พลังบริสุทธิ์อันล้ำค่า

2109 คำ
แคว้นหนาน ณ วังสายหมอก เพล้ง!! “หมายความว่ายังไง หาไม่เจอ!” หลังจากที่ปัดถ้วยชาจนหล่นแตกกระจายแล้วราวกับว่าจะยังไม่สาแก่ใจ ร่างหนาจึงผุดลุกขึ้นและก้าวเข้าไปหายังคนชุดดำที่คุกเข่ารายงานอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยกเท้าถีบจนร่างนั้นกระเด็นไปทรุดกายกระอักเลือดลงที่พื้น “ทูลท่านอ๋อง คนของเรารายงานว่าพระชายารองได้หนีข้ามไปยังต่างแคว้น แม้ว่าเราจะพยายามติดตามอย่างสุดกำลังแล้ว แต่กลับถูกตลบหลังจนคลาดกันกับนางพะย่ะค่ะ”ชายชุดดำที่เหลือรีบรายงานอย่างเร่งร้อนด้วยเกรงโทสะของผู้เป็นนาย “หึ!แค่หญิงที่บาดเจ็บกับเด็กแรกเกิด พวกเจ้าก็ยังปล่อยให้หลุดรอดไปได้ ช่างเลี้ยงเสียข้าวสุกยิ่งนัก” อ๋องแปดกล่าวออกมาด้วยสายตาคมกริบ หากยังไม่ได้ตัวนางผู้นั้นกลับคืนมา เกรงว่าโทสะของเขาคงจะไม่หมดลงง่ายๆเป็นแน่ “เสียนกู่!จัดคนจากกองกำลังเมฆทมิฬออกไป ไม่ว่ายังไงจะต้องตามตัวให้เจอให้ได้” “พะย่ะค่ะ” คนสนิทประสานมือค้อมกายรับบัญชาก่อนจะก้าวจากไป “หึ!ม่อหนี่ คิดหรือว่าจะหนีพ้น เจ้าจะต้องกลับมาสานต่องานของเจ้าให้เสร็จ อย่าคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าหลุดมือข้าไปได้ง่ายๆ” กว่าที่เขาจะได้ตัวของนางมานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เดิมทีเขาก็เป็นเพียงอ๋องผู้หนึ่งที่คิดการใหญ่หวังแย่งชิงราชบัลลังก์อยู่แล้ว เขาเฝ้าสะสมกองกำลังไว้ทีละน้อยๆมานานนับปี แล้ววันหนึ่งโชคก็ได้เข้าข้างให้ได้พบเจอกับคนผู้หนึ่ง และเขาก็ได้เรียนรู้เคล็ดวิชานอกรีตที่หายสาบสูญไปนานนับร้อยนับพันปีจากคนผู้นี้ มันคือสุดยอดวิชากลืนปราณอันแสนร้ายกาจที่สามารถทำให้คนๆนึงที่ไม่มีพลังปราณใดๆกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งเหนือผู้คน แต่มีข้อแม้ก็คือหากเขาเป็นชายที่มีธาตุหยางจะสามารถใช้เคล็ดวิชานี้กับธาตุหยินก็คือหญิงสาวที่มีพลังปราณเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงคอยตามหาหญิงสาวที่มีสิ่งพิเศษเหล่านี้ เพื่อมาดูดกลืนแก่นปราณจนทำให้เขามีพลังปราณแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งเฝ้าตามหาเหล่าชายหนุ่มผู้ที่มีแก่นปราณไปทั่วทั้งแคว้นหนานและในแคว้นใกล้เคียง จนในตอนนี้เขาสามารถรวบรวมกองกำลังนักรบปราณไว้ในมือได้เกือบพันนายแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเขาได้พบเจอกับม่อหนี่หญิงสาวชาวเผ่าผู้โดดเด่นงดงาม แม้ในคราแรกเขาจะนึกชอบพอในความงามของนางที่ดึงดูดใจมากมาย แต่เมื่อคนผู้นั้นได้มองเห็นพลังปราณอันกล้าแข็งของนางและบอกให้เขารับรู้ มันกลับทำให้เขามองเห็นประโยชน์ในพลังปราณมากกว่าสิ่งอื่นใด เพราะหากว่าเขาได้กลืนกินมันเข้ามาสู่ร่างกาย เขาย่อมจะต้องแข็งแกร่งเหนือผู้ใดอย่างแน่นอน เดิมทีเขาเพียงต้องการที่จะหลอกล่อให้นางกลายมาเป็นของเขาและบังคับกลืนกินแก่นปราณเท่านั้น แต่ไม่นึกว่าบิดาของนางจะไม่ยินยอม ทำให้เขาต้องใช้วิธีตบแต่งรับนางเข้ามาเป็นชายารองอย่างออกหน้าออกตา ซึ่งมันทำให้เขาต้องสูญเสียทรัพย์สินของมีค่าและเวลาไปมากมาย แต่สุดท้ายเขาก็ได้กลืนกินปราณของนางเป็นการตอบแทน อีกทั้งเมื่อนางตั้งครรภ์เขาก็ได้รับข่าวดีว่าบุตรที่ยังไม่ถือกำเนิดเป็นผู้มีคลื่นพลังปราณที่แข็งแกร่ง เหนือกว่าพลังใดๆที่คนผู้นั้นเคยสัมผัสมา มันจึงทำให้เขาเฝ้าจดจ่อรอคอยวันที่นางจะให้กำเนิดบุตรผู้นั้นแก่เขา แต่นึกไม่ถึงว่านางจะกล้าหอบท้องที่จวนจะคลอดหนีออกไปได้ ทำให้ยามนี้แม้กระทั่งเพศของเด็กเขาก็ยังไม่อาจรู้ได้ น่าเจ็บใจยิ่งนัก!! “บุตรในครรภ์ของนางมีพลังปราณกล้าแข็งมาก หากท่านได้กลืนกินแก่นปราณชิ้นนั้น สิ่งใดในใต้หล้ามีหรือจะครนามือ” ร่างดำมืดที่ทาบทับอยู่ในเงาของอ๋องแปดฝานชุนเอ่ยเบาๆที่ข้างหูของเขาก่อนจะแสยะยิ้มอย่างถูกใจ เมื่อเห็นรังสีแห่งความโลภพาดผ่านดวงตาคู่นั้น “จริงหรือเจ้าคะ! ท่านพี่ ท่านไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่หรือไม่” เห็นฮูหยินของตนเอ่ยถามด้วยน้ำตานองหน้า ร่างหนาจึงยกยิ้มอย่างเอ็นดู มือแกร่งยกขึ้นซับน้ำตาบนแก้มนวลของนางที่ตนแสนรัก “ย่อมเป็นเช่นนั้นฮูหยิน คาดว่าสหายของเจ้าผู้นี้คงจะกลัวเจ้าเหงากระมัง จึงได้แข็งใจมีชีวิตเพื่ออยู่เป็นเพื่อนเจ้าต่อไป” เยี่ยหัวเอ่ยอย่างหยอกเย้า ทำให้หยาเฉียนหลุดหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา ร่างบางรีบก้าวเดินกึ่งวิ่งนำหน้าสามีของตนไปยังห้องที่มีร่างของสหายรักนอนพักรักษาตัวอยู่ เมื่อไปถึงก็พบเข้ากับร่างบางที่อยู่ในชุดขาวสะอาดตาที่ตนให้คนเข้ามาผลัดเปลี่ยนให้นางเป็นครั้งสุดท้าย นัยน์ตางามพลันเบิกกว้างเมื่อเห็นว่ามีกรอบพลังปราณอ่อนๆที่แทบจะมองไม่เห็น คลอบคลุมอยู่บนร่างนั้นราวกับสายน้ำที่คอยหล่อเลี้ยงต้นกล้าน้อยๆที่เหี่ยวแห้ง ให้เติบโตขึ้นมาได้อีกครั้ง เมื่อมองไปยังทรวงอกงามก็เห็นการเคลื่อนไหวขึ้นลงอันบางเบาแต่ก็เพียงพอที่จะทำให้นางยิ้มออกมาทั้งๆที่น้ำตายังคงอาบใบหน้า “มีพลังปราณที่แข็งแกร่งมากอยู่ล้อมรอบกายของนาง ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากซื่อเจิน” “ซื่อเจินหรือเจ้าคะ!” หญิงสาวเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึง “จะเป็นไปได้อย่างไรกันเจ้าคะ นางยังเป็นเพียงเด็กทารกเท่านั้น” “ในตอนแรกพี่ก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน แต่เจ้าจำตอนที่ได้นำนางมาบอกลามารดาของนางได้หรือไม่” “จำได้เจ้าค่ะ” ในยามนั้นนางอุ้มร่างน้อยไปวางนอนเคียงผู้เป็นมารดาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะต้องลาจากกันชั่วชีวิต “ยามที่เจ้าปล่อยให้พวกนางนอนเคียงข้างกัน ในตอนนั้นข้าสัมผัสได้ถึงพลังปราณบางเบากระจายออกมาจากร่างของซื่อเจิน แต่ข้าคิดว่าเป็นตนเองคิดมากไปจึงไม่ใส่ใจ แต่พอเจ้าเข้าไปอุ้มนางจากไปแล้ว ข้าจึงเห็นว่าปราณนั้นกระจายเข้าคลอบคลุมร่างของแม่นางม่อหนี่จนทั่วกาย จากนั้นลมหายใจที่ขาดหายของนางก็ค่อยๆกลับคืนมา และที่ข้าพึ่งจะไปบอกเจ้าก็เพราะกลัวว่ามันจะเป็นเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย จึงได้รอดูให้แน่ใจและได้ให้คนไปตามหมอประจำจวนของเรามาตรวจสอบดูอีกครั้ง จึงได้รู้ว่านางมีชีวิตอีกครั้งจริงๆ” สิ้นคำกล่าวอธิบายร่างบางของฮูหยินแม่ทัพก็ปล่อยโฮออกมาอีกครั้งอย่างตื้นตันใจ ในที่สุดหลานสาวของนางก็ยังไม่ได้โชคร้ายถึงที่สุด นางเฝ้ากล่าวขอบคุณต่อพุทธองค์ซ้ำแล้วซ้ำอีกที่ยังทรงมีเมตตาต่อผู้ยากไร้ ที่ไม่ริดรอนลมหายใจของสหายรักและให้โอกาสนางได้ทำหน้าที่มารดาของบุตรสาว ที่เป็นดั่งดวงใจที่ล้ำค่าที่เป็นแรงผลักดันให้สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อีกครั้งหนึ่ง กาลเวลาผันผ่านล่วงเลยไปจนยามนี้ร่างเล็กที่มาพำนักอยู่ที่จวนสกุลเยี่ยได้เติบโตขึ้นจนพูดและวิ่งได้คล่องแล้ว ในทุกวันที่หยาฉียนคอยเฝ้าดูแลร่างน้อยอย่างไม่เคยคลาดสายตานั้น ก็มักจะมีเรื่องราวให้นางประหลาดใจในร่างกายน้อยๆนี้อยู่เสมอ เพราะพลังปราณที่นางมีนั้นช่างแตกต่างและแปลกประหลาดเกินกว่าที่จะกล่าว ด้วยแค่เพียงเด็กน้อยเผลอไปแตะต้องสัตว์ชนิดใดที่ไร้ลมหายใจ สัตว์เหล่านั้นก็จะฟื้นคืนกลับมาจากความตายอย่างง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการหลับไหลไปอย่างอ่อนล้าของเด็กน้อยเช่นกัน ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงสัจธรรมของชีวิตคนเราทุกคนว่า ไม่มีสิ่งใดสามารถได้มาเปล่าๆโดยที่ไม่ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน ทำให้หญิงสาวต้องคอยระวังไม่ให้นางไปซุกซนแตะต้องสิ่งใดที่จะทำให้สิ้นเปลืองพลังปราณบ่อยๆ และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือจะให้คนนอกเห็นถึงความพิเศษเหล่านี้ไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นคาดว่าต่อให้นางมีอีกสิบชีวิตก็คงไม่สามารถที่จะปกป้องร่างเล็กจากเหล่าคนที่หวังผลประโยชน์จากพลังปราณอันแสนพิสดารนี้ได้อย่างแน่นอน ‘พอนางโตขึ้นก็จะเรียนรู้ในการควบคุมพลังปราณของตนได้ ก็คงจะเลิกปล่อยพลังปราณชุบชีวิตสัตว์พวกนั้นไปเอง’ แม่ทัพหนุ่มผู้เป็นสามีกล่าวอธิบายให้ฟัง เมื่อเห็นว่านางมีความกังวลเกี่ยวกับปราณพิเศษของหลานสาวคนใหม่จนแทบจะหลับตาไม่ลงมานานนับเดือนแล้ว ชายหนุ่มยังบอกอีกว่าเท่าที่ดูนั้นคาดว่าเจ้าซาลาเปาน้อยซื่อเจินน่าจะมีพลังปราณชนิดพิเศษที่หายสาบสูญไปนานนับพันปีที่มีชื่อว่า ‘ปราณทิพย์’ ซึ่งปราณชนิดนี้เป็นสิ่งวิเศษนอกเหนือจากปราณธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ว่าผู้ใดก็อยากที่จะมี แต่นับตั้งแต่ที่พวกเขาเกิดมาลืมตาดูโลกใบนี้ก็ยังไม่เคยพบเห็นผู้ใดที่มีปราณพิเศษทั้งสองชนิดนี้เลยแม้แต่คนเดียว กระทั่งในแคว้นฉู่แห่งนี้พวกเหล่านักรบปราณอันแข็งแกร่งที่ขึ้นตรงต่อราชวงศ์ถึงร้อยกว่านาย ก็เป็นเพียงผู้มีพลังปราณอัคคีและปราณสายฟ้าเท่านั้น ซึ่งทั้งสองจำพวกนี้นั้นเป็นพลังปราณที่สามารถใช้ในการต่อสู้ได้ดีที่สุดในหมู่ของปราณทั้งสี่เหล่า ที่ประกอบไปด้วย พลังปราณของธาตุทั้งสี่ คือ อัคคี สายฟ้า พสุธา และวารี และสองปราณพิเศษที่หายสาบสูญไปนานนับพันปีแล้ว คือ ปราณทิพย์และปราณธาตุศักดิ์สิทธิ์ รายละเอียดและความพิเศษของปราณสองชนิดหลังนี้นั้น แทบจะไม่มีผู้ใดรู้จักเพราะไม่ได้มีการจดบัญทึกเอาไว้อย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังเรียกได้ว่าหายสาบสูญไปจากโลกแห่งผู้มีปราณนานมากแล้ว แต่ด้วยแม่ทัพหนุ่มเยี่ยหัวก็คือหนึ่งในผู้ที่มีปราณอัคคีทำให้เขาพอที่จะรู้เรื่องเช่นนี้มากกว่าผู้อื่นอยู่ไม่น้อย ตึก! ตึก! ตึก! เสียงวิ่งดังขึ้นมาขัดความคิดของร่างบางที่นั่งปักผ้าอยู่ในศาลาขนาดใหญ่ริมน้ำ “ท่านน้า ดูเจ้ามู่สิเจ้าคะ มันไม่ยอมเชื่อฟังเจินเอ๋อร์อีกแล้วเจ้าค่ะ” ร่างอวบอ้วนอย่างเด็กสุขภาพดีที่กินได้นอนหลับเฉกเช่นเด็กไร้เดียงสาทั่วไป วิ่งเข้ามาเกาะแขนพร้อมกับเอ่ยฟ้องท่านน้าหญิงของตน ผู้ที่ช่วยมารดาเลี้ยงดูอุ้มชูตนมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยด้วยใบหน้างอง้ำอย่างขัดใจ โดยมีร่างของเจ้าสุนัขป่าขนฟูสีขาวสะอาดตาตัวเล็กร้องหงิงๆวิ่งตามมาคลอเคลียอยู่ไม่ห่างกาย แม้เด็กน้อยจะขยับกายหนีแต่เจ้าตัวขนฟูก็หาได้ใส่ใจยังคงเฝ้าคลอเคลียพัวพันร่างเล็กของเพื่อนเล่นของตนอยู่เช่นนั้น เรียกรอยยิ้มเอ็นดูปนขบขันจากหญิงสาวก่อนจะเอ่ยห้ามศึกระหว่างผู้น้อยหนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวที่วิ่งเข้ามาฟ้องตน เจ้าตัวนี้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวที่บังเอิญได้รับปราณทิพย์จากร่างเล็กให้ฟื้นคืนมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง จากสุนัขป่าแสนดุร้ายจึงกลับกลายเป็นแสนเชื่องทั้งยังเฝ้าติดตามอยู่ข้างกายของซาลาเปาน้อยซื่อเจินตลอดมา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม