คำขอของผู้สูงศักดิ์

2025 คำ
“อะไรนะพะย่ะค่ะ” เเม่ทัพหนุ่มอุทานออกมา เมื่อได้ยินคำตรัสขององค์ชายน้อยตรงหน้า เหลียวเห็นฮูหยินของตนทำท่าจะเป็นลมเมื่อได้ยินคำขอของผู้สูงศักดิ์ “ท่านได้ยินไม่ผิดหรอกท่านแม่ทัพ เราอยากได้ตัวบุตรชายทั้งสองของท่านมาฝึกเป็นองครักษ์คอยอยู่ข้างกายเราจริงๆ” องค์ชายสี่หวางคุนย้ำคำอีกครั้งอย่างบ่งบอกถึงความตั้งใจที่มี วังหลวงกว้างใหญ่หากมีองครักษ์ข้างกายที่มากฝีมือทั้งยังสามารถไว้ใจได้ ในกาลข้างหน้าเขาหรือจะต้องหวั่นเกรงผู้ใด “เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้วพะย่ะค่ะ แต่ช่างน่าเสียดายยิ่งนักที่บุตรชายทั้งสองของกระหม่อมนั้นเป็นแค่เพียงคนธรรมดาไร้ความสามารถ คาดว่าคงจะไม่อาจรับใช้สนองพระประสงค์ของพระองค์ได้พะย่ะค่ะ” เมื่อปฏิเสธไม่ได้เยี่ยหัวจึงกลั้นใจพูดปดออกไป ไหนๆยามนี้บุตรชายทั้งสองยังไม่ถึงเวลาวัดพลังปราณ จะมีผู้ใดล่วงรู้ได้กันว่าพลังปราณของพวกเขาได้ตื่นขึ้นมาแล้ว “ท่านแม่ทัพ หากผู้มีพลังปราณปฐพีและปราณสายฟ้าเป็นผู้ด้อยความสามารถเสียแล้วล่ะก็ คาดว่าในแผ่นดินนี้คงจะหาผู้เก่งกาจไม่ได้เสียแล้วกระมัง” ผู้รู้เท่าทันความคิดของการต้องการหลีกเลี่ยงหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นแม่ทัพผู้นำตระกูลเยี่ยทำหน้าราวกับว่ากำลังถูกผีหลอกเมื่อได้ยินคำพูดนั้นของเขา ‘หึ!มีหรือที่เขาจะยอมให้สองพี่น้องอัจฉริยะคู่นี้หลุดมือไปได้ ธรรมดาคนเราพลังปราณจะตื่นขึ้นเมื่ออายุเกือบสิบหนาวหรือเกินสิบหนาวไปแล้ว แต่สองพี่น้องคู่นี้คนพี่ยังมีอายุเพียงแค่แปดหนาวเท่านั้นพลังยังปราณก็ตื่นขึ้นมาแล้ว คงไม่ต้องพูดถึงคนน้องที่มีอายุเพียงหกหนาวคนมีความสามารถเช่นนี้หากเขาปล่อยให้หลุดมือไป ก็อย่ามาเรียกเขาว่าองค์ชายสี่’ “พระองค์!! พระองค์ทรงทราบได้อย่างไรพะย่ะค่ะ” เยี่ยหัวถามออกมาอย่างเลื่อนลอย ตอนนี้เขากำลังรู้สึกราวกับว่าตนกำลังถูกไม้หน้าสามตีเข้ากลางแสกหน้ายังไงยังงั้น ความลับของตระกูลเยี่ยกำลังจะไม่เป็นความลับอีกต่อไปอย่างงั้นหรือ เมื่อเห็นอาการตกตะลึงของแม่ทัพหนุ่มผู้เยาว์สูงศักดิ์จึงสะบัดมือเป็นเชิงออกคำสั่ง เพียงชั่วครู่ประตูของห้องโถงทั้งสี่ทิศรอบนอกก็เต็มไปด้วยเหล่าองครักษ์ที่ยืนปักหลักไม่ให้ผู้ใดสามารถก้าวเข้ามาล่วงล้ำยังบริเวณที่พวกเขาพูดคุยกันทันที ”เรารู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ เพราะฉะนั้นหากเราไม่มั่นใจ เราไม่มีวันที่จะเอ่ยมันออกมา” เมื่อได้สบนัยน์ตามังกรที่มีความเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดที่ผู้เยาว์ตรงหน้าตั้งใจเผยให้เห็น เยี่ยหัวจึงนึกรู้ขึ้นมาว่าที่แท้คนตรงหน้าก็เป็นดั่งเช่นพยัคฆ์ห่มหนังกระต่ายที่เก็บซ่อนเขี้ยวเล็บได้ชนิดที่หากเขาไม่ตั้งใจจะเผยความสามารถออกมาก็ย่อมจะไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้เลย “ทูลองค์ชาย กระหม่อมมีบุตรชายเพียงแค่สองคน หากจะต้องไปเป็นองครักษ์เสียทั้งหมด เห็นทีว่าคงไร้ซึ่งคนสืบทอดตำแหน่งแม่ทัพเป็นแน่ ขอทรงวินิจฉัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อรู้ว่าตนไม่อาจปิดบังคนตรงหน้าได้เยี่ยหัวจึงตัดสินใจกล่าวออกไปตามความเป็นจริง ดังเช่นวิสัยทหารที่มักจะไม่เก่งทางด้านการเจรจายืดเยื้อหรือพูดจาอ้อมค้อมชักแม่น้ำทั้งห้าดั่งเช่นเหล่าขุนนางในเมืองหลวง “ถ้าเช่นนั้น เราก็จะบอกกับท่านตามตรง บัลลังก์ไม่ใช่เป้าหมายในขีวิตของเรา เพียงแต่ผู้อื่นกลับไม่คิดเช่นนั้น ในทุกวันเราจึงต้องพบพานกับการลอบฆ่านับครั้งไม่ถ้วน ทั้งๆที่เราไม่เคยแสดงออกถึงความสามารถใดๆให้อื้อฉาว แต่เพราะเสด็จแม่ทรงเป็นพระสนมที่เสด็จพ่อทรงโปรดปรานมากที่สุดทำให้ทุกคนคิดว่าเราหวังในราชบัลลังก์ แต่ท่านจะเชื่อหรือไม่ว่าเสด็จพ่อทรงมีองค์รัชทายาทในพระทัยอยู่แล้ว ดังนั้นบุตรชายทั้งสองของท่านจะไม่ได้รับหน้าที่เป็นแค่องครักษ์ของเราเพียงเท่านั้น แต่พวกเขาจะได้รับหน้าที่ๆสำคัญยิ่งกว่านั้น ก็คือ หน้าที่คุ้มครองความปลอดภัยของว่าที่องค์รัชทายาทอีกด้วย” “…” “ถ้าเป็นเช่นนั้นก็สุดแท้แต่พระประสงค์เถิดพะย่ะค่ะ” เยี่ยหัวประสานมือค้อมกายเอ่ยคำอย่างเข้าใจถ่องแท้ถึงจุดประสงค์ สายเลือดตระกูลเยี่ยเป็นสันหลังของแคว้นมาตั้งแต่บรรพบุรุษ วันนี้หากจะมีลูกหลานเดินแตกแถวไปบ้างก็คงจะไม่เป็นไรกระมัง “เพื่อเป็นการแสดงถึงความจริงใจตอบแทนที่ท่านและตระกูลภักดีต่อแว่นแคว้นมาโดยตลอด เราจึงมีสิ่งหนึ่งที่จะมอบให้ท่านเก็บเอาไว้” มือเล็กยื่นแผ่นป้ายกลมขนาดเล็กสีทองที่มีตัวอักษรล้ำค่าสองคำให้แก่แม่ทัพหนุ่ม เขาจึงรับเอามาถือไว้ เมื่อใช้สองตากวาดมองผ่านๆไปยังตัวอักษร’อภัย’สองคำนั้น เข่าของแม่ทัพหนุ่มก็ทรุดลงตรงหน้าของผู้เยาว์สูงศักดิ์อย่างทรงตัวไม่อยู่ “เป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อตระกูลเยี่ยยิ่งแล้วพะย่ะค่ะ” ถึงกับยกป้ายอภัยโทษที่เขาใช้เพียงตาเดียวดูก็รู้ว่าเป็นแผ่นป้ายที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ ที่ผู้ครองแคว้นมักจะทำขึ้นเพื่อมอบให้กับเหล่าองค์ชายที่มีความดีความชอบ หรือบุตรที่พระองค์ทรงโปรดปรานเป็นพิเศษเพื่อในการปกป้องตนเอง ไว้เอาตัวรอดจากโทษทัณฑ์อันมิชอบให้แก่เขา แล้วจะไม่ให้เขาทรุดกายลงเช่นนี้ได้เยี่ยงไร “ลุกขึ้นเถิด พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางแต่เช้า ขอให้พวกเจ้าเตรียมตัวให้พร้อม อ้อ ถ้าไม่ทำให้พวกท่านลำบากใจมากนัก เราขอคุยกับเจินเอ๋อร์น้อยเสียหน่อยจะได้หรือไม่เล่า” “ไม่ได้!!” เสียงของเยี่ยฉวนดังสวนขึ้นมาทันควัน ก่อนจะถูกมารดาลากตัวไปยืนด้านข้าง “เยี่ยฉวน อย่าหวงนางไม่หน่อยเลย เราก็แค่มีของจะมอบให้นางก็เท่านั้น” ผู้เยาว์ที่ถือตนว่าสูงศักดิ์กว่า เอ่ยขึ้นก่อนจะเดินไปทรุดกายลงนั่งอย่างรอคอยให้ทุกคนออกไป เมื่อเห็นดังนั้นผู้นำตระกูลเยี่ยอย่างเยี่ยหัวก็ส่งสายตาขับไล่บุตรชายและภรรยาให้ออกไปก่อนที่ตนจะก้าวเดินปิดท้าย “เจินเอ๋อร์ มานั่งตรงนี้สิ” เมื่อเห็นว่าร่างน้อยยืนกอดอกทั้งยังทำหน้าบูดบึ้งใส่เขา องค์ชายผู้ที่ไม่เคยมีใครกล้าทำปฏิกิริยาเช่นนั้นใส่สักครั้งเช่นหวางคุนก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างอดรนทนไม่ไหว “หยุดหัวเราะใส่เจินเอ๋อร์เดี๋ยวนี้นะ ไม่เช่นนั้นเจินเอ๋อร์จะไม่คุยด้วยเลย ฮึ!” เมื่อได้รับคำขู่อย่างโกรธเคืองจากร่างน้อยตรงหน้า เขาจึงพยายามหยุดอาการขบขันนั้นอย่างยากเย็น “เอาล่ะ เอาล่ะ ข้า ไม่สิ พี่จะไม่หัวเราะเจ้าอีก เช่นนั้นเรามาคุยกันดีๆตกลงมั้ย” องค์ชายน้อยผู้ฉลาดล้ำยอมยกธงยอมแพ้เมื่อเห็นท่าทีที่ขึ้งโกรธของซื่อเจิน “หึ เจินเอ๋อร์จะยอมคุยด้วยก็ได้” ว่าแล้วร่างน้อยก็เดินไปปีนขึ้นนั่งบนเก้าอี้ตัวสูงข้างกายของเขาก่อนจะหันมามองอย่างสำรวจคนตรงหน้าอีกครั้งอย่างคนที่ความสนใจใคร่รู้กลับมาอีกครั้ง ‘อือ ดูสิยิ่งมองใกล้ๆก็ยิ่งขาวเหมือนกับขนของเจ้ามู่เลย เอ ว่าแต่ถ้าลองจับดูจะนุ่มเหมือนกันมั้ยน้า’ สองตาดำขลับจดจ้องอยู่บนใบหน้าคมที่ขาวเนียนตัดกันกับคิ้วเข้มทั้งสองข้าง สองคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด เรียกรอยยิ้มให้ผุดขึ้นบนใบหน้าคมนั้นอย่างนึกเอ็นดู “ท่านมีอะไรจะคุยกับเจินเอ๋อร์หรือเจ้าคะ” เมื่อรู้ตัวว่าตนจับจ้องพี่ชายแปลกหน้าในระยะใกล้มากเกินไปแล้ว นางจึงเอ่ยถามขึ้นมาก่อนจะแสร้งหันมองไปทางอื่น “เรียกท่านพี่” หวางคุนแสร้งทำเสียงขรึม ในใจนึกสงสัยตนเองเช่นกันว่าทำไมถึงได้บอกให้เจ้าก้อนแป้งน้อยวัยห้าหนาวตรงหน้าเรียกขานตนเช่นนั้น แต่ก็ละความสงสัยนั้นทิ้งไปก่อนจะจับจ้องไปยังร่างน้อยตรงหน้าเป็นเชิงรอฟังคำเรียกขานที่ตนต้องการ “…” “ถ้าเจ้าเรียก พี่จะให้สิ่งนี้ดีหรือไม่” เมื่อเห็นท่าทีร่างเล็กยังคงนิ่งเฉย คนเจ้าแผนการจึงล้วงเข้าไปในอกเสื้อก่อนจะดึงเอากำไลข้อมือสีทองวิบวับมาชูขึ้นตรงหน้าเด็กน้อย ก่อนจะแอบอมยิ้มเมื่อเห็นสองตาดำขลับนั้นเปร่งประกายระยิบระยับกับสิ่งสวยงามตรงหน้า “ว่าอย่างไรเล่า เจินเอ๋อร์เด็กดี อยากได้หรือไม่” ซื่อเจินกลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่ ก่อนจะก้มลงมองกำไลข้อมือของตนสลับกับกำไลที่อยู่ในมือหนาตรงหน้า “เจินเอ๋อร์ไม่..ไม่อยากได้หรอก เจินเอ๋อร์มีของท่านแม่อยู่แล้ว นี่ไงสวยด้วย” เอ่ยเสียงแข็งอย่างยากเย็นพร้อมทั้งชูท่อนแขนน้อยๆที่มีกำไลของมารดาสวมอยู่อวดคนตรงหน้า “อ้อ แต่พี่ว่าถ้าเจินเอ๋อร์ได้สวมกำไลวงนี้เพิ่มเข้าไปคงจะเข้ากันมากแน่ๆ ทีนี้เจ้าก็จะมีกำไลสองวงที่งามมากๆอยู่ในครอบครอง แต่หากเจ้าไม่อยากได้พี่ก็จะเก็บมันเอาไว้เองก็ได้ เฮ้อ น่าเสียดายเสียจริง” กล่าวพลางทำท่าลูบไล้ของในมือเล่น เรียกให้สองตาดำขลับมองตามอย่างเสียดาย “แต่เอาเถิด พี่จะให้เจ้าลองสวมมันดูก่อน เพื่อเจ้าจะได้ตัดสินใจอีกทีว่าจะรับมันไว้หรือไม่” กล่าวแล้วก็ถือวิสาสะกุมมือเล็กเอาไว้ก่อนจะค่อยๆบรรจงสวมกำไลวงงามนั้นให้แก่เด็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าวงมันใหญ่เกินข้อมือของเด็กวัยห้าหนาว องค์ชายน้อยจึงดึงมันกลับออกมาก่อนจะย่อกายลงไปสวมให้ยังข้อเท้าเล็กแทน ซึ่งหากมองผิวเผินก็เหมือนดังกับว่าพระองค์กำลังคุกเข่าให้กับเด็กน้อยตรงหน้า เมื่อสวมเสร็จจึงเงยพระพักตร์ขึ้นสบกับดวงตาดำขลับคู่นั้น ในอกของผู้สูงศักดิ์พลันมีระลอกคลื่นโถมเข้าโจมตีจนใบหน้าที่เริ่มมีเค้าโครงหล่อเหลาแดงก่ำขึ้นมาในทันที “แฮ่ม! เห็นไหมว่าเจ้าสวมแล้วงามยิ่งนัก” หวางคุนกระแอมแก้เก้อก่อนจะเอ่ยชมออกมา เขาไม่นึกเลยว่าเด็กน้อยตรงหน้าที่มีวัยเพียงห้าหนาวจะสามารถทำให้ตนรู้สึกเก้อเขินขึ้นมาได้ รอยยิ้มหวานผุดขึ้นบนใบหน้ากลมที่มีสองแก้มแดงปลั่งนั้นอย่างชอบใจ ซื่อเจินแกว่งขาไปมาก่อนจะเงยขึ้นมองสบตาคนตรงหน้าที่ยืนอมยิ้มมองนางอยู่ “ท่าน..ท่านพี่” เสียงเล็กๆเอ่ยขึ้นเบาๆอย่างไม่มั่นใจเรียกรอยยิ้มกว้างผุดขึ้นมาบนใบหน้าคมที่จับจ้องอยู่ สองตาดำขลับหลุบลงมองไปยังข้อเท้าของตนอย่างครุ่นคิด ‘ท่านแม่กับท่านอาทั้งสองแล้วก็พี่อาฉวนคงจะไม่โกรธนางหรอกใช่หรือไม่ที่นางเรียกพี่ชายแปลกหน้าว่าพี่อีกคน ก็นางชอบกำไลอันนี้นี่นา’ ^…^’
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม