เมื่อทั้งสองก้าวเดินออกมาจากห้องโถงขนาดใหญ่ก็เห็นว่าทุกคนพากันนั่งรออยู่ที่ด้านหน้า สายตาของทุกคู่จับจ้องไปยังร่างเล็กก่อนสิ่งใดอย่างห่วงใย แต่เมื่อเห็นว่านางก้าวเดินออกมาด้วยรอยยิ้มทุกคนจึงค่อยๆผ่อนลมหายใจอย่างผ่อนคลาย มีเพียงเยี่ยฉวนเท่านั้นที่เข้าไปดึงเอามือของร่างน้อยพานางมายืนที่ข้างกายของตน สองตาคมมองสำรวจร่างเล็กอย่างห่วงใยเมื่อไม่เห็นว่าน้องสาวของตนมีสิ่งใดที่ผิดปกติ เขาจึงค่อยปล่อยมือ
“ดูท่าว่าพวกท่านคงห่วงใยนางมาก” องค์ชายสี่เอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนตระกูลเยี่ยที่มีต่อเจ้าซาลาเปาน้อย
“เพคะ เพราะว่านางเปรียบเสมือนดังบุตรสาวของหม่อมฉันเอง พวกเราจึงรักนางเฉกเช่นที่รักบุตรของตนเพคะ” หยาหนี่กล่าวขึ้น สองตาจับจ้องไปยังร่างเล็กที่กำลังยกชายชุดขึ้นเพื่ออวดบางสิ่งบางอย่างต่อเยี่ยฉวนอย่างดีใจ ผิดกับใบหน้าของบุตรคนเล็กของนางที่มีสีหน้าดำคล้ำขึ้นมาทันทีที่ได้เห็นสิ่งนั้น พวกเขาจึงจับจ้องไปยังสิ่งกลมๆสวยงามสีทองที่อยู่บนข้อเท้าเล็กอย่างตกตะลึงเช่นกันเมื่อได้เห็นชัดๆถนัดตา
“องค์ชาย หม่อมฉันขอทูลถามตามตรงนะเพคะ” เมื่อเห็นเช่นนั้นผู้ที่ผ่านโลกมามากอย่างแม่ทัพเยี่ยหัวและฮูหยินน้อยต่างก็มองสบตากันก่อนที่ผู้เป็นฮูหยินจะเป็นฝ่ายอดรนทนไม่ไหว
“ว่ามาเถิดเยี่ยฮูหยิน”
“ของชิ้นนั้นที่ทรงประทานให้นาง ทรงทราบความหมายของมันหรือไม่เพคะ” ตามธรรมเนียมที่มีกันมาช้านานการที่บุตรชายบ้านใดจะมอบกำไลหรือปิ่นปักผมให้บุตรสาวบ้านไหนนั้น ย่อมมีความหมายเดียวก็คือการจับจองหมั้นหมาย ดังนั้นหากองค์ชายสี่ผู้นี้ไม่รู้ถึงธรรมเนียมประเพณีและมอบหมายโดยไม่ตั้งใจ นางจึงคิดที่จะให้ซื่อเจินคืนมันให้แก่เขา เพราะนางรู้ดีว่าเจ้าซาลาเปาน้อยของนางนั้นหาได้รับรู้ถึงนัยยะที่แฝงมากับการมอบของในครั้งนี้ไม่ มิเช่นนั้นมีหรือที่นางจะมาถกชายชุดอวดกำไลวงใหม่กับบุตรชายของนางอย่างหน้าตาระรื่นเช่นนี้ได้
