สัตว์ประหลาดที่มีปราณอันแข็งแกร่ง

1897 คำ
แคว้นหนาน “ทูลฝ่าบาท ชาวเผ่าที่อยู่ล้อมรอบทางทิศเหนือของแคว้นล้วนยอมสวามิภักดิ์ต่อเราทั้งหมดแล้วพะย่ะค่ะ” “ฮะฮะฮ่าๆดี เจ้าทำดีมาก เสียนกู่ มอบรางวัลให้แม่ทัพของข้า” “พะย่ะค่ะ” องค์รักษ์หนุ่มคู่พระทัย หันไปทางข้างหลังยกมือขึ้นเล็กน้อยเพียงชั่วครู่เหล่านางกำนัลขันทีก็พากันยกหีบที่เต็มไปด้วยเงินทองข้าวของมีค่านับสิบหีบมาวางลงตรงหน้าของ‘เวิ่นฝวอ’แม่ทัพหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่คุกเข่าก้มหน้าอยู่ ใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นทอดยาวอยู่ที่ข้างแก้มเงยหน้าเหลือบมองสิ่งของล้ำค่าตรงหน้าของตนเพียงเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้น “เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้วพะย่ะค่ะ เพียงแต่สิ่งที่กระหม่อมปรารถนาหาใช่ข้าวของเงินทองเหล่านี้ไม่” “ถ้าเช่นนั้นไหนลองบอกข้ามาซิ ว่าเจ้าปรารถนาสิ่งใด เราจะได้ตอบแทนให้ๆสมกับความดีความชอบของเจ้า” ฝานชุนฮ่องเต้ตรัสถามขึ้นทั้งๆที่ทรงนึกรู้ถึงความต้องการของชายตรงหน้าดี “กระหม่อมขอเพียงทรงมีพระเมตตา อนุญาตให้กระหม่อมได้ดื่มนำ้ชากับองค์หญิงใหญ่เพียงสักชั่วยามเท่านั้นพะย่ะค่ะ” เมื่อทรงได้ยินในสิ่งที่ต้องประสงค์ ชายผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็ยกยิ้มสมพระทัย ‘หึ!ชายผู้โง่งมลุ่มหลงในรักไร้สาระเช่นนี้ ช่างถูกใจพระองค์ยิ่งนัก ยอดนักรบผู้ยิ่งใหญ่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้แก่หญิงงามจนได้สินะ!’ “ย่อมได้ คนมีความสามารถเช่นเจ้า ย่อมคู่ควรที่จะจิบน้ำชากับองค์หญิงใหญ่ของเรายิ่งนัก เจ้าจงกลับไปพักผ่อนเสียก่อนเถิด วันรุ่งขึ้นค่อยเข้ามาจิบน้ำชาพูดคุยกับนาง” ทรงรับคำโดยที่ทรงไม่เห็นว่ามีใครคนหนึ่งกำหมัดแน่นอยู่ภายใต้แขนเสื้อเมื่อได้ยินประโยคนั้น “เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้วพะย่ะค่ะ ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอตัว” ร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะก้าวถอยหลังเดินจากไป โดยมีสายตาของผู้เป็นใหญ่มองตามอย่างไม่คลาดสายตา เดิมทีคนผู้นี้นั้นเป็นเพียงนักรบรับจ้างจากชนเผ่าที่อยู่เลียบชายแดนทางฝั่งตะวันออกของแคว้น ในครานั้นหลังจากที่ทรงก่อกบฏชิงบัลลังก์มาได้แล้ว พระองค์ก็ได้เสด็จออกไปปราบปรามกลุ่มผู้ที่แข็งข้อไม่ยอมสวามิภักดิ์ด้วยพระองค์เอง แต่ในครานั้นกลับทรงเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเพราะทรงถูกยาพิษผสมกับยาสลายพลังปราณทำให้ทรงถูกทำร้ายและต้องหนีเข้าไปในป่า จนถูกฝ่ายตรงข้ามรุมล้อมหวังเอาชีวิตแต่ก็ได้เวิ่นฝวอผู้นี้เข้ามาช่วยไว้ได้ทัน ทั้งเขายังมีฝีมือในการต่อสู้ที่เก่งกาจหาตัวจับได้ยาก พระองค์จึงทรงตอบแทนด้วยการแต่งตั้งให้เป็นทหารองครักษ์ประจำพระองค์ แต่คนผู้นี้กลับชื่นชอบในการออกศึกสงครามมากกว่าการที่จะมาอยู่แต่ในวังที่ไร้ซึ่งอิสระ จึงอาสาเป็นทหารออกรบบุกเบิกแผ่อำนาจของเขาให้กว้างขวางยิ่งใหญ่มากขึ้นไปอีก ความเป็นคนหนุ่มที่ชื่นชอบการเข่นฆ่าเช่นคนผู้นี้ช่างถูกใจพระองค์ยิ่งนัก จึงทรงแต่งตั้งให้เขาเป็นหัวหน้านายกองเล็กๆเพื่อดูฝีมือ แต่ทรงนึกไม่ถึงว่าเวิ่นฝวอผู้นี้จะใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆจนสามารถกลายเป็นแม่ทัพนำทัพเข้าฆ่าฟันชิงดินแดนจากพวกนอกด่านและพวกชนเผ่าได้มาจนครบหมดทั้งสี่ทิศแล้ว ยามนี้ก็เหลือเพียงแคว้นใหญ่ๆเช่นแคว้นฉู่กับเหิงเท่านั้นที่จะเป็นเป้าหมายต่อไป และอีกไม่นานเขาจะต้องรวบรวมสามแคว้นเอาไว้ในอุ้งมือได้แน่นอน “ให้คนไปแจ้งฮองเฮา วันพรุ่งนี้ให้ตำหนักองค์หญิงใหญ่เตรียมอาหารกลางวันเลี้ยงต้อนรับแม่ทัพเวิ่นฝวอเป็นกรณีพิเศษ” “อากาศดีจังเลยนะเจ้าคะท่านตา” ร่างเล็กที่อยู่ในชุดทะมัดทะแมงสำหรับการเดินป่าควบม้าวิ่งเหยาะๆเอ่ยขึ้น สามวันผ่านไปแล้วที่ม่อหยวนพานางออกเดินทางแรมรอนมาจนถึงชายแดนของแคว้นฉู่ ยามนี้ทั้งสองพร้อมกับคนคุ้มกันมือดีที่ติดตามมาด้วยถึงสิบคนอยู่ตรงทางขึ้นภูเขาที่เป็นเขตกั้นของสามแคว้นก็คือ ฉู่ หนาน และเหิง ซึ่งภูเขาลูกนี้อยู่ตรงกลางของทั้งสามแคว้น ทั้งบริเวณรอบๆยังเป็นป่าลึกที่แทบจะไม่มีผู้คนลุกล้ำเข้าไป เพราะมีเรื่องเล่าของคนที่เข้าไปหาของป่าแล้วมักจะหายตัวไปโดยไร้ร่องรอย ทำให้ผู้คนขนานนามเรียกภูเขาลูกนี้ว่า ‘ภูเขากลืนกิน’ แม้ว่าอาจจะมีอันตรายที่ไม่อาจคาดเดารอคอยอยู่แต่เขาก็ไม่มีทางให้เลือกมากนัก ตามตำราลับที่เคยผ่านตามาบอกเล่าถึงภูเขาลูกหนึ่งที่เป็นดั่งปราการขวางกั้นแบ่งแยกสามแคว้นออกจากกัน ว่ากันว่าในใจกลางหุบเขานั้นมีสัตว์วิญญานศักดิ์สิทธิ์ที่คอยเฝ้าดูแลเขตแดนแบ่งแยกทั้งสามไม่ให้ล่วงล้ำบุกรุกซึ่งกันและกัน ดังนั้นจึงอาจจะเป็นไปได้ว่าซื่อเจินอาจจะได้พบกับสัตว์ผู้พิทักษ์ในนั้นก็เป็นได้ เขาจึงได้เสี่ยงพานางเดินทางมาถึงที่นี่ “เอาล่ะ ต่อไปนี้พวกเจ้าจะต้องระวังตัวกันให้ดี เพราะเราไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะมีสิ่งอันตรายใดรออยู่” “ขอรับ” “พวกเจ้าสิบคนแบ่งกันเป็นสามกลุ่ม ออกหน้าไปกรุยทางหนึ่งกลุ่ม อีกสองกลุ่มที่เหลือคอยอารักขาหน้าหลัง หากเกิดสิ่งใดขึ้นจงจำไว้ว่าจะต้องรักษาชีวิตของหลานข้าเอาไว้ให้ได้” ผู้ชราเอ่ยสั่งความเสียงเบา สองตาจับจ้องไปยังร่างเล็กที่กำลังชื่นชมธรรมชาติเบื้องหน้าอย่างแสนรัก อย่างน้อยหากจะเกิดสิ่งใดเลวร้ายขึ้น เขาก็จะขอเป็นคนแบกรับมันเอาไว้เอง ขอเพียงหลานสาวตัวน้อยปลอดภัยต่อให้ต้องแลกชีวิตเขาก็ยอม คนคุ้มกันเมื่อได้ฟังคำสั่งก็กระจายกันออกไปอย่างรวดเร็ว โดยมีสามคนควบม้าล่วงหน้าไปก่อนส่วนคนที่เหลือก็เปลี่ยนมาเป็นคอยประกบหน้าหลังของทั้งสอง เมื่อทั้งหมดย่างกรายลึกเข้าไปผ่านต้นไม้น้อยใหญ่ที่ขึ้นปกคลุมจนทั่วบริเวณ อากาศที่มีลมพัดน้อยๆร่มรื่นเย็นสบายก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบเงียบอย่างน่าแปลกใจ เสียงร้องเซ็งแซ่ของฝูงแมลงน้อยใหญ่พลันเงียบสงัดมีเพียงเสียงย่ำเท้าลงบนใบไม้ใบหญ้าแห้งกรอบของม้าที่เป็นพาหนะส่งเสียงดังก้องอยู่ในความรู้สึกอย่างน่าหวั่นใจ ‘โฮกกกๆ’ พลันนั้นก็มีเสียงร้องคำรามที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่ามาจากสัตว์ชนิดใดดังขึ้นมากระทันหัน จนส่งผลให้ม้าที่ทั้งหมดขี่กันมาเกิดอาการตื่นตกใจดิ้นรนอย่างรุนแรงจนสลัดพวกเขาบางคนตกลงไปบนพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมๆกับเสียงของการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงของพื้นดินราวกับว่ามีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่กำลังมุ่งหน้ามายังทิศทางที่พวกเขาอยู่ ทุกคนต่างลงจากหลังม้าพลางกระชับอาวุธในมือแน่น “เจินเอ๋อร์ อยู่ข้างๆตาไว้นะ” แม้จะมั่นใจในความสามารถของหลานสาวอยู่ไม่น้อยแต่เพื่อความไม่ประมาทเขาจึงดึงเอาร่างเล็กให้มาอยู่ข้างกายตนที่มีเหล่าผู้คุ้มกันห้อมล้อมพวกเขาอยู่ อ้ากกก!! เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของใครบางคนดังขึ้นมา พร้อมๆกับเสียงฝีเท้าที่วิ่งตรงมาทางพวกเขา ทั้งหมดถอยเข้าไปรวมกันเป็นวงกลม ทุกสายตาจับจ้องไปยังที่มาของเสียงด้วยใจที่เต้นระทึก “นายท่าน! หนีเร็วเข้า!” เสียงตะโกนบอกมาไกลๆทำให้รู้ว่าคนคุ้มกันมือดีที่ทำหน้าที่เปิดทางให้กำลังถูกทำร้ายจนพากันวิ่งกระเจิงกลับมา คราแรกทั้งหมดยังคงยืนตะลึงงันอยู่กับที่ด้วยความตระหนก แต่เมื่อได้เห็นร่างยาวที่ยืดขึ้นสูงใหญ่เทียบเท่ากับกระท่อมหลังนึงจึงพากันได้สติ ยิ่งได้เห็นว่าสัตว์แปลกตาที่มีรูปร่างคล้ายงูยักษ์แต่มีสองหัวได้มุ่งหน้าตรงมาทางที่พวกเขายืนอยู่ ทั้งหมดจึงหันหลังวิ่งย้อนกลับไปทางเดิมที่เดินมาในทันที ม้าที่ดิ้นหลุดจากการเกาะกุมของพวกเขาพากันวิ่งแตกกระเจิงอย่างไร้ทิศทาง หลายตัวจึงต้องกลายเป็นอาหารอันโอชะให้แก่งูยักษ์อย่างน่าอนาถ ตึง!โฮกกกๆๆ!! ทุกคนต่างก็เร่งฝีเท้าหนีกันอย่างสุดชีวิตแต่พวกเขาคาดไม่ถึงว่าจะมีเจ้าตัวเช่นนี้มากกว่าหนึ่ง เพราะตอนนี้ทุกคนต่างก็ถูกล้อมไว้ด้วยเจ้างูประหลาดสองหัวนั้นทั้งสี่ทิศไร้ซึ่งทางไปเสียแล้ว เมื่อพวกเขาพยายามเพ่งมองจึงพบว่าเจ้าสัตว์ประหลาดพวกนี้มีขาสั้นๆนับร้อยขาคอยพยุงร่างกายอันใหญ่โตของมันเอาไว้ ทั้งบนหัวงูทั้งสองยังมีเขาที่แหลมคมปานใบมีด ส่วนลำตัวยาวนั้นมีเกล็ดหนาสีเงินและสีทองที่เปล่งประกายระยิบระยับยามต้องแสงแดดคลุมรอบกายจนถึงปลายหาง “ระวัง!” ม่อหยวนตะโกนขึ้นเมื่อเห็นเจ้าตัวนั้นอ้าปากพ่นไฟมาทางพวกเขา แต่เคราะห์ดีที่คนคุ้มกันผู้หนึ่งเป็นผู้มีพลังปราณปฐพี เขาจึงสร้างกำแพงดินขึ้นมาต้านเอาไว้ได้ทัน ส่วนผู้คุ้มกันอีกคนก็รีบปล่อยพลังปราณวารีที่น้อยคนนักจะมีได้ให้กลายเป็นสายน้ำที่รุนแรงเข้ายับยั้งเปลวไฟของสัตว์ตัวนั้น เมื่อเห็นว่าผู้บุกรุกนั้นหาใช่กระดูกอ่อนให้ขบเคี้ยวได้ง่ายๆพวกมันที่เหลือจึงหันไปมองกันราวกับว่ามีความคิดเฉกเช่นมนุษย์ ก่อนจะพากันพ่นไฟใส่พวกเขาพร้อมๆกันทั้งสองตัวสี่หัว พลังเผาทำลายอันร้อนแรงที่ส่งมาพร้อมๆกันทั้งสี่สายทำให้ชายผู้มีพลังปราณวารีเร่งปล่อยพลังของตนออกมาเพื่อดับไฟที่โหมเข้ามา แต่ดั่งคำที่ว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟฉันใดหนึ่งปราณวารีหรือจะสู้สี่พลังไฟอัคคีที่รุนแรงเช่นนั้นได้ ชายผู้นั้นจึงค่อยๆทรุดกายลงพร้อมๆกับที่เปลวไฟอันร้อนแรงเริ่มค่อยๆกลืนกินปราณวารีของเขาจนสายน้ำเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นหมอกสีใสเฉกเช่นหยดน้ำ เข้าปกคลุมร่างกายนั้นแทนเพื่อปกป้องมิให้เจ้าของร่างได้รับอันตรายตามกลไกของปราณที่มี และนี่ก็คือความพิเศษที่มีเฉพาะปราณวารีเท่านั้นเพราะมันคือปราณแห่งการเยียวยาและรักษาตนเองที่ปราณชนิดอื่นไม่มี
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม