รุ่งเช้าของวันใหม่เมื่อฟ้าเริ่มสาง ขบวนขององค์ชายสี่ก็ออกเดินทางอีกครั้งพร้อมด้วยสองพี่น้องตระกูลเยี่ยที่ยินยอมพร้อมใจที่จะติดตามผู้เยาว์สูงศักดิ์ไปยังหุบเขาเป็นตายเพื่อฝึกฝนวิชาการต่อสู้ต่างๆ ทั้งยังเป็นการหลบซ่อนตัวฝึกฝนพลังปราณประจำตัวโดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกพวกโจรลักพาตัวที่หมายหัวเหล่าเด็กน้อยที่มีพลังปราณจับตัวอีกด้วย เพราะในหุบเขาอันลึกลับนั้น หากไม่มีผู้นำทางก็ยากที่จะผ่านพ้นเข้าไปถึงยังใจกลางหุบเขาที่เป็นที่อยู่ของชนเผ่าชาวเขาที่เป็นญาติฝ่ายพระสนมมารดาของพระองค์ได้ ทำให้สามารถวางใจได้ว่าทุกคนจะปลอดภัย เข้ายามบ่ายของวันขบวนเดินทางทั้งสิบชีวิตก็มาถึงปากทางเข้าหุบเขา ก่อนที่จะพบเข้ากับผู้นำทางที่ได้รับหน้าที่ให้มานำพาคนทั้งหมดเข้าไปยังด้านใน เพราะก่อนที่องค์ชายน้อยจะออกเดินทางมานั้นพระมารดาของพระองค์ก็ได้ส่งจดหมายมาแจ้งล่วงหน้าไว้แล้ว
“ท่านชายน้อย” ‘หัวเก๋อ’คนสนิทของ’เช่อหยวน’ผู้เป็นตาขององค์ชายสี่หวางคุนประสานมือคำนับเด็กน้อยสูงศักดิ์ตรงหน้า เพราะผู้มาเยือนคือท่านชายน้อยหลานชายของท่านหัวหน้า เขาจึงต้องเป็นผู้มานำทางด้วยตนเองเพื่อไม่ให้เกิดสิ่งใดผิดพลาดขึ้น
“ท่านลุงเก๋อ สบายดีหรือขอรับ”
“ข้าน้อยสบายดี เชิญเถิดขอรับ ท่านหัวหน้ารออยู่” ทั้งหมดขึ้นม้าอีกครั้งก่อนจะควบตามกันเข้าไปโดยมีคนของหัวเก๋อปิดท้ายคอยคุ้มกันอยู่ด้านหลัง เมื่อเดินทางลึกเข้าไปในหุบเขาที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้นานาชนิดเสียงของสัตว์ป่าขนาดใหญ่ก็ร้องคำรามดังขึ้นมาเป็นระยะๆอยู่ไกลๆ ทั้งหมดจึงยิ่งเร่งความเร็วมากยิ่งขึ้นควบม้าหลบหลีกเส้นทางที่มีร่องรอยของสัตว์ใหญ่เพียงชั่วครู่ก็เห็นหลังคาของที่พักที่สร้างเรียงรายกันอยู่จำนวนมาก ผู้คนที่ยืนมองผู้มาเยือนต่างก็หลบหลีกให้ขบวนเดินทางมุ่งหน้าไปยังบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ตรงใจกลางของกลุ่ม ซึ่งเป็นที่พักของนายผู้เฒ่าหัวหน้าของชาวเขาแห่งนี้
“อาคุน!” เสียงเรียกหาจากหญิงชราที่ยังคงแข็งแรงดีดังขึ้น เมื่อได้ยินเสียงควบม้ามาหยุดลงตรงหน้าบ้าน องค์ชายสี่กระโดดลงจากหลังม้าได้ก็หันไปหาผู้ชราทั้งสองที่เดินออกมายืนยิ้มรอต้อนรับอยู่
“หลานคำนับท่านตาท่านยายขอรับ” ร่างเล็กสูงโปร่งคุกเข่าคำนับผู้เป็นตาก่อนจะถูกรวบตัวเข้าไปกอดอย่างคิดถึงจากนายหญิงผู้เฒ่า
“อาคุนหลานยาย ยายคิดถึงเจ้ายิ่งนัก แล้วหลิวเอ๋อร์เล่า มารดาเจ้านางไม่มากับเจ้าด้วยหรือ” เสียงชราสั่นเครือเมื่อเอ่ยถึงบุตรสาวเพียงคนเดียวของตนที่จากไปนานนับปี ก่อนจะกลับมาเยี่ยมเยียนนางครั้งสุดท้ายพร้อมกับองค์ชายน้อยๆแสนซนในวัยสองหนาวในตอนนั้น ความน่ารักน่าชังของหลานชายน้อยๆช่วยปลอบประโลมหัวใจผู้ชราที่คิดถึงบุตรสาวที่แต่งออกไปอยู่ห่างไกลให้พอทุเลาลงได้บ้าง
“ท่านแม่มาไม่ได้ขอรับ แต่นางก็ฝากความคิดถึงมาให้ท่านตากับท่านยายด้วยนะขอรับ ทั้งยังฝากชาดอกมู่ลี่(ดอกมะลิ)มาให้ท่านยายด้วย” ร่างเล็กรับห่อผ้าที่คนสนิทยื่นให้มาส่งให้กับผู้เป็นยาย ก่อนจะรับอีกห่อนึงที่เป็นมีดสั้นสองเล่มที่มีด้ามจับลวดลายงดงามมายื่นให้ชายชรา
“อันนี้เป็นของท่านตาขอรับ เสด็จพ่อได้แร่มาจากทางเหนือท่านแม่ก็เลยแบ่งมาสั่งให้คนตีเป็นมีดสั้นฝากมาให้ท่านตาขอรับ”
“ขอบใจมากอาคุน ฝากขอบใจมารดาของเจ้าด้วย เอาล่ะ พวกเจ้าพึ่งเดินทางมาเหนื่อยๆไปพักผ่อนกันเสียก่อนเถิด แล้วเดี๋ยวค่อยมารับสำรับเย็นพร้อมกัน”
“ขอรับ ถ้าอย่างนั้นหลานก็ขอตัวก่อนนะขอรับ” ทั้งหมดจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อนยังที่พักที่ได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้ต้อนรับตั้งแต่ที่ได้รับจดหมายแจ้งการมาของพวกเขาเมื่อหลายวันก่อน
“ไม่ได้เรื่อง พวกเจ้าทำงานกันยังไง ถ้าท่านอ๋องมาตรวจดูคนแล้วรู้ว่าแทบจะจับตัวเด็กพวกนั้นมาไม่ได้เลย พวกเจ้าโดนหนักแน่” เสียนกู่ตวาดดังลั่นก่อนจะหันไปถีบเอาลูกน้องคนหนึ่งจนหงายหลังไปนอนร้องโอดโอยอย่างระบายอารมณ์
หลายปีมานี้อ๋องแปดเฝ้าซ่องสุมกำลังพลจนได้นักรบปราณมาหลายพันนายแล้ว เหล่าเด็กน้อยที่ถูกจับตัวมาต่างก็ถูกเคี่ยวกรำอย่างหนักเพื่อให้เป็นกองกำลังสำรอง ทุกคนต่างก็ถูกกรอก’ผงดึงใจ’ ที่มีฤทธิ์กล่อมประสาทให้เชื่องช้าจนกระทั่งกลายเป็นคนที่ตามคำสั่งอย่างไม่มีข้อโต้แย้งทำให้ไม่มีผู้ใดคิดขัดขืน อีกเพียงแค่สองวันก็จะเป็นวันที่อ๋องแปดรอคอย มันคือวันแห่งการรำลึกถึงเหล่าอดีตบูรพกษัตริย์ที่ก่อตั้งแคว้นหนานนี้ให้เป็นปึกแผ่น ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันและเหล่าราชวงศ์จะทำการถือศีลภาวนาสามวันสามคืนเพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูต่อเหล่าอดีตฮ่องเต้ที่ล่วงลับ ดังนั้นนับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะมีผู้ฉวยโอกาสเป็นกบฏ เพราะเหล่าเชื้อพระวงศ์จะอยู่กันพร้อมหน้าจึงนับว่าสามารถฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้ในคราเดียว ซึ่งแผนการนี้นับว่าเป็นแผนที่ไร้ช่องโหว่ อีกทั้งยังไม่ได้มีแต่อ๋องแปดเท่านั้นที่ต้องการจะก่อกบฏแต่ยังมีอ๋องสามและอ๋องเก้าอีกด้วย ดังนั้นหากมีการลงมือใดๆของอ๋องทั้งสองอ๋องแปดนายของเขาก็เพียงแค่นั่งอยู่บนภูดูเสือกัดกัน และหากถึงที่สุดเขาก็แค่จัดการกับคนที่เหลือรอดออกมาและหยิบชิ้นปลามันก็เท่านั้นนับว่าคุ้มค่าต่อการรอคอยยิ่งนัก
ในพระราชวัง แคว้นฉู่
”ทูลฝ่าบาท สายข่าวของเรารายงานมาว่าแคว้นหนานเกิดการก่อกบฏขึ้นมาพะย่ะค่ะ” ขันทีประจำพระองค์กล่าวรายงานก่อนจะยื่นสาส์นที่ได้รับมาจากสายลับที่แฝงตัวอยู่ต่างแคว้นให้แก่ผู้เป็นนาย
“ในที่สุด อ๋องแปดผู้นั้นก็ทำสำเร็จจนได้ ต่อไปแคว้นต่างเมืองก็คงจะต้องรับศึกหนักจากคนผู้นี้แน่นอน” หวางเย่ฮ่องเต้ตรัสขึ้น หลังจากที่ทรงทอดพระเนตรข้อความเขียนรายงานถึงสถานการณ์ของแคว้นหนานที่อยู่ในนั้น พระเนตรมังกรมีแววครุ่นคิดปนหนักใจน้อยๆ เพราะเมื่อหลายปีก่อนพระองค์เคยได้พบและได้เสวนากับอ๋องแปดแห่งแคว้นหนานมาแล้ว ทรงได้ทอดพระเนตรเห็นแววตาแห่งความทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่ของคนผู้นั้น เวลาผ่านพ้นไปหลายปีทรงนึกไม่ถึงว่าในที่สุดก็มีวันนี้ วันที่ทุกแคว้นต่างก็ต้องตื่นตัวกับการเปลี่ยนแปลงของแคว้นใหญ่เช่นแคว้นหนานที่ต้องตกอยู่ในมือของกษัตรกบฏ ต่อจากนี้ตามชายแดนของแคว้นรอบข้างคงจะต้องระส่ำระสายอย่างแน่นอน คนผู้นั้นคงไม่หยุดเพียงแค่การเป็นกบฏชิงบัลลังก์เพียงแค่นั้นแน่
”สั่งการลงไปให้แม่ทัพตามเขตแนวชายแดนที่ติดกับแคว้นหนานวางกองกำลังให้มากกว่าเก่าและตรวจตรากันให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น หากพบสิ่งใดผิดปกติให้ส่งม้าเร็วมาขอกำลังเสริมได้ทันที”
”รับด้วยเกล้าพะย่ะค่ะ”
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปถึงสามปีแล้วที่องค์ชายสี่หวางคุนกับสองพี่น้องสกุลเยี่ยได้เข้ามาอยู่ในหุบเขาเป็นตาย ทุกคนต่างก็ฝึกฝนวิชาการต่อสู้ตามที่ตนถนัดแตกต่างกันออกไป แต่สำหรับสองพี่น้องนั้นพวกเขามักจะพากันฝึกฝนอย่างหนักอยู่เสมอๆเพราะตั้งแต่วันแรกที่เริ่มการฝึกพวกเขาก็ได้รับรู้ถึงความจริงที่ทำร้ายจิตใจของคนทั้งคู่อย่างหนัก ด้วยเหตุที่ว่าองค์ชายน้อยผู้นั้นไม่เพียงแค่สามารถรับรู้ได้ถึงพลังปราณของผู้อื่น แต่เขายังแสดงให้พวกตนได้เห็นถึงพลังปราณของผู้ที่ถูกตราหน้าว่าไร้ค่าเป็นเพียงกาฝากของราชวงศ์ เพราะแท้จริงแล้วคนผู้นี้กลับเป็นอัจฉริยะผู้ซ่อนเร้นที่เกินจะหาใครเทียบเคียงได้ในแผ่นดินเพราะเขาคือผู้มีพลังปราณถึงสองสายคือปราณสายฟ้าและปราณปฐพี ซึ่งทั้งสองปราณนี้นั้นเป็นปราณแห่งนักรบทั้งคู่ ดังนั้นพี่น้องสกุลเยี่ยจึงรู้สึกกดดันในความด้อยฝีมือของตนจนต้องพากันฝึกฝนเป็นสองเท่าในทุกๆวัน
เคร้ง!! พลั่ก!! ร่างสูงที่มีกล้ามเนื้ออย่างคนที่ออกกำลังกายอยู่เป็นนิจของเยี่ยฉวนกระเด็นลอยไปตกอยู่ชายป่าด้วยแรงสะท้อนจากปราณสายฟ้าขององค์ชายสี่
“วันนี้พอแค่นี้เถิด ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องทำอีก” เสียงทุ้มแหบดังขึ้นก่อนจะหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้เยี่ยเฉินเร่งเดินเข้าไปประคองน้องชายของตนที่นอนแผ่อยู่
“อาฉวน เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกคิดที่จะเอาชนะองค์ชายสี่เสียที เฮ้อ!” ผู้เป็นพี่ชายบ่นพลางเดินไปหยิบเอาดาบที่กระเด็นตกอยู่มายื่นคืนให้
“ข้าแค่อยากจะเก่งขึ้นเท่านั้น ไม่ได้อยากจะเอาชนะเสียหน่อย” น้ำเสียงแหบเฉกเช่นคนที่เริ่มเป็นหนุ่มเอ่ยขัดคำกล่าวของพี่ชาย ก็มันจริงนี่นา เขาก็แค่อยากจะพิสูจน์ฝีมือของคนที่คิดจะมาดูแลเจ้าก้อนแป้งน้อยของเขาก็เท่านั้น เขาแค่อยากจะมั่นใจว่าคนผู้นั้นจะสามารถดูแลนางได้จริงๆ เพราะแม้ว่าพวกตนจะเข้ามาอยู่ในหุบเขาแห่งนี้แต่ก็ใช่ว่าจะขาดการติดต่อกับทางบ้านเสียเมื่อไหร่ ในทุกเดือนพวกตนก็จะให้คนส่งจดหมายติดต่อไปยังทางบ้านเพื่อบอกเล่าถึงความเป็นอยู่สารทุกข์สุกดิบกับบิดามารดากันเดือนละครั้ง แต่คนบางคนกลับฉวยโอกาสส่งจดหมายติดต่อไปหาเจ้าก้อนแป้งน้อยของเขาอาทิตย์ละครั้งเลยเสียด้วยซ้ำ มากกว่าเขาที่เป็นพี่ชายเสียอีก แล้วเช่นนี้จะไม่ให้เขารู้สึกหมั่นไส้! อะแฮ่ม! รู้สึกเป็นห่วงได้อย่างไรกัน
“เอาเถิด แต่เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่า พระองค์ไม่ใช่คนที่เจ้าหรือข้าจะเอาชนะได้ง่ายๆ” แค่เป็นผู้ฝึกพลังปราณสายฟ้าที่เก่งวิชาดาบก็ถือว่าเอาชนะได้ยากแล้ว นี่พระองค์กลับเป็นถึงผู้มีพลังปราณปฐพีร่วมด้วยอีก ต่อให้เขาร่วมมือกันกับน้องชายก็ใช่ว่าจะเอาชนะได้ง่ายๆ เพราะปราณสายฟ้านั้นนับว่าเป็นปราณแห่งการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดแต่หากจะพูดกันในเรื่องของการตั้งรับและป้องกันที่แข็งแกร่งนั้น ปราณใดๆก็ไม่อาจสู้ปราณปฐพี แต่นี่องค์ชายสี่กลับมีทั้งการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมและการตั้งรับที่แข็งแกร่งอยู่ในตัวพร้อมๆกัน เช่นนี้แล้วการที่จะเอาชนะพระองค์ได้ต้องนับว่าเป็นงานหินก้อนใหญ่ๆเลยทีเดียว
“ข้ารู้แล้วน่ะพี่ใหญ่ ไปกันเถิดข้าหิวแล้ว ไม่รู้ว่าท่านยายจะทำอะไรให้พวกเรากินวันนี้” เพราะอยู่ที่นี่เข้าปีที่สามแล้ว นายหญิงผู้เฒ่าจึงคล้ายกับจะมีหลานชายเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน ด้วยเพราะมีแต่พี่น้องสกุลเยี่ยและองค์ชายสี่เท่านั้นที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม นางจึงมักจะทำขนมหรือของกินอร่อยๆสำหรับเด็กมาให้พวกเขาอยู่เสมอๆ นานวันเข้าจากนายหญิงผู้เฒ่าก็กลายเป็นท่านยาย จากนายท่านผู้เฒ่าก็กลายเป็นท่านตาและจากที่เคยต้องใช้คำราชาศัพท์ก็กลายเป็นท่านข้าดั่งเช่นคนธรรมดาสามัญ