การตามหาอันไร้จุดหมาย

1854 คำ
ร่างหนาที่ท่วมไปด้วยเหงื่อเดินเข้าเรือนพักของตนเพื่อจะทำความสะอาดร่างกายก่อนที่จะมุ่งตรงไปยังโต๊ะเล็กหัวเตียงที่มีกระดาษแผ่นบางวางอยู่ มือหนาเอื้อมไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่านทวนเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันเขาเองก็จำไม่ได้ แต่ที่รู้ก็คือในทุกคราที่ได้อ่านมันรอยยิ้มกว้างที่ใครๆไม่ค่อยได้เห็นก็มักจะแต้มลงบนใบหน้าคมทุกครั้ง ลายมือที่เริ่มสวยเเละเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้นของเจ้าซาลาเปาน้อยที่ส่งมาทำให้เขารู้ว่านางเติบโตขึ้นมากแล้ว คำเรียกขานตนเองที่เปลี่ยนจากเจินเอ๋อร์เป็นข้าทำให้เขานึกขุ่นเคืองอยู่บ้าง แต่คำเรียกขานต่อเขาที่ยังคงเหมือนเดิมก็ช่วยปัดความขุ่นเคืองนั้นทิ้งเสียจนสิ้น เด็กสาวเริ่มคุ้นชินที่จะคุยเล่นบอกเล่าเรื่องราวที่ผ่านไปในชีวิตประจำวันของนางต่อเขามากขึ้น การสร้างความสนิทสนมผ่านทางตัวอักษรก็นับว่าเป็นวิธีการที่ไม่เลวเลยทีเดียว หวางคุนทรุดกายลงนั่งก่อนจะเริ่มจับพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมายตอบกลับ ‘ถึง เจ้าซาลาเปาน้อยของท่านพี่……’ “หึ! ท่านพี่คนบ้า ข้าโตแล้วนะ ยังจะมาเรียกว่าซาลาเปาน้อยอยู่อีกหรือ คอยดูเถิดข้าจะไม่เขียนตอบกลับสักหลายๆวันเลย ฮึ!” มือเล็กของร่างบางที่ไม่เจ้าเนื้อเช่นกาลก่อนของซื่อเจินวางกระดาษแผ่นนั้นลงอย่างกระแทกกระทั้นอย่างหงุดหงิด นี่ก็ผ่านมาตั้งสามปีกว่าแล้วนะ นางก็เติบโตขึ้นแล้วทั้งยังสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนตั้งเยอะ ไม่เห็นจะเหมือนซาลาเปาน้อยตรงไหนเลย ทำไมท่านพี่ถึงยังไม่ยอมหยุดเรียกนางว่าเจ้าซาลาเปาน้อยกันนะ ‘ไม่ได้!นางจะต้องเขียนไปบอกเขาว่านางสูงขึ้นแล้วทั้งยังไม่อ้วนแล้วด้วย เขาจะได้เลิกเรียกนางเช่นนั้นเสียที’ นึกพลางรื้อหาพู่กันมาถือก่อนจะเริ่มจุ่มหมึกและลงมือเขียนอธิบายยาวเหยียด โดยไม่ทันนึกว่าก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่นาทีนางพึ่งจะบอกตนเองว่าจะไม่เขียนจดหมายตอบท่านพี่ของตนสักหลายๆวัน.. “เจินเอ๋อร์ ทำสิ่งใดอยู่หรือ แม่เข้าไปได้หรือไม่” เสียงเรียกของมารดาดังขึ้น ทำให้ร่างบางที่ก้มหน้าก้มตาเคร่งเครียดอยู่กับการเขียนจดหมายเงยหน้าขึ้นมามองไปยังทิศทางของหน้าประตูห้อง ก่อนจะเอ่ยบอกให้มารดาของตนเข้ามา “ท่านแม่ มีอะไรกับเจินเอ๋อร์หรือเจ้าคะ” “ทำอะไรอยู่หรือ” ม่อหนี่ทรุดกายลงนั่งเคียงบุตรสาวของตน ก่อนจะยกมือขึ้นลูบลงบนมวยผมนุ่มสองก้อนนั้นพลางจับจ้องใบหน้าหวานของเด็กสาวอย่างรักใคร่ ใบหน้ารูปหัวใจแต้มด้วยคิ้วหนาแต่พองามรับกันกับดวงตาดำขลับที่ยามใดได้เผลอจ้องมองก็ราวกับว่ามีแรงดึงดูดที่เกินจะต้านทาน ไล่ลงมายังจมูกเล็กที่เข้ากันดีกับปากน้อยสีชมพูอ่อนหวานฉ่ำตามธรรมชาติ ลงมาถึงมุมปากที่หากยามใดที่นางแย้มยิ้มยังเกิดเป็นรอยบุ๋มแสนน่ารัก ยิ่งพิศมองสำรวจใบหน้าน้อยๆนั้นนางก็ยิ่งหนักใจ ยามนี้ร่างเล็กย่างเข้าเก้าหนาวเท่านั้นแต่ความงามกลับเริ่มเฉิดฉายออกมาจนทำให้นางหวั่นใจเหลือเกิน ว่าวันนึงความงามเช่นนี้มันจะนำพามาซึ่งความทุกข์ยากอย่างที่นางเคยประสบพบพานมาแล้ว “ข้ากำลังเขียนจดหมายตอบท่านพี่อยู่เจ้าค่ะ” ซื่อเจินชูแผ่นกระดาษในมือตนให้ผู้เป็นมารดาดูด้วยรอยยิ้ม ม่อหนี่ทอดสายตามองก่อนจะแอบผ่อนลมหายใจเบาๆ เเม้จะรู้สึกดีใจที่เห็นว่าบุตรสาวของตนมีความสุขแต่ลึกๆกลับรู้สึกกังวลกับความสัมพันธ์ของคนทั้งสองอยู่ไม่น้อย องค์ชายผู้นั้นสูงศักดิ์ยิ่ง ทั้งยังเป็นคนในราชวงศ์ที่นางอยากจะพาร่างเล็กหลีกเลี่ยงไปให้ไกลแสนไกล แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มแห่งความสุขบนใบหน้าของบุตรสาวยามที่ได้รับจดหมายจากคนผู้นั้นแล้ว นางก็ต้องหยุดความคิดในทางเลวร้ายใดๆทั้งมวล หากว่าวาสนาของทั้งคู่ได้มาบรรจบกันจริงๆนางก็ได้แต่หวังให้ชายสูงศักดิ์ผู้นั้นจริงใจต่อบุตรสาวของนาง หาไม่แล้วต่อให้นางต้องตายก็คงจะต้องตายตาไม่หลับอย่างแน่นอน “เช่นนั้นหรือ หากเสร็จแล้วก็ออกไปพบท่านตาของเจ้ากับแม่หน่อยเถิด เห็นบอกว่ามีเรื่องจะพูดกับเจ้าน่ะ” “ได้เจ้าค่ะ ข้าเขียนเสร็จพอดี เช่นนั้นเราไปกันเลยเถิดเจ้าค่ะท่านแม่” จากนั้นสองแม่ลูกก็พากันจูงมือเดินมุ่งตรงไปยังเรือนท้ายจวนที่เป็นเรือนพักแยกออกมาของผู้ชรา “ท่านพ่อ ข้ากับเจินเอ๋อร์มาแล้วเจ้าค่ะ” ม่อหนี่ส่งเสียงเรียกผู้เป็นบิดาก่อนจะพากันก้าวเข้าไปยังด้านใน “มากันแล้วหรือ เจินเอ๋อร์มานั่งข้างๆตาสิ” “ท่านตามีอะไรหรือเจ้าคะ ถึงได้อยากพบเจินเอ๋อร์” ร่างเล็กทรุดกายลงข้างผู้เป็นตาทั้งยังเป็นอาจารย์ผู้คอยสอนสั่งวิชาต่างๆให้แก่ตนมาตั้งแต่ยังเล็กอีกด้วย มือเล็กยกขึ้นบีบนวดอย่างเอาใจเฉกเช่นที่เคยกระทำอยู่เป็นประจำ “ตาได้รับจดหมายมาจากเพื่อนเก่า จึงคิดที่จะเดินทางไปเยี่ยมเยียนเสียหน่อย เจ้าไปเป็นเพื่อนตาได้หรือไม่” “ไปเที่ยวหรือเจ้าคะ ได้สิเจ้าคะ! เอ่อ แต่ว่าท่านแม่” ในคราแรกที่ได้ยินว่าจะได้ออกไปเที่ยวเด็กสาวก็ดีใจจนแทบจะเก็บอาการไม่อยู่ แต่พอนึกถึงว่านางจะต้องทิ้งให้มารดาอยู่แต่เพียงผู้เดียว ใบหน้าจิ้มลิ้มจึงหันกลับไปมองผู้เป็นมารดาอย่างลังเลใจ “ไปเถิดเจินเอ๋อร์ เจ้าจะได้หาประสบการณ์ให้ตนเอง แม่อยู่ได้” ม่อหนี่ส่งยิ้มให้บุตรสาวคลายกังวลใจ นางรู้ดีว่าผู้ที่มีพลังปราณอันแสนพิเศษเช่นบุตรสาวของตนนั้นยังต้องค้นหาประสบการณ์อีกมาก เพื่อที่จะสามารถปกป้องตนเองจากเหล่าคนที่หวังผลประโยชน์จากความพิเศษของตนได้ ดังนั้นนางจึงจำต้องปล่อยให้บุตรสาวได้ใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น “ถ้าเช่นนั้น เจินเอ๋อร์จะรีบไปรีบกลับนะเจ้าคะ แล้วก็จะซื้อขนมมาฝากท่านแม่ด้วยเจ้าค่ะ” ร่างเล็กที่เริ่มสูงขึ้นตามวัยหันไปกอดเอวบางของมารดาอย่างออดอ้อนแต่ก็ไม่วายส่งรอยยิ้มดีใจที่จะได้ไปเที่ยวให้กับผู้เป็นตา เรียกรอยยิ้มอ่อนใจของผู้สูงวัยกว่าทั้งสองที่สบตากันอย่างรู้ทันเด็กน้อยเจ้าเล่ห์ตรงหน้า “อ้อ ท่านตาเจ้าขา แล้วเจ้ามู่ล่ะเจ้าคะ เจินเอ๋อร์จะพามันไปด้วยได้มั้ยเจ้าคะ” เมื่อหันไปมองเจ้าเพื่อนตัวน้อยที่เติบโตขึ้นมากแล้วเช่นกันที่นอนหมอบคอยเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู ร่างเล็กจึงนึกขึ้นมาได้และคิดอยากจะพามันไปด้วย “ฮืม ก็คงจะต้องเป็นเช่นนั้นล่ะ หาไม่แล้ว มารดาของเจ้าก็คงจะไม่ได้หลับได้นอนแน่ๆ” ม่อหยวนเหลือบมองเจ้าขนฟูสีขาวที่มักจะติดตามร่างเล็กเป็นดั่งเงาที่แทบจะไม่ห่างกาย คราหนึ่งที่ซื่อเจินออกไปตลาดกับผู้เป็นมารดาโดยไม่ได้พามันไปด้วย เจ้ามู่ที่กลับมาจากการถูกพาไปอาบน้ำก็วิ่งวุ่นหาเจ้านายของตนเสียจนทั่วจวน เมื่อหาไม่พบมันก็ส่งเสียงร้องโหยหวนราวกับถูกเชือดไม่ยอมหยุด จนเขาต้องให้คนไปตามนางกลับมา “เย้!