”ข้าได้ให้นางฝึกเพลงดาบของตระกูลเยี่ยไปพลางๆในระหว่างที่เจ้าไม่อยู่”หยาเฉียนเอ่ยบอกในระหว่างที่เดินมาส่งอีกฝ่ายยังเรือนรับรองที่ใช้เป็นเรือนพักของเจ้าก้อนแป้งน้อยที่หลับไหลไปได้สักพักแล้ว
“ขอบใจเจ้ามากอาหยา สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำให้พวกเราสองแม่ลูก” ม่อหนี่กล่าวอย่างซาบซึ้ง ทั้งๆที่นางแทบจะหมดศัทธาในการเชื่อใจผู้อื่น ตั้งแต่ที่ถูกผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีหลอกใช้นางเป็นเครื่องมือแล้ว แต่สหายผู้นี้กลับเป็นคนดึงให้นางสามารถกลับมาเชื่อและไว้ใจผู้อื่นได้อีกครั้งหนึ่ง
“คำว่าสหายไม่ได้มีไว้เฉพาะในยามที่มีความสุขเท่านั้น แต่มันมีไว้เพื่อคอยช่วยเหลือกันและกันในยามที่มีความทุกข์อีกด้วย เจ้าลืมไปแล้วหรือ” ใบหน้างามฉีกยิ้มกว้างอย่างหยอกล้อ ก่อนจะถูกดึงเข้าไปสวมกอดอย่างไม่ทันตั้งตัว สองแขนเรียวจึงยกขึ้นสวมกอดร่างบางเช่นกัน
“เอาล่ะ ข้าว่าเจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิดดึกมากแล้ว พรุ่งนี้จะได้ไปดูจวนที่ท่านพี่บอก” เมื่อดันร่างออกจากอ้อมกอดแล้วนางจึงผลักให้สหายของตนที่กำลังยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มเดินเข้าไปยังห้องด้านในเพื่อพักผ่อน ก่อนที่จะหันหลังกลับไปยังเรือนนอนของตนเพื่อพักผ่อนเช่นเดียวกัน
รุ่งเช้าของวันใหม่ที่อากาศแจ่มใสกว่าทุกวัน เยี่ยหัวรับหน้าที่พาบิดาของม่อหนี่และผู้ติดตามไปดูจวนที่มีคนบอกขาย เมื่อแม่ทัพสกุลเยี่ยเป็นคนออกหน้าการซื้อขายและต่อรองราคาจึงเป็นไปด้วยดียิ่งขึ้น ยามนี้จวนหลังใหญ่ที่อยู่ติดกับชายป่าพร้อมด้วยบริเวณอันแสนกว้างขวางจึงกลายเป็นที่พำนักแห่งใหม่ของม่อหยวนและกลุ่มผู้ติดตาม เมื่อได้รับหนังสือสัญญาการเป็นเจ้าของที่แห่งนั้นมาอยู่ในมือแล้ว พวกเขาจึงเริ่มทำการปัดกวาดเช็ดถูทำความสะอาดเพื่อที่จะได้ทำการย้ายเข้าไปให้เร็วที่สุด เนื่องด้วยจำนวนคนที่มีกันมานับยี่สิบคนหากจะให้อยู่รบกวนจวนสกุลเยี่ยนานวันเกินไปก็ให้รู้สึกเกรงใจ เมื่อจะได้มีที่อยู่เป็นของตนเองแล้วพวกเขาจึงเต็มใจที่จะเร่งมือปัดกวาดเพื่อย้ายเข้าไปอยู่ในทันที
“แล้วท่านน้ากับท่านน้าเยี่ยหัวจะไปอยู่กับเจินเอ๋อร์ด้วยหรือไม่เจ้าคะท่านแม่” ซื่อเจินเอียงคอถามด้วยความมึนงงว่าทำไมตนถึงต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่ด้วย ก็ในเมื่อที่นี่ที่เป็นบ้านของนางก็ยังไม่พังเสียหน่อย ด้วยหยาเฉียนมักจะบอกกับเด็กน้อยอยู่เสมอว่า ที่จวนสกุลเยี่ยก็คือบ้านของนาง แล้วหากนางทิ้งบ้านของนางไปแล้ว หากพี่อาฉวนกลับมาไม่เจอนางแล้วเขาจะไม่เสียใจหรือ
“ท่านน้ากับท่านน้าเยี่ยหัวไม่ได้ไปกับเราหรอก แต่ว่าไว้วันไหนที่ท่านน้าทั้งสองว่าง พวกเขาก็จะไปเยี่ยมเจินเอ๋อร์ที่บ้านใหม่เองนั่นแหละจ้ะ”
“แล้วเจินเอ๋อร์จะพาเจ้ามู่ไปด้วยได้มั้ยเจ้าคะ” นัยน์ตาดำขลับหันไปมองเจ้าตัวสี่ขาที่นอนหมอบมองนางกับมารดาอยู่อย่างเศร้าใจ ด้วยคิดว่าหากนางไปแล้วใครจะเป็นเพื่อนเล่นกันกับเจ้ามู่เล่า
“ย่อมได้สิ เจินเอ๋อร์จะได้ไม่เหงาอย่างไรเล่า ดีหรือไม่” ผู้เป็นมารดาวางมือจากข้าวของที่กำลังเก็บ ก่อนจะอ้าแขนกว้างเป็นเชิงบอกให้ร่างน้อยเดินไปหา ซื่อเจินที่เห็นเช่นนั้นจึงขยับกายกลมๆของตนเดินเข้าสู่อ้อมกอดของมารดา ม่อหนี่ก้มลงไปหอมแก้มย้วยน่ารักนั้นฟอดใหญ่ก่อนจะจับให้ร่างเล็กนั่งลงบนตักของตน
“ทำไมเล่า เจินเอ๋อร์ไม่อยากไปอยู่ที่จวนหลังใหม่หรือ”
“อยากเจ้าค่ะ แต่เจินเอ๋อร์กลัวท่านน้าจะเหงาหากเจินเอ๋อร์ไม่อยู่ แล้วหากพี่อาฉวนกลับมาแล้วเจินเอ๋อร์ไม่อยู่รอตามสัญญา เจินเอ๋อร์ก็จะกลายเป็นเด็กไม่ดีพูดโกหก ท่านน้าบอกว่าเด็กดีจะต้องไม่พูดปดเจ้าค่ะ” เห็นบุตรสาวเริ่มเบะปากทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ม่อหนี่จึงอดไม่ได้ที่จะแอบอมยิ้มให้กับความไร้เดียงสานั้น
“แต่เจินเอ๋อร์ไม่ได้พูดปดเสียหน่อย ก็เจินเอ๋อร์แค่สัญญาว่าจะรอพี่ฉวน แต่ก็ไม่ได้บอกนี่นาว่าจะรออยู่ที่จวนนี้หรือจวนอื่น เพราะฉะนั้นเจินเอ๋อร์ก็ไม่ใช่เด็กไม่ดีพูดโกหกเสียหน่อยจริงหรือไม่” เมื่อเห็นร่างเล็กในอ้อมกอดทำท่าคิดตาม นางจึงยิ้มก่อนจะเอ่ยต่อ
”อีกอย่าง ท่านน้าของเจินเอ๋อร์คงไม่เหงาหรอกนะ เพราะไม่แน่ว่านางอาจจะมีน้องคนใหม่มาอยู่เป็นเพื่อนแทนเจินเอ๋อร์อย่างไรล่ะ” ซื่อเจินทำตาโตเมื่อได้ฟังดังนั้น ร่างเล็กนึกไปถึงร่างน้อยๆขาวๆที่คล้ายกับก้อนซาลาเปาน้อยที่นางชอบกินแล้วก็นึกอยากที่จะมีน้องคนใหม่ขึ้นมาในทันที
“จริงหรือเจ้าคะ เจินเอ๋อร์อยากมีน้องเจ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น เจินเอ๋อร์จะต้องย้ายไปอยู่กับแม่ แล้วปล่อยให้ท่านน้าทั้งสองได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากๆ น้องจึงจะมาเกิด”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นเจินเอ๋อร์จะช่วยท่านแม่เก็บของนะเจ้าคะ เราจะได้รีบย้ายไปอยู่จวนใหม่ น้องจะได้มาไวๆ” ร่างเล็กขยับลุกออกจากตักของผู้เป็นมารดาอย่างกระตือรือร้นก่อนจะเดินไปหยิบข้าวของที่ตนถือไหวเอามาวางกองรวมๆกันอยู่ที่พื้นเพื่อช่วยมารดา จากนั้นสองแม่ลูกจึงค่อยๆช่วยกันเก็บของกันอย่างมีความสุข
“เจินเอ๋อร์ไปก่อนนะเจ้าคะท่านน้าทั้งสอง แล้วอย่าลืมรีบมีน้องใหม่ไวๆนะเจ้าคะเจินเอ๋อร์อยากมีเพื่อนเล่นเจ้าค่ะ” ซื่อเจินขึ้นรถม้าโดยอาศัยการอุ้มของมารดาทั้งยังไม่ลืมที่จะทิ้งคำพูดไว้อย่างไร้เดียงสา โดยไม่ได้รู้เลยว่าได้ทำให้ท่านน้าทั้งสองของตนพากันหันหน้าแดงๆหนีจากกันไปคนละทิศคนละทาง
จวนหลังใหม่อยู่ห่างจากจวนสกุลเยี่ยพอประมาณหากนั่งรถม้าก็อาจจะใช้เวลาราวหนึ่งเค่อ[สิบห้านาที] หลังจากที่จัดข้าวของเรียบร้อยแล้ว ม่อหนี่จึงพาร่างเล็กเดินสำรวจเนื้อที่ใช้สอยจนมาถึงด้านหลังจวนที่ติดกับชายป่าใหญ่ ม่อหยวนตั้งใจว่าจะให้คนถางเอาป่าส่วนนั้นให้เตียนเพื่อใช้เป็นสถานที่ฝึกซ้อมกองกำลังไว้เป็นกำลังเสริมไว้ใช้ในยามจำเป็น
“เราจะต้องปกปิดความสามารถของเจินเอ๋อร์เป็นความลับให้นานที่สุด ตั้งแต่นี้ต่อไปข้าจะสอนให้นางควบคุมพลังธาตุของตัวเองเพื่อไม่ให้หลุดใช้มันออกมาต่อหน้าคนอื่น” ชายชราเอ่ยขึ้นสองตาทอดมองตามร่างเล็กที่กำลังวิ่งเล่นสำรวจพื้นที่อยู่กับเพื่อนสี่ขาของตนอยู่อย่างสนุกสนานอย่างเอ็นดู
“แต่เจินเอ๋อร์ยังเล็กมากนะเจ้าคะท่านพ่อ ข้ากลัวว่ามันจะเป็นการคาดคั้นนางมากจนเกินไป” ม่อหนี่เอ่ยค้านขึ้นอย่างหนักใจ ถึงแม้ตนจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าบุตรสาวของนางนั้นพิเศษเหนือใคร เพราะในคนทั่วไปพลังปราณจะแสดงออกมาเมื่ออายุครบสิบหนาว แต่ซื่อเจินกลับมีพลังปราณแสดงออกมาตั้งแต่นางยังเป็นทารกเสียด้วยซ้ำ หากเรื่องเช่นนี้มีผู้ใดล่วงรู้เข้าคาดว่าคงจะเกิดการแย่งชิงตัวนางเพื่อใช้ประโยชน์ในพลังปราณที่หายสาบสูญไปนานนับพันปีที่นางถือครองอยู่นี้อย่างแน่นอน
“แต่เจ้าก็รู้ว่านางไม่เหมือนคนอื่น นางพิเศษยิ่งกว่าผู้ใด เราจึงจะต้องเลี้ยงดูนางให้พิเศษเหนือใครอย่างที่ควรจะเป็น เจ้าอย่าห่วงเลย บิดาของเจ้าผู้นี้จะทำให้นางเติบโตขึ้นมาอย่างนางสง่างามและมีค่าเหนือหญิงใดในแคว้นนี้อย่างแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้น ก็แล้วแต่ท่านจะเห็นสมควรเถิดเจ้าค่ะ”
“ท่านพ่อเขียนมาว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะท่านพี่”หยาเฉียนเอ่ยถามขึ้นเมื่อนั่งอดทนรอให้สามีอ่านจดหมายที่ผู้เป็นบิดาส่งมาอย่างเร่งด่วนจบแล้ว
“ท่านพ่อบอกว่าพลังปราณของอาเฉินกับอาฉวนแสดงออกมาแล้ว” เยี่ยหัวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด แม้ว่าจะเป็นข่าวดีแต่มันก็ปะปนด้วยข่าวร้ายเช่นกัน เขาย่อมดีใจที่บุตรชายทั้งสองมีพลังปราณเฉกเช่นผู้ที่สืบทอดสายเลือดจากผู้มีพลังปราณเช่นเขา แต่ในยามนี้ข่าวของการหายตัวไปของเด็กที่มีพลังปราณก็ยังคงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้ทางการจะพยายามสืบเสาะหาตัวคนร้ายแต่ก็มักจะคว้าน้ำเหลวอยู่ตลอดเวลา ทำให้เขานึกเป็นห่วงบุตรชายทั้งสองอยู่ไม่น้อย อีกอย่างบุตรชายทั้งสองของเขาก็พึ่งจะมีอายุครบแปดหนาวกับหกหนาวเท่านั้นซึ่งนับว่าพลังปราณตื่นขึ้นมาเร็วกว่าคนปกติทั่วไปมากนัก แต่หากยังไม่ได้รับการสั่งสอนให้รู้จักวิธีควบคุมและใช้พลังปราณที่ถูกต้อง หากมีอันตรายใดๆเกิดขึ้นก็คาดว่าอาจจะยังไม่สามารถใช้พลังนั้นปกป้องตนเองได้
“มีอะไรนอกเหนือจากนั้นหรือเจ้าคะ ทำไมท่านดูเหมือนไม่ค่อยสบายใจเลย”
“ตอนนี้ข่าวของเด็กที่วัดพลังปราณแล้วหายตัวไปทางการก็ยังไม่มีเบาะเเสเลยแม้แต่น้อย ข้าก็เลยเป็นห่วงเรื่องนี้”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ให้ท่านพ่อส่งอาเฉินกับอาฉวนกลับมาที่นี่ก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ อย่างน้อยเราจะได้วางใจถ้าลูกได้กลับมาอยู่ในสายตาน่ะเจ้าค่ะ” ร่างบางเอ่ยความคิดของตนอย่างเป็นกังวลขึ้นมากับคำกล่าวของสามี ยามนี้นางได้แต่เฝ้าภาวนาให้บุตรชายทั้งสองสามารถเดินทางกลับมาได้อย่างปลอดภัย
“เอาเถิด เดี๋ยวข้าจะให้คนส่งจดหมายไปบอกท่านก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากนั้นไม่นานสองพี่น้องสกุลเยี่ยก็ได้ออกเดินทางกลับเมืองสู่เหิงตามความต้องการของบิดามารดาด้วยรถม้าของสกุลพร้อมกับทหารที่ทำหน้าที่อารักขา แต่ไม่นึกว่าระหว่างทางจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น
เคร้ง!!พลัก!
เสียงการต่อสู้ที่เกิดขึ้นทำให้สองพี่น้องที่นั่งอยู่ในรถม้ากระชับดาบคู่ใจแน่น เยี่ยเฉินมองตรงช่องประตูรถม้าส่องดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงได้เห็นว่าที่แท้รถม้าของตนสองพี่น้องไม่ได้เป็นเป้าหมายแห่งการโจมตี แต่กลับเป็นรถม้าอีกคันหนึ่งที่จอดขวางทางอยู่ อีกทั้งยังมีร่องรอยบ่งบอกถึงการถูกลอบโจมตีอย่างรุนแรง เมื่อมองไกลออกไปจึงเห็นกลุ่มคนชุดดำนับสิบที่กำลังรุมล้อมพยายามทำร้ายเด็กชายวัยไล่เลี่ยกันกับพวกเขาที่แต่งกายด้วยชุดที่บ่งบอกถึงฐานะที่ไม่ธรรมดา แต่ด้วยยังมีกลุ่มคนที่ดูท่าว่าจะเป็นทหารอารักขาฝีมือดีคอยขัดขวางคุ้มกันอยู่ แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นน่าจะไม่เกี่ยวอะไรกันกับพวกเขาเลย แต่ที่โชคร้ายอาจจะเป็นเพราะรถม้าของพวกเขามาพบเจอการกระทำนี้เข้าจึงกลายเป็นพาลถูกลูกหลงไปด้วย
“คุณชายทั้งสองอย่าลงมาจากรถม้าเด็ดขาดนะขอรับ” ทหารที่คุ้มกันรถม้ามาเอ่ยบอกก่อนจะสั่งให้คนขับเร่งหันรถม้าหนีจากเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่ต้องการยุ่งเกี่ยว แต่ไม่นึกว่ากลุ่มคนชุดดำจะไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป ทั้งยังกรูกันเข้ามาอย่างประสงค์ร้ายอีกด้วย