“เยี่ยฮูหยินอย่าได้กังวล เรานั้นรู้ดีถึงธรรมเนียมปฏิบัติเพียงแต่เรารู้สึกถูกชะตากับนางจึงได้มอบของสิ่งนั้นให้ และหากวันใดที่นางเติบโตขึ้นมาและต้องการที่จะคืนมันกลับมา เราก็ยินดีที่จะรับคืนโดยไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะเราเองก็ไม่เคยคิดที่จะฝืนหรือบังคับใจของผู้ใด” ร่างเล็กองอาจก้าวจากไปยังเรือนรับรองที่ตนพำนักอยู่ ปล่อยให้สองผัวเมียเจ้าของจวนมองหน้ากันอย่างหนักใจ ก่อนที่จะพากันแยกย้ายไปพักผ่อนเรือนใครเรือนมัน โดยมีเยี่ยฉวนรับหน้าที่ไปส่งเจ้าก้อนแป้งกลับจวนของนาง
“เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย หากเบื้องบนเขาลิขิตมาให้วาสนาของนางสูงส่งเกินกว่าที่จะเป็นเพียงคนธรรมดา เราก็คงจะได้แต่ปล่อยให้มันเป็นไปตามนั้น เจ้าอย่าได้คิดฝืนมันเลยนะฮูหยิน” เยี่ยหัวเอ่ยปลอบฮูหยินของตนเมื่อเห็นว่านางยังคงนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างปลงไม่ตก
“แต่ข้าไม่อยากให้นางไปยุ่งเกี่ยวกับวังวนพวกนั้นนี่เจ้าคะ ข้ากลัวว่าหากมีผู้ใดล่วงรู้ถึงความความสามารถที่นางมี ชีวิตของนางก็คงจะหาความสุขสงบไม่ได้อีกเลย ดังเช่นมารดาของนาง” ประโยคสุดท้ายแผ่วเบาราวปุยนุ่นเมื่อหวนนึกไปถึงขะตากรรมที่สหายของตนได้รับ แม้จะสามารถมีชีวิตรอดมาได้แต่ม่อหนี่นางก็ต้องสูญเสียพลังปราณทั้งหมดที่เคยมี สิ่งพิเศษที่เคยเป็นความภาคภูมิใจแลกกับการมีชีวิตอยู่ต่อไป ดั่งคำที่ว่า ไม่มีสิ่งใดๆในโลกนี้ได้มาเปล่าๆเลยแม้แต่อย่างเดียว แล้วหากคนผู้นั้นหรือใครอื่นรู้ถึงความพิเศษของเจ้าซาลาเปาน้อยเล่า นางไม่อยากจะคิดเลยว่าเด็กน้อยที่นางทั้งรักและถนอมจะต้องพบเจอกับความเลวร้ายในจิตใจของคนโลภมากมายขนาดไหน
“ฮูหยิน เจ้าอย่าลืมสิว่านางเองก็หาใช่คนปกติทั่วไปนะ บิดาของนางเป็นถึงอ๋องแปดเป็นคนในราชวงศ์เช่นกัน ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงและหวังดีกับนาง แต่หากวันนึงนางจะต้องก้าวเดินไปยังจุดที่สูงเสียดฟ้า บิดามารดาบุญธรรมเช่นเราก็ได้แต่ทอดกายเป็นสะพานให้นางก้าวเดินได้อย่างเป็นสุขสมหวังก็เท่านั้น อีกอย่าง หากองค์ชายสี่ผู้นี้กับนางมีวาสนาต่อกัน ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องดูแลและปกป้องนางได้อย่างแน่นอน” มีคนมากมายบนโลกใบนี้ แต่มีน้อยคนนักที่จะมีดวงตาที่มั่นคงไม่สั่นไหวต่อสิ่งใดๆเช่นองค์ชายน้อยผู้นั้น เขาจึงค่อนข้างที่จะมั่นใจว่าหากคนผู้นั้นรักใครเขาก็ย่อมที่จะปกป้องดูแลรักษาของรักของเขาเป็นอย่างดี อย่างแน่นอน!
“มานี่เถิดฮูหยิน ข้าว่าเรามาพูดเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องนึงจะดีกว่า” มือหนารวบเอาเอวบางของฮูหยินก่อนจะยกร่างนั้นขึ้นอุ้ม จนหยาเฉียนหลุดหวีดร้องออกมาเบาๆอย่างตกใจ
“ว้าย! ท่านพี่ ทำอะไรเจ้าคะ”
“เจ้าจำไม่ได้หรือว่าเจินเอ๋อร์สั่งเจ้าเอาไว้ว่าอย่างไรในวันที่นางต้องไปอยู่จวนใหม่กับมารดา” เมื่อได้ยินคำกล่าวบวกกับนัยน์ตาเจ้าเล่ห์ที่มองมาอย่างมีความหมายแอบแฝงนั้น ทำให้หญิงสาวถึงกับหน้าแดงก่ำราวแต้มชาดเมื่อเข้าใจถึงสิ่งที่ผู้เป็นสามีต้องการสื่อ ร่างบางจึงหลับตาลงหนีสายตาโหยหานั้นอย่างจำยอมเมื่อร่างแกร่งก้มหน้าลงมาหา พลางนึกคาดโทษเจ้าซาลาเปาน้อยแก้มแดงลูกนั้นอยู่ในใจ ที่ทำให้มารดาบุญธรรมเช่นนางถูกผู้เป็นบิดาบุญธรรมของนางอาศัยคำกล่าวอันไร้เดียงสานั้นมารังแกเอาเสียจนเกือบรุ่งสางจึงได้เลิกรา
ณ วังหลวงของแคว้น ร่างหนาที่ไร้ซึ่งอาภรณ์ปกปิดร่างกายประคองกอดสนมรักเข้าสู่อ้อมอกอุ่นหลังจากที่นำพานางผ่านศึกรักอันดุเดือด จนร่างอวบอิ่มนอนหลับตานิ่งอย่างอ่อนแรงและทำท่าจะเคลิ้มหลับไปดังเช่นในทุกครา
“อาคุนส่งจดหมายมาบอกว่าเขาถูกลอบทำร้าย” เพียงประโยคเดียวที่บอกกล่าวทำให้หัวใจของผู้เป็นมารดากระตุก ‘เช่อหลิว’สนมงามผู้ครองใจจ้าวผู้ครองแคว้นลืมตาตื่นขึ้นมาในทันที
“จริงหรือเจ้าคะ แล้วตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง บาดเจ็บที่ตรงไหนหรือไม่” ร่างอวบอิ่มผุดลุกขึ้นนั่งอวดความงามของวัยสาวต่อสายตาของสวามีอย่างไม่ใส่ใจ ด้วยตอนนี้จิตใจของนางพุ่งออกไปหาบุตรชายเพียงคนเดียวของตนที่อยู่นอกพระราชวังเสียแล้ว
“ใจเย็นๆเขาปลอดภัยดี เจ้าอย่าเป็นกังวลไปเลย เหล่าองครักษ์ที่ติดตามเขาไปนั้นล้วนเป็นยอดฝีมือที่ข้าเป็นคนคัดเลือกด้วยตนเอง ยังต้องมีอะไรน่าห่วงอีกหรือ หือ” จมูกโด่งของเขาฝังลงบนพวงแก้มนุ่มนั้นอย่างอดใจไม่ไหว แม้นว่าพระองค์จะผ่านราตรีวสันต์กับนางมาจนกระทั่งมีบุตรด้วยกันถึงหนึ่งคนแล้ว แต่ความหลงไหลในร่างบางขาวผ่องนี้นั้นไม่เคยลดน้อยลงเลยแม้แต่น้อยทั้งยังมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นในทุกๆวัน
“ท่านพี่ ท่านจะต้องคุ้มครองอาคุนให้ดีนะเจ้าคะ อย่าให้ใครแตะต้องเขาได้แม้แต่ปลายเล็บ หาไม่แล้วข้าคงจะทนนิ่งเฉยต่อไปไม่ไหว” คำกล่าวเยี่ยงสามัญชนที่หาได้ยากยิ่งในวังหลวงแห่งนี้ แต่มันกลับบ่งบอกได้ถึงความรักที่แน่นแฟ้นที่ไร้ซึ่งตำแหน่งหรือชาติกำเนิดขวางกั้น
“ย่อมเป็นเช่นนั้น ยอดรักของข้า จะไม่มีใครหน้าไหนแตะต้องได้แม้แต่ปลายเส้นผมของลูกของเรา เจ้าจงวางใจเถิด” เมื่อได้ฟังคำมั่นสัญญาที่หนักแน่นดั่งขุนเขาจากพระสวามีผู้สูงศักดิ์ ร่างขาวผ่องจึงทอดกายลงในอ้อมอกของเขาอีกครั้งอย่างวางใจ เพราะนางเชื่อในคำกล่าวของคนผู้นี้ที่ตลอดเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมา ทุกการกระทำของเขาย่อมเป็นสิ่งยืนยันได้ดีถึงความรักและความใส่ใจที่เขามีให้พวกนางสองแม่ลูกอย่างสม่ำเสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลง นับตั้งแต่วันที่นางได้ตัดสินใจก้าวตามเขาเข้ามายังพระราชวังแห่งนี้
เดิมทีนั้นนางนั้นเป็นบุตรสาวของหัวหน้าเผ่าชาวเขาที่ใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาเป็นตายที่เต็มไปด้วยสัตว์ป่าดุร้าย บ้างก็เป็นสัตว์วิญญานที่มีพลังปราณเช่นมนุษย์ แต่ที่แห่งนั้นกลับเป็นเกราะกำบังชั้นดีที่มักจะเป็นที่หลบเร้นกายของผู้มีพลังปราณเพื่อฝึกฝนพลังของตนซึ่งนางก็เป็นหนึ่งในนั้น วันหนึ่งที่นางออกมาจากหุบเขาเพื่อนำของป่ามาขายในหมู่บ้าน ขากลับจึงพบเข้ากับกลุ่มคนที่กำลังรุมทำร้ายชายผู้หนึ่ง และ’หวางเย่’ที่พึ่งขึ้นครองราชย์ก็คือชายผู้นั้น ในยามนั้นเขาได้ปลอมกายเป็นชาวบ้านลอบออกไปนอกวังเพื่อค้นหาเบาะแสของการมีอยู่ของสัตว์วิญญานที่มีพลังปราณสายฟ้าที่หาได้ยากนัก แต่ระหว่างทางกลับมีคนร้ายที่ถูกจ้างวานมาเพื่อลอบปลงพระชนม์รุมล้อมเข้าทำร้ายจนเกิดการเพลี่ยงพล้ำถูกพิษทำให้นางได้ช่วยเหลือเขาเอาไว้ ก่อนจะพาเขากลับเข้าไปพักรักษาตัวยังหมู่บ้านในหุบเขาเป็นตายที่ครอบครัวของนางพักอาศัยอยู่ จากความใกล้ชิดที่มีต่อกันทำให้ก่อเกิดเป็นความรักที่แน่นแฟ้น เขาจึงขอร้องให้นางตามเขากลับไปยังเมืองหลวงโดยได้ให้สัญญาว่าจะปกป้องดูแลนางเป็นอย่างดี ทั้งยังคิดที่จะให้นางตั้งครรภ์องค์รัชทายาทของแคว้นอีกด้วย เพียงแต่นางไม่เคยปรารถนาอำนาจหรือสิ่งจอมปลอมเหล่านั้น สิ่งเดียวที่นางต้องการก็คือการได้ใช้ชีวิตอยู่เคียงข้างเขาอย่างสุขสงบและมีความสุขชั่วชีวิต
“เช่อหลิว” สุรเสียงทุ้มดังขึ้นที่ข้างหูเล็ก
“เจ้าคะ” เสียงอ่อนหวานตอบรับอย่างแผ่วเบาเมื่อความง่วงงุนเริ่มเข้าครอบงำอีกครั้ง
“มีลูกหญิงให้ข้าอีกซักคนเถิดนะ ข้าอยากมีองค์หญิงน้อยๆไว้คอยออดอ้อนบ้าง” โอรสสวรรค์ผู้เป็นใหญ่เหนือใคร กลับต้องมาออดอ้อนขอบุตรสาวจากสนม หากมีผู้ใดมาได้ยินเข้าคาดว่าคงจะต้องปวดใจปนริษยากับความรักความโปรดปรานที่ฮ่องเต้หวางเย่มีให้แก่สนมรักเช่อหลิวเป็นแน่ ทั้งยังคำพูดเยี่ยงสามัญชนที่มีเพียงนางที่กล้าเอื้อนเอ่ยกับเขาเฉกเช่นสามีภรรยาคนธรรมดาทั่วไปหาใช่พระสนมกับเจ้าผู้ครองแคว้นนั้นอีก ที่แม้แต่หงส์คู่บัลลังก์อย่างฮองเฮาก็ยังไม่กล้าเอื้อนเอ่ยมันออกมา นับว่าความโปรดปรานที่พระองค์ทรงมีให้แก่นางนั้นไม่อาจดูเบาได้เลยแม้แต่น้อย