อยต่ำลงเต็มที พิมาลาจึงรีบร้อนหิ้วกระเป๋าออกมาจากบ้านก่อนที่ใครบางคนจะเลิกงาน ทว่าคงเป็นความโชคร้ายของเธอเพราะยังลงมาไม่ถึงบันไดขั้นสุดท้าย เชษฐ์ก็เดินผ่านประตูใหญ่เข้ามาซะก่อน
พิมาลาชะงักงันเล็กน้อย มือบางนุ่มข้างที่หิ้วกระเป๋ากระชับแน่นจนชื้นเหงื่อ แข้งขาที่ยืนนิ่งคล้ายจะอ่อนแรงลงทุกที
“คือฉัน...” กลั้นใจกัดปากสั่นๆ เพื่ออธิบายกับเขา ทว่าเชษฐ์กลับเดินเลยผ่านขึ้นไปยังอาณาเขตส่วนตัว คล้ายกับมองไม่เห็นพิมาลายืนอยู่ตรงนั้นเลยสักนิด สิ่งที่เขาทำส่งผลให้ร่างเล็กๆ ของหญิงสาวโงนเงนเจียนล้มลงกับพื้น โชคดีที่มืออีกข้างยังคงคว้าจับราวบันไดเอาไว้ได้ แต่กว่าจะขยับตัวอีกครั้งเธอก็ต้องยืนนิ่ง สูดหายใจลึกยาวเข้าปอดอยู่นานทีเดียว นานจนแสงสุดท้ายของวันลาลับขอบฟ้าไปแล้ว มันช่างเหมือนกับชีวิตของเธอที่ตอนนี้มืดมนจนแทบมองไม่เห็นแสงสว่างใดๆ อีก