“นี่คือรถม้าจากจวนสกุลเยี่ยแม่ทัพของแคว้น ขอทุกท่านโปรดยั้งมือ” หัวหน้าทหารของกลุ่มอารักขาของสองพี่น้องรีบกล่าวเสียงดังขึ้นมาทันทีที่เห็นรังสีสังหารแผ่ออกมาจากคนชุดดำที่แยกจากกลุ่มมาดักทางพวกเขาเอาไว้ เพราะสองในสามนั้นมีพลังธาตุสายฟ้าหนึ่งในพลังธาตุนักรบ ทำให้เขาคาดได้ว่าการนี้น่าจะตึงมือยิ่งนักจึงคิดที่จะยับยั้งคนกลุ่มนั้นด้วยตราแม่ทัพแห่งแคว้น ที่อาจจะช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากสถานการณ์อันตรายเช่นนี้โดยไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อกันทั้งสองฝ่ายก็เป็นได้
“จวนแม่ทัพ!!เช่นนั้นก็ช่วยพวกข้าอารักขาองค์ชายสี่ด้วยเถิด” ไม่นึกว่าหนึ่งในองครักษ์ของกลุ่มที่ถูกโจมตีจะได้ยินคำกล่าวของหัวหน้าทหารผู้นี้ จึงเร่งออกคำสั่งกับเขาพลางตนเองก็เร่งรับมือกับคนชุดดำที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
“องค์ชายสี่!!” ทหารที่คอยอารักขารถม้าของสองพี่น้องอุทานออกมาพร้อมๆกัน นี่น่ะหรือองค์ชายสี่ที่มีข่าวลือกันว่าเป็นเพียงองค์ชายปลายแถวที่ห่างไกลบัลลังก์ทั้งยังมีร่างกายที่แสนจะอ่อนแอไร้ซึ่งพลังปราณใดๆผิดจากองค์ชายอื่นๆที่ล้วนแล้วแต่ถือครองพลังปราณชนิดต่างๆกันทั้งสิ้น แต่เด็กชายวัยไล่เลี่ยกับคุณชายใหญ่สกุลเยี่ยที่ยืนอยู่ ณ เบื้องหน้านั้นช่างแตกต่างจากคำร่ำลือราวกับว่าเป็นคนละคนกัน ร่างเล็กของเด็กหนุ่มที่ยังไม่เติบโตเฉกเช่นชายหนุ่มแต่กลับมีความทะนงอย่างน่าหวาดหวั่น ร่างเล็กที่ค่อนข้างสูงโปร่งทั้งยังมีใบหน้าที่มีเค้าของความหล่อเหลายืนสงบนิ่งอยู่กลางวงล้อมของเหล่าองครักษ์มือดีนับสิบ สีหน้าของเด็กน้อยเรียบเฉยท่ามกลางการต่อสู้ที่ดุเดือดจนพื้นป่าเต็มไปด้วยโลหิตหลั่งรินราวกับว่าเรื่องเช่นนี้เป็นสิ่งปกติธรรมดาที่เขาพบพานมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
“ไปช่วยเร็วเข้าเถิด ชักช้าจะไม่ทันการ” เยี่ยเฉินโผล่หน้ามาออกคำสั่ง เมื่อเห็นว่าทหารอารักขาของตนอึกอักอย่างทำสิ่งใดไม่ถูก ด้วยหน้าที่ๆพวกเขาได้รับมอบหมายจากท่านแม่ทัพใหญ่’เยี่ยก๋วน’ก็คือการอารักขาส่งหลานชายทั้งสองของเขากลับจวนสกุลเยี่ยอย่างปลอดภัย แต่ยามนี้หนึ่งในเชื้อพระวงศ์กำลังมีภัยซึ่งหากว่าพวกเขาไม่รับรู้ว่าเป็นผู้ใดก็คงจะไม่มีปัญหาใดๆ แต่นี่พวกเขาทั้งหมดก็ได้รับรู้เเล้วหากทำนิ่งเฉยคาดว่าถ้าเรื่องนี้ถูกรายงานขึ้นไปถึงเบื้องบน พวกเขาไม่แคล้วคงจะต้องถูกประหารกันยกตระกูลที่ปล่อยให้หนึ่งในโอรสของผู้ครองแผ่นดินถูกทำร้ายถึงชีวิตโดยที่ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือ
“พวกเจ้าไป” หัวหน้าทหารหนุ่มตัดสินใจสั่งการให้ทหารมือดีที่มาช่วยอารักขาให้ออกไปต่อสู้ ส่วนตนยังคงยืนปักหลักคอยอารักสองพี่น้องอยู่เช่นเดิม เมื่อทหารทั้งสามนายขยับกายพุ่งเข้าไปปะทะกับเหล่าคนชุดดำ พลังปราณของพวกเขาก็พลันปรากฎ ทั้งหมดคือผู้มีพลังปราณสายฟ้าแห่งนักรบปราณที่ภักดีต่อสกุลเยี่ย องค์ชายสี่’หวางคุน’หันมาจับจ้องยังทหารคุ้มกันของสกุลเยี่ยที่เป็นถึงนักรบปราณ นับว่าการถูกลอบสังหารครั้งนี้ทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาแล้ว คาดว่ากำลังพลของตระกูลเยี่ยนั้นมิอาจดูเบาได้จริงๆ นับว่ายังดีที่พวกเขาทั้งตระกูลล้วนเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อีกทั้งเหล่าบุตรชายของสกุลนี้มักจะชอบฝ่ายบู๊มากกว่าบุ๋น พวกเขาจึงเก่งกาจในฝีมือทางการรบมากกว่าทางการใช้คำพูดจาประจบสอพลอ
เมื่อมีนักรบปราณฝีมือร้ายกาจเข้ามาร่วมต่อสู้ด้วยทำให้กลุ่มชายชุดดำเริ่มเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ เพราะลำพังแค่องครักษ์ขององค์ชายสี่ผู้นั้นก็มีฝีมือไม่ด้อยอยู่แล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นนักรบปราณและเมื่อหากนับรวมกับทหารอีกสามนายที่มีฝีมือร้ายกาจก็นับว่าเป็นต่ออย่างเห็นได้ชัด การต่อสู้ดำเนินต่อไปเพียงหนึ่งเค่อเท่านั้นเหล่าคนชุดดำก็กลายเป็นศพจนเกือบหมด เหลือเพียงแค่เพียงสองคนที่ถูกจับเป็นเพื่อใช้ในการสอบสวนถึงผู้บงการ
“ถวายพระพรองค์ชายสี่ กระหม่อมเยี่ยเฉินและน้องชายเยี่ยฉวน ขอถวายพระพรพะย่ะค่ะ” สองพี่น้องลงมาจากรถม้าเมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างสงบลง ก่อนจะพากันคุกเข่าลงตรงหน้าผู้สูงศักดิ์
“ลุกขึ้นเถิด เรามาในฐานะสามัญชนไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์กับเราหรอก” องค์ชายน้อยตรัสบอกก่อนจะลอบสำรวจสองพี่น้องสกุลเยี่ยตรงหน้า หน่วยก้านดียิ่งนักสมกับเป็นบุตรจากตระกูลนักรบ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกถูกชะตา มันสมองอันชาญฉลาดของโอรสเจ้าแผ่นดินผุดความคิดหนึ่งขึ้นมาอย่างกระทันหัน จนต้องแอบกระหยิ่มยิ้มย่องกับตนเองอยู่ภายในใจ
“พวกเจ้าจะไปที่ใดกัน”
“ทูลองค..คือ” เมื่อถูกสายพระเนตรอันคมกริบจับจ้องมาอย่างตำหนิในคำเอ่ยของเขา เยี่ยเฉินพาลเกิดอาการประหม่าจนพูดไม่ออก
“เรียนคุณชาย พวกเรากำลังจะเดินทางกลับจวนสกุลเยี่ยขอรับ” ครานี้เยี่ยฉวนเป็นผู้เอ่ยคำ เมื่อเห็นว่าพี่ชายของตนยังคงเกรงใจไม่กล้าเอ่ยถ้อยคำเช่นสามัญชนกับคนตรงหน้า
“อ้อ ถ้าเช่นนั้นเราขอติดตามพวกท่านไปด้วยจะได้หรือไม่ คือเรายังรู้สึกตกใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงอยากจะแวะพักที่สกุลของพวกเจ้าเสียหน่อยก่อนจะออกเดินทางไปต่อ” เมื่อเห็นสายตาที่เยี่ยฉวนมองมาอย่างสงสัย องค์ชายสี่’หวางคุน’ผู้เป็นดั่งหมาป่าห่มหนังแกะก็รีบทำท่าราวกับว่าเหนื่อยล้าปานจะขาดใจเสียตรงนั้นให้ได้ จึงได้รับสายตาคมรู้เท่าทันจากคุณชายเยี่ยผู้น้องเป็นคำตอบ ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันเร่งออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังจวนแม่ทัพพร้อมๆกัน
“ต้องขออภัยท่านแม่ทัพด้วยที่เรามารบกวนกระทันหันเช่นนี้” ร่างเล็กที่อยู่ในฉลองพระองค์ชุดใหม่เอ่ยขึ้น ยามนี้ทุกคนในสกุลเยี่ยต่างก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเพิ่มเติมด้วยเจ้าซาลาเปาน้อยที่เยี่ยฉวนไปรับมาจากจวนของนางเพื่อรับสำรับเย็น เด็กน้อยมองหน้าของผู้มาใหม่ที่มีวัยใกล้เคียงกันกับพี่อาฉวนของนางแล้วก็ให้นึกสงสัยยิ่งนัก ทำไมคนผู้นี้ถึงได้มีผิวที่ขาวมากเช่นนั้น ตั้งแต่เกิดมาจนป่านนี้นางก็ยังไม่เคยเห็นใครที่มีผิวขาวมากเช่นนี้มาก่อนเลย แววตาแสนซุกซนแอบจับจ้องมององค์ชายน้อยตลอดเวลาในยามที่เขาเผลอ?
“หามิได้พะย่ะค่ะ เป็นวาสนาของสกุลเยี่ยต่างหากที่ได้รับเสด็จพระองค์พะย่ะค่ะ” เยี่ยหัวกล่าวขึ้นตามมารยาทก่อนที่ทุกคนจะเริ่มรับสำรับกันอย่างเกร็งๆเล็กน้อยที่ต้องร่วมรับสำรับกับเชื้อพระวงศ์อย่างใกล้ชิดเช่นนี้ ยกเว้นก็เพียงแค่สองคนที่คนหนึ่งอ้าปากส่วนอีกคนคอยป้อนราวกับว่าอีกฝ่ายนั้นยังคงเป็นเพียงเด็กทารกเช่นในกาลก่อน ซื่อเจินที่ไม่รับรู้ถึงฐานะของผู้ใดหรือถึงรู้นางก็คงจะยังไม่เข้าใจหรอกว่าคำว่าองค์ชายนั้นหมายถึงสิ่งใดยิ่งใหญ่เพียงไหน ในสองตาดำขลับยามนี้มีเพียงพี่อาฉวนผู้ใจดีเท่านั้น นางยังคงออดอ้อนพี่อาฉวนของนาง อย่างที่ตนเองทำจนเคยชินในทุกครั้งที่เด็กชายกลับมาจวน แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะแอบส่งสายมองคนแปลกหน้าอยู่เรื่อยๆ
องค์ชายสี่หวางคุนแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ถึงสายตาอันแสนซุกซนของร่างเล็กที่นั่งอยู่ตรงข้างกายของเยี่ยฉวน ซาลาเปาน้อยน่ารักที่อยู่ในชุดสีชมพูอ่อนทั้งตัว ทั้งยังมีมวยผมสองก้อนที่ผูกด้วยเชือกสีเดียวกันกับชุดที่สวมใส่ สองแก้มอิ่มขยับขึ้นลงไม่หยุด ด้วยเพราะเยี่ยฉวนเอาแต่ป้อนอาหารเสียจนนางไม่มีจังหวะว่างเว้นหายใจ ทั้งเด็กชายยังส่งสายตาคมกล้ามายังตัวเขาโดยไม่เกรงกลัว เพราะรู้ว่าเขาเองก็แอบมองสำรวจเจ้าซาลาเปาน้อยเช่นเดียวกัน อันที่จริงองค์ชายเช่นเขามีหรือที่จะมาใส่ใจเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่ง ถึงแม้ว่านางจะน่ารักน่าจับฟัดแค่ไหนก็เถิด แต่สิ่งที่ทำให้เขานึกสนใจเด็กน้อยตรงหน้าก็คือเขาสามารถสัมผัสได้ว่านางมีพลังปราณบางเบาที่ล้อมรอบร่างกลมนั้นอยู่ ทั้งยังแข็งแกร่งเสียจนเขารู้สึกอึดอัด ถึงแม้จะยังไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าเป็นพลังปราณชนิดใดก็เถิด แต่หากดูตามอายุของนางที่น่าจะไม่เกินหกหนาวแล้วก็นับว่ามีความพิเศษมากจริงๆ
ใช่แล้วนี่คือความสามารถของเขาที่ถูกซ่อนเร้นมาตั้งแต่ถือกำเนิด เพราะเขาไม่มีพลังปราณเฉกเช่นพี่น้องต่างมารดาคนอื่นๆ แต่ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขามีสิ่งที่พิเศษเสียยิ่งกว่านั้น คือการสามารถจับสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่ผู้อื่นถือครองอยู่ อีกทั้งยังสามารถแยกแยะได้อีกด้วยว่าเป็นปราณชนิดใด ทำให้เขาสามารถรู้ได้ว่าตนกำลังเผชิญหน้าอยู่กับผู้มีฝีมือระดับใด นี่คือสิ่งที่ทำให้เข้าได้เปรียบในการใช้ชีวิตเพราะหากมีผู้ใดคิดที่จะเข้ามาสังหารเขา เพียงแค่เข้ามาใกล้เขาก็จะสามารถรู้ว่าคนผู้นั้นมีปราณชนิดใดจึงง่ายยิ่งนักต่อการรับมือหรือตอบโต้
“แม่นางน้อยนี้คือผู้ใดหรือ ไม่ใช่ว่าสกุลเยี่ยมีเพียงบุตรชายเท่านั้นหรอกหรือ” เมื่อผู้สูงศักดิ์เอ่ยถาม ผู้นำตระกูลอย่างเยี่ยหัวจึงเป็นผู้เอ่ยตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้
“นางคือซื่อเจิน เป็นบุตรสาวบุญธรรมของกระหม่อมเองพะย่ะค่ะ”
“ซื่อเจินอย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นเราเรียกเจ้าว่าเจินเอ๋อร์ได้ใช่หรือไม่”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ เจินเอ๋อร์ให้แต่ท่านแม่ท่านน้าท่านตาพี่อาเฉินแล้วก็พี่อาฉวนเรียกเท่านั้นเจ้าค่ะ” เสียงใสเอ่ยขึ้นมาพลางจ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่ชอบใจ ใบหน้าน่าเอ็นดูเริ่มบูดเบี้ยวเมื่อถูกคนแปลกหน้าตีสนิทด้วย
“เจินเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาทกับองค์ชายเช่นนั้น ต้องขอพระราชทานอภัยด้วยเพคะ นางยังเด็กนักจึงค่อนข้างจะเอาแต่ใจตัวเองไปบ้างเพคะ” หยาเฉินรีบเอ่ยปาก แม้ในใจจะรู้สึกชอบใจที่ซื่อเจินเอ่ยปฏิเสธไปอย่างไร้เดียงสาเช่นนั้น ด้วยเหล่าผู้สูงศักดิ์ในราชวงศ์นั้นรู้หน้าแล้วใช่ว่าจะรู้ใจด้วย หากเป็นไปได้นางเองก็ไม่อยากให้หลานสาวเพียงคนเดียวต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย
“ฮูหยินน้อยอย่ากังวลไป เราไม่ถือสาเด็กหรอก” หวางคุนกล่าวอย่างอารมณ์ดี ยิ่งเห็นใบหน้ากลมๆราวกับลูกซาลาเปานั้นทำบูดบึ้งใส่ เขากลับรู้สึกชอบใจมากกว่าจะรู้สึกโกรธ นัยน์ตาของโอรสสวรรค์เลื่อนไปสบเข้ากับนัยน์ตาคมกล้าที่มองมาอย่างขัดเคืองของคุณชายน้อยสกุลเยี่ยอย่างท้าทาย เป็นธรรมดาไม่ใช่หรือ ที่ของดีเมื่อถูกพบเห็นก็ย่อมต้องแสดงฝีมือเพื่อให้ได้ครอบครอง ดังเช่นแก้มกลมๆตรงหน้านี้ก็เช่นกัน มิใช่ว่าใครดีใครได้หรอกหรือ!!