ถ้าเช่นนั้นเจินเอ๋อร์ขอพาอามู่ไปเตรียมตัวก่อนนะเจ้าคะ ไปกันเถิดอามู่” หลังจากที่หนึ่งร่างเล็กกับหนึ่งตัวที่ค่อนข้างใหญ่ก้าวจากไปสองพ่อลูกก็หันมามองหน้ากันก่อนที่ม่อหนี่จะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อนอย่างกังวล “แน่ใจหรือเจ้าคะท่านพ่อ ลูกเป็นห่วงนางเหลือเกิน หากคนผู้นั้นรู้ว่าเราสองแม่ลูกยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็..” “หึ!แม้แต่เสือสิงห์มันยังไม่กินลูกตัวเอง คนเช่นนั้นมันไม่น่าเกิดเป็นคนเลยจริงๆ แต่เจ้าวางใจเถิดยามนี้นางดูแลตัวเองได้แล้วทั้งยังอาจจะดูแลผู้อื่นได้ด้วย ส่วนเรื่องพลังปราณที่มีนางก็สามารถควบคุมมันได้แล้วไหนจะเพลงดาบที่ข้าสั่งสอนให้ไปอีก หากมีใครคิดที่จะแตะต้องนางข้าว่ามันคงจะไม่ง่ายนักหรอก” เกือบสี่ปีที่ผ่านมานี้ เขาเฝ้าฝึกฝนเข้มงวดกับผู้เป็นหลานสาวอย่างยิ่ง อีกทั้งเด็กน้อยผู้นี้ก็นับได้ว่าเป็นดั่งอัจฉริยะที่นับร้อยนับพันปีจะมีสักคนหนึ่ง เพราะไม่ว่าเขาจะสั่งสอนสิ่งใดไป นางก็สามารถจำมันได้ในระยะเวลาเพียงสั้นๆเท่านั้น เคล็ดลับเพลงดาบประจำตระกูลที่เขาใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิตฝึกฝน แต่หลานสาวตัวน้อยกลับใช้เวลาเพียงปีกว่าๆก็สามารถจดจำมันได้จนถึงขั้นสูงสุด แล้วอย่างนี้จะให้เขากังวลถึงสิ่งใดกันเล่า และยามนี้ก็ถึงเวลาที่นางจะต้องมีสัตว์ผู้พิทักษ์คอยปกป้องดูแลแล้ว ซึ่งตามตำราหายากที่ยังคงหลงเหลืออยู่เพียงส่วนน้อยนั้นได้กล่าวไว้ว่า ผู้มีพลังปราณพิเศษชนิดนี้จะไม่เก่งกาจทางด้านการต่อสู้ พวกเขาจึงมักจะตกเป็นเครื่องมือให้ผู้อื่นใช้ประโยชน์ได้ง่าย ดังนั้นสัตว์ผู้พิทักษ์อันแข็งแกร่งจึงจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อที่จะช่วยปกป้องพวกเขาได้ แต่ตั้งแต่ที่เขาเกิดมาจนแก่ชราแล้วก็ยังไม่เคยเห็นเลยว่าหน้าตาของสัตว์ผู้พิทักษ์เป็นเช่นไร เพราะแม้แต่ผู้ที่มีปราณทิพย์เขาก็ยังไม่เคยพบเห็นเลยแม้แต่คนเดียว ดังนั้นการเดินทางออกเสาะหาในครานี้ถือว่าพวกเขาจำต้องพึ่งพาเทพเจ้าแห่งโชคลาภกันเเล้ว เพราะอาจจะได้เจอสัตว์ผู้พิทักษ์ในตำนานหรืออาจจะคว้าน้ำเหลว แต่ดั่งคำที่ว่าหากไม่ลองก็คงจะไม่รู้ดังนั้นเขาจึงคิดที่จะพาหลานสาวเพียงคนเดียวของตนไปลองเสี่ยงดวงตามหาดังคำบอกเล่าดูสักครั้ง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม