พิมาลาไม่อยากมอง ไม่อยากฟังถ้อยคำรุนแรงของเขาอีก จึงค่อยๆ ประคองร่างกายอ่อนกะปลกกะเปลี้ยไปยังห้องน้ำแล้วขับตัวเองอยู่ในนั้น หนนี้เธอปล่อยให้น้ำเย็นๆ ไหลกระทบเรือนร่างไม่หยุด เผื่อว่าน้ำเย็นๆ พวกนี้จะช่วยชะล้างสัมผัสของเขาที่ประทับตราตรึงอยู่ในเรือนร่างให้จางหายไปบ้าง ทว่าภายในใจลึกๆ พิมาลารู้ดีว่าต่อให้ล้างทำความสะอาดไม่ว่าจะใช้ครีมอาบน้ำยี่ห้อใด ก็ไม่มีทางลบร่องรอยของเขาที่ติดอยู่ในหัวใจได้เลย
เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง หญิงสาวถึงค่อยๆ ก้าวออกจากห้องน้ำ ร่างกายของเธอซีดเซียวเพราะเปียกปอนนานเกินไป เนื้อตัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าสั่นระริก ริมฝีปากซีดขาวแต่ก็มีบางจุดแดงก่ำเพราะถูกเจ้าตัวขบกัด แต่ดูเหมือนคนเป็นเจ้าของจะไม่สนใจต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเลยสักนิด เพราะตอนนี้ใบหน้าเรียวรูปไข่ที่ซีดขาวราวกับกระดาษนั้นกำลังเชิดหน้าขึ้น เร่งฝีเท้าไปหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่ เธอสวมมันต่อหน้าต่อตา ราวกับเขาเป็นอากาศธาตุที่ลอยวนไปวนมาเท่านั้น
เชษฐ์เองก็ใช้เวลาที่พิมาลาอาบน้ำ สวมใส่เสื้อผ้าเช่นกัน เขาปรายตามองนาฬิกาที่บ่งบอกว่าอยู่ในช่วงตีสามครึ่งเล็กน้อย
ถึงจะดึกสงัดจนล่วงเข้าวันใหม่ เชษฐ์ก็ยังอดทนนอนบนเตียงหลังที่มีกลิ่นกายของคนบางคนไม่ได้จริงๆ ดังนั้นก่อนที่เขาจะหายใจไม่ออก จำเป็นต้องพูดกับเธอให้รู้เรื่อง
ชายหนุ่มทิ้งแผ่นหลังแนบพนักพิงอีกครั้ง ทว่าท่าทางในยามนี้ดูสง่างาม สูงส่ง หล่อเหล่าไร้ที่ติ แต่ในสายตาของ พิมาลานั้นกลับเป็นเพียงผู้ชายนิสัยไม่ดีคนหนึ่งเท่านั้น
“อีกสามวันเข้าไปเซ็นใบหย่าที่บ้านด้วย ฉันจะให้ทนายเตรียมเอกสารไว้”
“ค่ะ” กัดปากรับคำ
เชษฐ์เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ตั้งใจว่าจะพูดแค่นี้ก็จากไป แต่พอเห็นเตียงยับๆ แล้วก็อดเอ่ยปากขึ้นมาไม่ได้ “เธอแน่ใจนะ ว่าไม่ต้องการค่าเลี้ยงดูใดๆ จากฉัน”
“ฉันไม่ต้องการอะไรจากคุณ...ไม่ต้องการอีกแม้แต่อย่างเดียว” คำแทนตัวของเธอเปลี่ยนเป็นห่างเหิน คล้ายกับเป็นแค่คนแปลกหน้า เมื่อเขายังจ้องมองก็พยายามคลี่ยิ้มให้ “ขอบคุณนะคะ อิสรภาพนี้ฉันจะรักษามันไว้เป็นอย่างดี”
“ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มสบมองดวงตาว่างเปล่าของเธอนิ่งนาน “ฉันเองก็ต้องการอิสรภาพเช่นกัน”
พิมาลาไม่พูดอะไรอีก ทำเพียงก้าวออกจากห้อง ฝืนขยับไปข้างหน้าทีละก้าวๆ ทั้งๆ ที่พลังกายพลังใจกำลังจะหมดลงแล้ว เดินไปข้างหน้าแทบไม่ได้ ตอนนี้สายตาของเธอเริ่มรางเลือนลงทุกที แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นก็ยังฝืนทนจนถึงที่สุด
เชษฐ์มองคนที่พยายามทำตัวให้เข้มแข็งเล็กน้อย ก่อนจะเป็นฝ่ายก้าวออกจากบ้านหลังนี้ด้วยตัวเอง เพียงรถของเขาแล่นจากไปก็คล้ายกับว่าพิมาลาไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปแล้ว เธอทิ้งร่างลงกับพื้นอย่างน่าสมเพช ไม่รู้จริงๆ ว่าควรแบกรับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไรดี ตอนวันแต่งงานเธออยากเข้าหอ อยากมีอะไรกับเขาตามที่สามีภรรยาควรทำร่วมกัน อยากเป็นภรรยาที่ดี ทำงานบ้าน ทำกับข้าว ดูแลทุกอย่างของเขา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือหลังพิธีการช่วงเช้าเจ้าบ่าวก็หายไป ไม่มาเข้าหอ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น สามีของเธอหายออกจากบ้านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ พอกลับเข้ามาก็ประกร้าวห้ามเธอเข้าไปในห้องทำงานของเขา ห้ามล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตส่วนตัว
เธอกลายเป็นเพียงเมียที่มีชื่อในทะเบียนสมรสเท่านั้น เขาไม่เคยให้โอกาสเธอทำหน้าที่ภรรยา และเขาเองก็ไม่เคยทำหน้าที่สามีเช่นกัน
เธอกับเขาอยู่บ้านเดียวกันคล้ายคนแปลกหน้า ความเป็นจริงแล้วเธอรู้ดีว่าเชษฐ์เกลียดเธอยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือนซะอีก แค่เขาทนให้เธออยู่บ้านหลังเดียวกันถึงสองปีก็ถือว่าเหนือความคาดหมายมากแล้ว
พิมาลายิ้มทั้งน้ำตา แล้วปล่อยให้ตัวเองนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น กระทั่งเช้าตรู่นั่นแหละถึงได้ประคองตัวเองเดินไปหยิบโทรศัพท์โทร.หาคุณป้ามนฤดีด้วยเสียงที่บังคับไม่ให้สั่น
“คุณป้าคะ”
“หนูเพียงเป็นอย่างไรบ้างลูก” เพราะรู้ดีว่าลูกชายไปบ้านพักตากอากาศ คุณมนฤดีจึงอดกังวลไม่ได้ “หนูไม่เป็นไรใช่ไหมลูก”
พิมาลากลั้นสะอื้น ทั้งๆ ที่ในอกท่วมท้นไปด้วยน้ำตา “เพียงไม่เป็นไรค่ะ...เพียงสบายดี”
“เจ้าเชษฐ์ไปที่นั่นใช่ไหมลูก”
กัดปากสั่นๆ แล้วบอกออกมา “คุณเชษฐ์มาที่นี่ค่ะ เขาตกลงหย่าให้แล้ว เห็นว่าจะให้ทนายเตรียมการให้เสร็จสิ้นภายในสามวันค่ะ”
“สามวันหรือลูก” คุณมนฤดียกมือทาบอก สีหน้าดูซีดเซียวมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าทำไมพอได้ยินแบบนี้แล้วก็อดเจ็บหน่วงๆ ในหัวใจไม่ได้ ไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าความพยายามทั้งหมดจะมาจบสิ้นลง แต่พอนึกถึงร่างเล็กๆ ของ พิมาลากับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มขาวราวกับทำนบแตกนั้น นางก็ได้แต่ปลงตก “ดีแล้วลูก หนูพักผ่อนอยู่ที่นั่นเถอะนะ เรื่องอื่นๆ ป้าจะจัดการเอง หนูได้ใบหย่าแน่นอนลูก”
“ขอบคุณค่ะคุณป้า” พิมาลาพูดได้เพียงแค่นั้นก็รีบเปลี่ยนเรื่องแล้ววางสายด้วยความรีบร้อน เธอกลัว...กลัวว่าถ้าคุยกับคุณป้ามนนานเกินไป เรื่องที่เธอนอนกับลูกชายของคุณป้าจะไม่สามารถเก็บเป็นความลับได้อีก และถ้าหากว่าเผลอพูดออกมา เชื่อแน่ว่าคุณป้ากับคุณลุงไม่มีวันปล่อยให้เธอหย่าขาดกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนง่ายๆ แน่ ดังนั้นเรื่องนี้จะต้องเป็นความลับที่ถูกฝังไปพร้อมกับเธอ จะไม่มีใครบนโลกรู้เรื่องนี้อีก
แต่น่าเสียดาย แม้ใจจะเข้มแข็งแค่ไหน ทว่าร่างกายบอบช้ำกลับไม่สามารถทนได้อีกแล้ว ในที่สุดเธอก็ทรุดลงกับพื้นแล้วนิ่งสนิทอยู่อย่างนั้น จนคนดูแลบ้านอย่างป้าวาดเข้ามาพบเข้านั่นแหละถึงได้พาเธอส่งโรงพยายามใกล้เคียง
ความร้อนอกร้อนใจทำให้ป้าวาดคนดูแลบ้านอยากโทร.รายงานนายใหญ่ ทว่าพิมาลาที่อยู่ในอาการสะลึมสะลือกลับห้ามเอาไว้
“ทำไมไม่ให้ป้ารายงานคุณผู้หญิงละคะ”
“อย่าเลยค่ะ” พิมาลาฝืนยิ้ม “ตอนนี้ถึงโรงพยาบาลแล้ว ให้พักสักหน่อยก็ดีขึ้น เพียงไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“โธ่...เมื่อวานยังดีๆ อยู่เลย แล้วทำไมเช้านี้ถึงได้อ่อนแอแบบนี้คะ ดูสิซีดเซียวหมดแล้ว”
“เพียงแค่นอนไม่หลับเองค่ะ” พิมาลายิ้มบอกคนเป็นห่วงเป็นใยแต่พอหมอคุยด้วยเธอกลับได้แต่ก้มหน้าก้มตาลง เพราะไม่ว่ายังไงร่างกายของเธอมันก็ปิดบังหมอไม่ได้อยู่ดี
นายแพทย์เจ้าของไข้ในวัยสามสิบสองปีอย่างสุริยะ สุวรรณพิสุทธิ์ มองคนไข้สาวด้วยแววตาเห็นใจอยู่บ้าง “ให้หมอแจ้งตำรวจไหมครับ”
คำถามของเขาทำเอาพิมาลายิ้มจืดๆ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่เป็นไรจริงๆ”
“แต่ร่างกายของคุณ มัน...”
“เขาเป็นสามีฉันค่ะ”
คุณหมอสุริยะพูดไม่ออก เขาทำได้เพียงสอบถามอาการของเธอเพิ่มเติมแล้วจ่ายยาให้ หลังจากนั้นก็สั่งให้เธอนอนพักอยู่โรงพยาบาลอีกวันก่อนจะปล่อยตัวกลับบ้านไป
แม้ว่าช่วงนั้นจะยังมีคำถามติดอยู่ในความสงสัยของนายแพทย์มากมาย ทว่าสุดท้ายแล้วกลับไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก
เขาคิดว่าเธอเป็นแค่คนไข้คนหนึ่ง ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป คงไม่มีโอกาสได้พบกันอีก พิมาลาเองก็คิดเช่นนั้น แถมยังหวังอยู่ลึกๆ ว่าอย่าให้เธอโชคร้ายต้องพบหน้ากับคุณหมอเจ้าของไข้อีก เพราะว่าเขาเป็นอีกหนึ่งคนที่รู้ความลับของเธอ