“เกิดสิ่งใดขึ้น เจ้ามู่ดื้อดึงกับเจินเอ๋อร์อีกแล้วหรือ” เจ้าสี่ขาแสนรู้ เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของตนจึงรีบวิ่งหนีห่างออกไป ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนหมอบและใช้สองตาจับจ้องมองดูเพื่อนเล่นของตนที่นั่งอยู่ในตักของนายสาวของจวน
“ไหน เล่าให้น้าฟังซิเจินเอ๋อร์ ว่าเจ้ามู่มันทำสิ่งใดให้เจ้าโกรธเคือง”
“ก็เจินเอ๋อร์จะเอาผักให้เจ้ามู่กิน แต่เจ้ามู่มันกลับวิ่งหนีไปเจ้าค่ะ” เสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยฟ้องก่อนจะยกสองแขนเล็กขึ้นกอดอกพร้อมกับทำหน้ายู่ยิ่งกว่าเดิม สายตาเฝ้าจับจ้องมองไปทางเจ้าตัวสี่ขาที่นอนหมอบมองดูนางอยู่เช่นกัน สายตาของหนึ่งคนหนึ่งสัตว์มองสบกันก่อนที่เจ้าซาลาเปาก้อนน้อยในตักของหยาเฉียนจะหันหนีอย่างแง่งอน เรียกเสียงหัวเราะจากหญิงสาวเจ้าของตัก จนอดไม่ได้ที่จะต้องก้มลงไปฟัดหอมแก้มย้วยๆแสนน่ารักนั้นอย่างหมั่นเขี้ยว
“คิกๆๆ ท่านน้าจั๊กจี้เจ้าค่ะ อิอิ” ร่างกลมหัวเราะคิกคักไปพลางบิดกายหนีอาวุธร้าย ที่สร้างความจั๊กจี้ให้ตนอย่างจมูกงอนของผู้เป็นน้าไปพลาง ทำให้เจ้ามู่ที่นอนหมอบมองอยู่ถลันกายลุกวิ่งเข้ามาเล่นด้วยอีกครั้ง จนเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของหนึ่งซาลาเปาก้อนกลมและเสียงเห่าของหนึ่งสุนัขดังลั่นไปทั่วบริเวณนั้น
“อร่อยหรือไม่เจินเอ๋อร์” หลังจากเสร็จศึกแห่งการกอดรัดฟัดเหวี่ยง ฮูหยินแม่ทัพก็สั่งให้บ่าวนำของว่างมาเพิ่มพลังให้เจ้าซาลาเปาน้อยที่หัวเราะเสียจนเจ็บคอ
“อร่อยเจ้าค่ะ ขนมที่ท่านน้าทำอร่อยที่สุดในโลกเลยเจ้าค่ะ” ซื่อเจินรีบกลืนขนมลงคอแล้วจึงเอ่ยชมด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันกลับไปสนใจขนมในมือต่อ ปล่อยให้ร่างบางนั่งอมยิ้มมองใบหน้าน่าเอ็นดูที่มีปากนิดจมูกหน่อยอีกทั้งดวงตาดำขลับรับกับใบหน้ารูปหัวใจบ่งบอกถึงเค้าโครงความงามเมื่อโตขึ้น ที่อาจจะเหนือกว่าผู้เป็นมารดาขึ้นไปอีกนั้น ทำให้นางปรารถนาอยากจะให้ชีวิตของซาลาเปาน้อยตรงหน้ามีแต่ความสุขตลอดไปเหลือเกิน แต่ชีวิตคนเราก็ใช่ว่าจะได้ดั่งใจตน หากฟ้าลิขิตเอาไว้แล้วว่านางจะต้องเกิดมาเพื่อเป็นผู้ที่อยู่เหนือคนทั่วไปมันก็คงจะต้องเป็นเช่นนั้น แต่เอาเถิดในเมื่อฟ้าลิขิตมาถ้าอย่างนั้นนางนี่หละที่จะเป็นคนเตรียมความพร้อมให้เด็กน้อยผู้นี้ นางจะไม่ยอมให้สองแม่ลูกต้องประสบเคราะห์กรรมเช่นนั้นอีกแล้ว
“เจินเอ๋อร์ เจ้าอยากฝึกเพลงดาบหรือไม่” เมื่อเห็นเด็กน้อยกินจนอิ่มหนำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หยาเฉียนจึงเอ่ยถามขึ้น
“ฝึกเพลงดาบหรือเจ้าคะ” ร่างเล็กทำท่าครุ่นคิดก่อนจะทำตาโตเมื่อนึกถึงสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้
“ใช่ฝึกเพลงดาบเหมือนกับพี่อาฉวนหรือปล่าวเจ้าคะ แล้วถ้าฝึกแล้วเจินเอ๋อร์จะไปกับพี่อาฉวนได้ใช่มั้ยเจ้าคะ” เด็กน้อยเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้นเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า พี่ชายผู้นั้นก็ฝึกเพลงดาบเช่นกัน
“ใช่ ฝึกเหมือนกันกับพี่ฉวนของเจ้านั่นหล่ะ เช่นนี้ดีหรือไม่” เมื่อเห็นว่าร่างเล็กตรงหน้ามีท่าทางดีใจหญิงสาวจึงยิ้มอย่างอ่อนโยน มือเรียวยกขึ้นลูบลงบนศีรษะเล็กเบาๆอย่างเอ็นดู พลางนึกไปถึงบุตรชายทั้งสองของตน’เยี่ยเฉิน’และ’เยี่ยฉวน’ วัยแปดหนาวและหกหนาวที่ตอนนี้อยู่ทางใต้ของเมืองเพื่อฝึกปรือวิชาเพลงดาบประจำตระกูลเยี่ยกับผู้เป็นปู่ที่เป็นแม่ทัพประจำการอยู่ที่นั่น
ซึ่งทั้งสองพี่น้องพึ่งได้เดินทางกลับไปยังไม่ถึงเดือนหลังจากที่กลับมาเยี่ยมนางและเยี่ยหัวผู้เป็นบิดา และเจ้าซาปาน้อยซื่อเจินก็ติดเยี่ยฉวนบุตรชายคนเล็กของนางยิ่งนัก ตลอดระยะเวลาสองเดือนที่ทั้งสองอยู่ที่นี่ เด็กน้อยแทบจะไม่ห่างกายพี่ชายคนเล็กของนางเลย กระทั่งยามนอนนางยังขอหอบผ้าห่มไปนอนด้วย จนเมื่อถึงวันที่ทั้งคู่ต้องกลับไปร่างเล็กก็งอแงขอติดตามไปด้วย จนเยี่ยฉวนต้องให้สัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมบ่อยๆนางจึงได้หยุดร้องและบอกว่าจะตั้งหน้าตั้งตารอ
“ถ้าอย่างนั้นเรารีบไปฝึกกันเถิดเจ้าค่ะท่านน้า เพราะถ้าพี่อาฉวนกลับมาเจินเอ๋อร์ก็จะได้ไปด้วยได้” ว่าพลางฉุดแขนผู้เป็นน้าของตนให้ลุกขึ้นก่อนจะวิ่งนำหน้าไปยังด้านหลังของจวน ที่ๆเอาไว้ใช้ในการฝึกซ้อมของคนในบ้านอย่างกระตือรือร้น
“ข้ามเมืองข้างหน้านี้ไปก็จะถึงเมืองสู่เหิงแล้วเจ้าค่ะ” ร่างบางกล่าวกับผู้เป็นบิดา ยามนี้ขบวนเดินทางของพวกนางใกล้จะถึงที่หมายแล้ว หลังจากที่ได้พลังปราณจากบุตรสาวช่วยชุบชีวิตให้ฟื้นคืนกลับมา ม่อหนี่ก็ใช้เวลาในการพักรักษาตัวอยู่นานหลายเดือนจนกระทั่งหายดีจึงได้ฝากฝังบุตรสาวไว้กับหยาเฉียน ส่วนตนนั้นตั้งใจออกเดินทางกลับมาหาบิดาเพื่อจะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังเพื่อจะช่วยกันหาทางหนีทีไล่ แต่ไม่นึกว่าตนจะต้องใช้เวลาออกตามหาบิดาและเหล่าบรรดาญาติพี่น้องอยู่นานนับเดือน เพราะทุกคนต่างก็กระจัดกระจายหนีหายไปกันคนละทิศคนละทาง ด้วยถูกคนชั่วผู้นั้นสั่งให้คนมาตามหานางที่นั่นด้วย แต่พอไม่พบตัวนางก็พาลทำร้ายผู้บริสุทธิ์จนผู้คนล้มตายไปมากมาย บิดาของนางจึงต้องพากันอพยพหนีไปอยู่ที่อื่น
เมื่อได้พบหน้ากันและเล่าสู่กันฟังถึงในเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงตัดสินที่จะตามนางกลับมายังเมืองสู่เหิงแคว้นฉู่นี้ด้วย เพื่อที่จะหาลู่ทางในการตั้งรกรากอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ต้องพากันรอนแรมไปทั่วทุกทิศเพื่อหลบหนีคนของอ๋องแปดผู้นั้น ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อ’ม่อหยวน’ผู้เป็นบิดาได้รับรู้ถึงความพิเศษของหลานสาวของตน เขาจึงตั้งใจที่จะสร้างรากฐานอันมั่นคงไว้ให้นาง ด้วยเพราะยามที่ได้รับรู้ถึงความโหดร้ายที่ชายผู้นั้นกระทำต่อบุตรสาว เขาก็แทบจะทะยานกายออกไปล้างแค้น แต่ก็จนใจที่คนผู้นั้นมีอำนาจในมือที่ไม่อาจดูแคลน เขาจึงได้แต่เก็บความแค้นเอาไว้และตั้งใจจะวางรากฐานอันแข็งแกร่งให้บุตรีและหลานสาวเอาไว้ใช้ในการปกป้องตนเองหากคนผู้นั้นตามมารุกรานอีกครั้งในวันข้างหน้า
เมื่อขบวนรถม้าขนาดกลางมาถึงจุดหมายคือจวนแม่ทัพสกุลเยี่ย ม่อหนี่ก็โผล่หน้าออกมาบอกกล่าวกับทหารที่ทำหน้าที่เฝ้ายามอยู่หน้าจวน ก่อนจะได้รับอนุญาตให้เคลื่อนขบวนรถม้าเข้าไปด้านในได้ เมื่อร่างบางลงมายืนยังพื้นดินแล้ว สองหูก็พลันได้ยินเสียงวิ่งของร่างเล็กที่ดังออกมาจากด้านข้างของจวนรับรอง
“ท่านแม่ๆท่านกลับมาแล้ว” เสียงร้องเรียกอย่างดีใจดังขึ้นมาพร้อมกับร่างเล็กๆที่อยู่ในชุดกางเกงที่ดูทะมัดทะแมงวิ่งเข้ามาหา ในมือเล็กมีดาบไม้ขนาดของเด็กที่นางใช้ในการฝึกติดมือมาด้วย รอยยิ้มงดงามผุดขึ้นบนใบหน้าของหญิงสาวพลางอ้าสองแขนออกรับร่างกลมนั้นที่วิ่งมาซุกอกอย่างดีใจ
“เจินเอ๋อร์ของแม่ เจ้าเป็นยังไงบ้าง แม่ไม่อยู่เจ้าเป็นเด็กดีหรือไม่”
“เจินเอ๋อร์เป็นเด็กดีเจ้าค่ะท่านแม่ ดูสิเจ้าคะตอนนี้เจินเอ๋อร์กำลังฝึกเพลงดาบกับท่านน้าด้วยเจ้าค่ะ” ร่างเล็กยิ้มกว้างยกดาบไม้ในมือขึ้นอวดมารดาอย่างปลาบปลื้ม เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากกลุ่มคนที่ลงมายืนมองดูบทสนทนาของสองแม่ลูก
“ขอบใจเจ้ามากนะอาหยา ท่านพ่อ นี่อาหยาเพื่อนและผู้มีพระคุณของข้า นางเป็นฮูหยินน้อยของจวนเเม่ทัพเจ้าค่ะ” ร่างบางกล่าวขอบคุณเพื่อนรักที่ยืนอยู่ด้านหลังของบุตรสาวก่อนจะหันไปแนะนำให้บิดาได้รู้จัก ชายชรารีบก้าวไปตรงหน้าก่อนจะประสานมือขึ้นเหนือศรีษะเพื่อโค้งคำนับเป็นการแสดงความขอบคุณต่อหญิงสาวตรงหน้าตนที่บุตรสาวแนะนำให้รู้ว่าเป็นผู้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ ทั้งยังช่วยดูแลเลี้ยงดูหลานสาวของเขาประหนึ่งดังลูกน้อยของตน
“โอ๊ะ!ท่านพ่อ อย่าทำเช่นนี้เจ้าค่ะ ท่านเป็นบิดาของม่อหนี่ก็เปรียบเสมือนเช่นบิดาของข้าเช่นกัน” ฮูหยินแม่ทัพรีบเข้าไปประคองชายชราไม่ให้โค้งตัวคำนับตน
“ทุกท่านเดินทางมาไกลคงจะเหนื่อยกัน ถ้าเช่นนั้นขอเชิญเข้าไปพักผ่อนกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าได้ให้คนจัดเตรียมที่ทางไว้พร้อมแล้ว เจินเอ๋อร์คนดีนำทางท่านแม่ไปพักผ่อนเร็วเข้า”
“เจ้าค่ะท่านน้า ท่านแม่ไปกันเถิด” ร่างเล็กเร่งจูงมือมารดาเข้าไปด้านในพร้อมๆกับที่ทุกคนพากันแยกย้ายไปพักผ่อนหลังจากที่ต้องเดินทางแรมรอนกันมานานนับเดือน
เย็นวันนั้นหลังจากที่รับสำรับเย็นกันเสร็จสิ้นทั้งหมดจึงได้ใช้เวลาในการจิบชาพูดคุยบอกเล่าถึงเรื่องราวที่ต้องประสบพบพานมาอย่างยาวนานหลายเดือน แม้สุดท้ายแล้วทุกสิ่งอย่างจะผ่านพ้นจนกลายเป็นอดีตไปแล้วแต่บาดแผลแห่งความเจ็บช้ำที่ยังคงฝังลึกอยู่ในใจที่ยังหลงเหลืออยู่อาจจะคงต้องปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องเยียวยา
“เป็นข้าผิดเอง ที่มองคนผิดคิดฝากฝังบุตรสาวไว้ในมือคนชั่ว จนเกือบต้องสูญเสียทั้งลูกและหลานไปในคราวเดียวกัน” ม่อเหยียนกล่าวด้วยน้ำตาคลอเบ้า สองตาเฝ้าจับจ้องร่างเล็กที่นั่งเคี้ยวขนมอยู่ในตักของตนอย่างแสนรัก ตั้งแต่ที่ซื่อเจินรับรู้ว่าชายชราท่าทางใจดีคนนี้คือท่านตาของตน นางก็เฝ้าเกาะติดไม่ยอมห่างอย่างไม่เห่อ[?]เลยแม้แต่น้อย ยิ่งผู้เป็นตาคอยเอาใจมอบขนมหน้าตาแปลกๆที่ตนซื้อหามาระหว่างที่เดินทางเพื่อนำฝาก หลานสาวผู้แสนดีก็เฝ้าคลอเคลียผู้เป็นตาไม่ยอมห่างกาย ปล่อยให้เพื่อนเล่นของตนนอนหมอบมองอยู่ไกลๆไม่กล้าเข้ามาใกล้ เมื่อเห็นว่าเจ้านายน้อยนั่งอยู่ในตักของคนแปลกหน้าที่มันยังไม่คุ้นเคย
“อย่าโทษตัวเองเลยเจ้าค่ะท่านพ่อ หากจะถามหาคนผิดจริงๆก็คงจะเป็นข้า ที่ดื้อดึงไม่ฟังคำท่านปล่อยให้ความโง่งมมาบังตาจนต้องเกือบตาย หากไม่ได้..”
“เอาเถิด ข้าว่าเราอย่ามามัวแต่คิดถึงเรื่องเก่าๆกันเลยนะเจ้าคะ ไหนๆมันก็ผ่านไปแล้ว เรามาเริ่มตั้งต้นชีวิตใหม่กันดีกว่าเจ้าค่ะ” หยาเฉียนเอ่ยค้านขึ้นเมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง อีกทั้งยามนี้ยังมีคนนอกอยู่หลายคนจึงไม่เหมาะที่จะพูดถึงบางสิ่งบางอย่าง ทำให้ม่อหนี่หันไปมองสหายรักอย่างนึกขอบคุณ พลางนึกตำหนิตนเองที่คิดน้อยพูดมากความโดยไม่ตั้งใจ จนเกือบจะเอ่ยความลับที่สำคัญออกมา
“นั่นนะสิขอรับ แล้วเช่นนี้ท่านลุงคิดจะปักหลักอยู่ที่เมืองนี้หรือไม่ขอรับ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็พอที่จะช่วยหาที่ทางให้ท่านได้นะขอรับ” เยี่ยหัวรีบเอ่ยขึ้นมาอย่างเห็นด้วยกับฮูหยินของตน จึงจงใจตั้งคำถามเพื่อเปลี่ยนเรื่องทำให้บรรยากาศของการพูดคุยเริ่มดีขึ้น