สหายเก่าผู้มาเยือน
ยามดึกสงัดในขณะที่ทุกคนกำลังนอนหลับสนิท ในจวนของแม่ทัพสกุลเยี่ยแห่งแคว้นฉู่กลับมีร่างๆหนึ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบตรงมายังห้องนอนส่วนตัวของแม่ทัพหนุ่ม เมื่อมาถึงยังห้องที่ต้องการ ร่างในชุดดำก็มุ่งตรงไปยังเตียงนอนที่มีเจ้าของจวนพร้อมกับฮูหยินน้อยนอนอยู่ ก่อนจะยื่นมือที่ค่อนข้างจะสั่นเทาไปหาร่างบางของนายหญิงของสกุลเยี่ย
ควับ!
ทันใดนั้นเสียงตวัดดาบอย่างว่องไวดังขึ้นพร้อมๆกับที่ร่างหนาพลิกกายขึ้นนั่ง ดาบเล่มบางที่เป็นอาวุธคู่ใจวางพาดลงบนลำคอของคนชุดดำอย่างพอเหมาะพอเจาะ
“อย่าแม้แต่จะคิดขยับ บอกมาว่าเจ้าเป็นใครแล้วต้องการสิ่งใด" ‘เยี่ยหัว’เอ่ยถามผู้บุกรุกเสียงเข้ม มือหนากระชับดาบในมืออย่างเตรียมพร้อมลงมือหากคนตรงหน้าคิดเคลื่อนไหวใดๆ
“ท่านพี่” ฮูหนินน้อยตระกูลเยี่ย‘เฉียนหยา’ที่รู้สึกตัวตั้งแต่ที่ประตูห้องถูกเปิดเข้ามาเอ่ยเรียกสามีเสียงเบา ทั้งยังกระชับมีดสั้นในมือก่อนจะขยับพลิกกายมาอีกด้านเพื่อเปิดเนื้อที่ให้ชายหนุ่มทรงกายได้อย่างถนัดถนี่หากว่าเกิดการต่อสู้กันขึ้น นางยื่นมือไปจุดตะเกียงก่อนจะหันกลับไปจับจ้องคนร้ายที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ ร่างบางได้กลิ่นคาวเลือดที่โชยออกมาบางเบาทำให้นางสามารถคาดเดาได้ว่าคนร้ายน่าจะได้รับบาดเจ็บมาเป็นแน่
“แอ้ แอ้ๆ” เสียงเล็กๆที่ดังขึ้นพร้อมกับการบิดตัวเล็กน้อยก่อนจะเงียบเสียงไปของร่างน้อยในห่อผ้า ที่ถูกผูกติดอยู่ที่หลังของคนชุดดำ ทำให้ทั้งสองชะงักการเคลื่อนไหวเล็กน้อยอย่างแปลกใจ
“อาหยา อั่ก!” เสียงเอ่ยเรียกออกมาอย่างแผ่วเบาของคนชุดดำ ก่อนที่จะกระอักเลือดออกมา ทำให้หญิงสาวที่รู้สึกคุ้นเคยกับน้ำเสียงนั้นอยู่เล็กน้อยหันไปสบตากับแม่ทัพหนุ่มผู้เป็นสามี
“เจ้า..” ยังไม่ทันที่จะได้สอบถามสิ่งใด ผู้บุกรุกก็ทรุดกายลงก่อนจะกระอักเลือดออกมากองโต บ่งบอกถึงความบอบช้ำจากภายในร่างกาย ฮูหยินแม่ทัพจึงขยับกายเข้าไปใกล้ร่างที่กำลังทรุดอยู่บนพื้นห้องก่อนจะดึงเอาผ้าที่พันปกปิดหน้าตาของคนผู้นั้นออก เผยให้เห็นวงหน้าที่งามเด่นที่ตนคุ้นเคยเมื่อนานมาแล้ว
“ม่อหนี่ๆ เป็นเจ้าหรือนี่ ท่านพี่ช่วยหน่อยเจ้าค่ะ นางเป็นสหายของข้าเอง” กล่าวพลางปลดดึงเอาห่อผ้าข้างหลังของสหายของตนออก ก่อนจะอุ้มเอาร่างน้อยๆที่อยู่ภายในมาแนบอก สองตาจับจ้องร่างเล็กขาวอวบราวกับก้อนซาลาเปาน้อยนั้นอย่างแปลกใจ ก่อนจะอดยกยิ้มที่มุมปากไม่ได้ เมื่อเห็นร่างน้อยนั้นหาวออกมาก่อนจะบิดตัวอย่างเกียจคร้านและหลับต่อเมื่อได้อยู่ในสัมผัสของอ้อมกอดอันอบอุ่น
“นางชื่อม่อหนี่เป็นสหายเก่าของข้าเจ้าค่ะ ยามนั้นท่านพ่อได้ส่งข้าไปฝึกเพลงดาบกับท่านอาจารย์จึงได้พบกับนาง เราอายุรุ่นราวคราวเดียวกันจึงมักจะได้จับคู่ประดาบกันอยู่เป็นประจำก็เลยสนิทสนมกันเจ้าค่ะ” หญิงสาวเล่าถึงเรื่องราวครั้งเก่าก่อน ในยามนั้นนางยังคงเป็นเพียงเด็กสาวที่ชื่นชอบการต่อสู้มากกว่าการเย็บปักถักร้อย นางจึงอ้อนวอนผู้เป็นบิดาจนท่านใจอ่อนยอมส่งเสริมให้นางได้ฝึกวิชาดาบที่สำนักมีชื่อแห่งหนึ่ง
ที่นั่นนางจึงได้พบกับ’ม่อหนี่’หญิงสาวที่มีสายเลือดของชาวเผ่าผู้งดงามโดดเด่น ทั้งยังเป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวที่เป็นผู้มีพลังปราณที่หาได้ยากมากในแผ่นดิน เพราะคนที่จะมีพลังปราณนั้นมักจะเป็นผู้อาวุโสที่หลีกเร้นกายออกจากผู้คนเสียส่วนมาก แต่ม่อหนี่กลับเป็นผู้ที่มีปราณมาตั้งแต่กำเนิดถึงแม้ว่าความพิเศษนี้จะต้องเก็บเป็นความลับสุดยอด เพื่อป้องกันผู้ที่หวังผลประโยชน์ในตัวของนาง แต่แค่ความงามที่นับว่าเกินหน้าหญิงใดในแคว้นนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้นางโดดเด่นเหนือใครๆแล้ว เมื่อได้พูดคุยทำความรู้จัก ด้วยความคิดความอ่านและนิสัยรักอิสระที่คล้ายๆกัน พวกนางทั้งสองจึงกลายเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่นั้นมา
จนกระทั่งเมื่อฝึกปรือฝีมือจนเก่งกาจแล้วทั้งหมดจึงพากันแยกย้ายลาจากแต่ก็ยังคอยส่งข่าวคราวหากันอยู่เนืองๆ โดยก่อนหน้าที่นางจะได้แต่งเข้ามาตระกูลเยี่ยเพียงไม่นาน ม่อหนี่ก็ได้ส่งข่าวมาบอกว่านางมีวาสนาได้แต่งเป็นชายารองให้กับเชื้อพระวงศ์แห่งแคว้นหนาน หญิงสาวยังจำได้ว่า ตนเองนั้นแสนจะยินดีกับวาสนาของสหายยิ่งนัก ทั้งยังส่งของขวัญวันแต่งงานไปให้นางที่เผ่าอีกด้วย แต่หลังจากแต่งงานและย้ายมาอยู่ที่จวนแม่ทัพ ตนก็ไม่ได้ติดต่อกับสหายชาวเผ่าผู้นี้อีกเลย ไม่นึกเลยว่าจะได้มาพบเจอกับนางอีกครั้งในสภาพบาดเจ็บเช่นนี้ได้
“นางเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”
“อาการหนักมาก ชีพจรสับสนทั้งยังเต้นช้าเสียจนแทบจะตรวจจับไม่ได้ ในเลือดมีสีคล้ำดำมากกว่าแดงบ่งบอกว่าน่าจะถูกพิษที่ร้ายแรง ทั้งยังบอบช้ำภายในรุนแรงมากจนอาจจะ..”
“โถ่ ม่อหนี่ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่นะ ใยจึงเป็นเช่นนี้ไปได้” เฉียนหยารำพึงกับตนเองอย่างไม่เข้าใจว่าเหตุการณ์มันเป็นเช่นไรกัน ในเมื่อสหายของนางเป็นถึงชายารองของเหล่าเชื้อพระวงศ์แล้วใครกันถึงได้กล้าลงมือทำร้ายนางเช่นนี้ และที่สำคัญนางคือผู้ใช้ปราณที่มีฝีมือ ไม่น่าที่จะถูกทำร้ายได้ง่ายๆเช่นนี้
“อือ.. ลูก ลูกของข้า” ร่างบางในชุดดำขยับตัวก่อนจะเพ้อขึ้นมา
“ม่อหนี่ๆๆได้ยินข้าหรือไม่ ลูกของเจ้าอยู่นี่ นางปลอดภัยดี” หญิงสาวอุ้มร่างเล็กขยับเข้าไปหาผู้เป็นมารดา
“อาหยา..” ร่างบางเอ่ยอย่างอ่อนแรง ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนอยู่ในอ้อมกอดของสหายที่นางวางใจ
“เจ้าเป็นยังไงบ้าง” เมื่อเห็นสหายรักเอ่ยถามเสียงเครือน้ำตาไหลพราก นางจึงเอื้อมมือที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงไปกุมเอามือของคนตรงหน้าก่อนจะกำแน่น
“อาหยา ฟังข้าพูดให้ดี เจ้าจะต้องปกป้องนาง อย่าให้พวกมันแตะต้องบุตรสาวของข้าได้ รับปากกับข้า”
“ได้ ย่อมได้ เจ้าจงวางใจเถิด ข้าจะไม่ให้ใครแตะต้องนางแม้เพียงปลายเล็บ ข้าสัญญา” ได้ฟังดังนั้น หญิงสาวชาวเผ่าผู้กลายเป็นอดีตชายารองก็เอื้อมมือไปปลดกำไลลวดลายแปลกตาที่ตนสวมอยู่ ก่อนจะกางออกเป็นเส้นตรงและสะกิดเบาๆลงที่นิ้วเล็กของบุตรสาว เมื่อเลือดของเด็กน้อยสัมผัสถูกชิ้นส่วนของกำไล พลันเกิดแสงสว่างจ้าขึ้นมาก่อนที่จะเลือนหายไป ม่อหนี่จึงสวมมันลงไปบนข้อมือเล็ก ซึ่งกำไลที่เคยมีขนาดสำหรับข้อมือของผู้ใหญ่กลับหดเล็กลงจนพอดีข้อมือของมือน้อยๆอย่างมหัศจรรย์
“อาหยา บุตรสาวของข้านางพิเศษยิ่งกว่าผู้ใด เจ้าจงช่วยข้าซ่อนนางไว้อย่าให้คนผู้นั้นรู้ว่านางเป็นทายาทของเขา เพราะคนชั่วมันคิดจะใช้ประโยชน์จากนาง นี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่ข้าจดบันทึกเอาไว้ เจ้าจงเปิดอ่านและเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในนี้ให้นางฟังเมื่อนางโตขึ้น มันจะทำให้นางรู้เท่าทันคนชั่วผู้นั้น” ฮูหยินแม่ทัพกลั้นสะอื้นก่อนจะยื่นมือไปรับเอาซองกระดาษนั้นมาถือไว้
“เจ้าจงช่วยสั่งสอนและปกป้องนางให้เติบโตขึ้นมาเป็นดั่งคนปกติ อย่าให้ใครรับรู้ถึงความพิเศษในตัวของนาง จนกว่าจะถึงวันที่นางสามารถปกป้องตนเองได้”
“แน่นอนม่อหนี่ ข้าจะอบรมสั่งสอนให้นางเก่งกล้าสามารถเช่นเจ้าเช่นมารดาของนาง อย่าได้กังวลเลยนะสหายข้า”
“ขอบใจเจ้ามาก’ ซื่อเจิน’คือชื่อของนาง คือดวงใจอันแสนล้ำค่า ข้าขอฝากดวงใจของข้าดวงนี้ไว้ในมือของเจ้าอาหยา หมดเวลาของข้าแล้ว ลาก่อ…น”เสียงเอ่ยลาแผ่วเบาก่อนที่มือที่เอื้อมมาสัมผัสร่างของบุตรสาวตัวน้อยจะร่วงหล่นลงข้างกาย เป็นสัญญานของชีพจรที่หลุดหายออกจากร่างงาม สิ้นสุดชีวิตของหญิงสาวชาวเผ่าผู้งดงามเหนือหญิงใดในใต้หล้า
“ม่อหนี่ ฮืออๆๆ”
“แอ๊ๆๆอุแว้ อุแว้” ราวกับร่างน้อยจะรับรู้ถึงการสูญเสียที่เกิดขึ้น จึงร้องออกมาเสียงดังจนเฉียนหยาต้องรีบอุ้มเข้าแนบอกเขย่าเบาๆอย่างปลอบโยนเสียงร้องจึงค่อยๆเงียบลง
เมื่อเยี่ยหัวรับปากว่าจะจัดการเรื่องศพของสหายของตนให้ นางจึงอุ้มเอาเจ้าซาลาเปาน้อยไปพักยังอีกห้องหนึ่งที่อยู่ข้างกัน ก่อนจะเปิดอ่านเรื่องราวที่ม่อหนี่ได้เขียนบันทึกเอาไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ สองตามีหยาดน้ำไหลลงมาไม่ขาดสายด้วยความสงสารในชะตากรรมของสหาย เมื่อได้รับรู้เรื่องราวอันแสนโหดร้ายที่หญิงสาวผู้แสนงดงามต้องประสบพบเจอ ที่แท้ชายชั่วคนนั้นก็ตั้งใจหลอกให้ม่อหนี่แต่งเข้าราชวงศ์ของเขาเพราะหวังประโยชน์ในพลังปราณของนางเท่านั้นหาได้มีใจรักใคร่แต่อย่างใด ทั้งยังบังคับให้นางถ่ายทอดพลังปราณให้จนแก่นวิญญาณบอบช้ำ แม้กระทั่งในยามที่นางตั้งท้องก็ไม่เว้น
และที่เลวร้ายที่สุดก็คือ เมื่ออ๋องชั่วผู้นั้นได้รู้ว่าบุตรในครรภ์ของม่อหนี่มีพลังแห่งปราณที่กล้าแข็งตั้งแต่ยังไม่ถือกำเนิด ก็คิดที่จะดูดกลืนแก่นพลังปราณนั้นโดยไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อยว่าจะเป็นการทำร้ายบุตรสาวของตนอย่างโหดร้าย เพราะผู้ที่มีแก่นพลังปราณตั้งแต่กำเนิดหากถูกผู้ฝึกยุทธ์ดูดกลืนแก่นพลังปราณไปแล้ว ร่างกายและชีวิตที่เหลือนั้นก็จะเปรียบได้ดั่งไม้ที่ผุกร่อนรอวันสลายเท่านั้น อย่างร้ายแรงน้อยที่สุดก็คือจะต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไปด้วยร่างกายอันอ่อนแอไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ หญิงสาวกลั้นสะอื้นพลางทอดมองไปยังร่างน้อยที่กำลังหลับไหลอยู่อย่างเวทนาสงสารจับใจ
เจ้าก้อนแป้งน้อย เพียงแค่ลืมตาดูโลกก็ต้องมากำพร้ามารดาผู้ให้กำเนิดเสียแล้ว ไหนจะยังเรื่องของบิดาผู้สูงศักดิ์ที่หวังร้ายต่อสายเลือดแท้ๆของตนเพียงเพื่อประโยชน์ส่วนตนผู้นั้นอีก เมื่คิดได้ดังนั้นความเศร้าโศกเสียใจในแววตาพลันมีความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวเข้ามาแทนที่ ยามนี้นางได้สัญญาและสาบานกับตนเองในใจแล้วว่า ตนจะต้องปกป้องดูแลสายเลือดของสหายรักด้วยชีวิตอย่างแน่นอน จะไม่มีวันยอมให้ใครหน้าไหนมาใช้ประโยชน์จากเด็กน้อยผู้นี้ได้เป็นอันขาด! และอ๋องแปด’ฝานชุน’ผู้นั้นจะต้องชดใช้ให้ม่อหนี่และลูกของนางอย่างสาสม!!