“ไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว ยังไม่รีบอีก ไหนว่าเช้านี้มีสอบไง”
หญิงท้องแก่คนหนึ่งเดินอุ้ยอ้ายเข้ามาหาพร้อมกับเอ่ยทักเด็กหนุ่ม ร่างบางที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดเรียงสินค้าบนชั้นวาง เวลานี้ใกล้แปดโมงครึ่งเข้าไปทุกทีแล้ว รุ่นน้องพนักงานกะกลางคืนของร้านสะดวกซื้อก็ยังขะมักเขม้นทำงานตรงหน้า ไม่ได้ดูเร่งรีบอะไร
“อีกเดี๋ยวก็ไปแล้วพี่กวาง ช่วยจัดของก่อนไง สอบตั้งเก้าโมง” ใบหน้าเรียวยิ้มแย้ม พลางเรียงถุงขนมอย่างคล่องแคล่ว
“กว่าจะเปลี่ยนชุด กว่าจะนั่งวินเข้ามหา’ลัยอีก สอบไม่ทันล่ะคงแย่”
“นี่ซ้อมรับบทเป็นคุณแม่ขี้บ่นหรือเปล่าเนี่ย อย่าบ่นเยอะ เดี๋ยวลูกในท้องรำคาญนะ”
“ไอ้นิ” เธอเอามือเท้าเอว ถลึงตาใส่คนรั้น “เป็นห่วงนะเว้ย! ปีสี่แล้วนี่ แล้วนี่หนังสือก็ไม่อ่าน มัวแต่ทำงานตัวเป็นเกลียว แทนที่เมื่อคืนจะลา ดันมาทำงาน เสียได้”
“ทีพี่กวางท้องตั้งหกเดือนยังหอบลูกมาทำงานกะดึกได้เลย เอาน่าพี่ ไม่มีผมช่วย พี่จะเหนื่อยหนักเอานะ หรืออยากทำกะดึกกับไอ้บิ๊กกันล่ะ”
“โอ๊ย! แค่พูดชื่อมันก็เหม็นบุหรี่จะแย่ คนอะไรสูบวันละซองสองซอง ขืนทำงานด้วยกัน พี่คงได้เป็นลม”
“เห็นไหมล่ะ ถ้าแลกเวรพี่ก็ต้องเจอไอ้บิ๊ก เจอไอ้นิไม่ดีกว่าเหรอ”
พี่สาวท้องแก่เถียงไม่ออกจึงพยักหน้าเนือย ๆ ก่อนจะเดินไปชงกาแฟ แล้วอุ่นแซนวิชจัดใส่ถุง พอเจ้าเด็กหนุ่มคนขยันจัดของเสร็จ ก็กลับเข้าไปหลังร้านสะดวกซื้อเพื่อเปลี่ยนชุด ออกมาอีกทีในชุดนักศึกษาพร้อมกระเป๋าสะพายข้าง ใบเก่า
“ไปแล้วนะพี่”
“เดี๋ยว ๆ ไอ้นิ เอานี่ไปกิน”
เธอยื่นถุงกาแฟและแซนวิชให้ นิรันดรละล้าละลังเพราะเกรงใจ ของซื้อของขายใช่ว่าจะหยิบกินได้ฟรี ๆ พี่สาวท้องแก่คงหักเครดิตของตัวเองไปแล้ว แต่ในเมื่อเธอคะยั้นคะยอให้รับ เขาจึงยกมือไหว้ก่อนหยิบแซนวิชมากินให้ดูเสียตรงนั้น นัยน์ตาทะเล้นมองผู้ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นพี่สาวแท้ ๆ เพราะมักคอยห่วงใยเขาเสมอด้วยความซาบซึ้ง
“ขอให้สอบผ่านนะ”
“ขอบคุณครับ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะพี่ แต่ถ้าไม่ไหวอะ ก็หยุดได้แล้วนะ ผู้จัดการเขาแทบจะกราบให้พี่หยุดอยู่แล้ว”
“เออน่า ไปเร็วเข้า”
“เจ้าหนู ดูแลแม่กวางด้วยนะ ขอให้คลอดออกมาสุขภาพแข็งแรงด้วย”
นิรันดรนั่งยอง คุยกับท้องกลมโตของพี่สาวได้เป็นเรื่องเป็นราว ก่อนจะยิ้มเผล่ส่งท้าย แล้วรีบวิ่งออกจากร้าน
เมื่อแผ่นหลังบางลับหายจากกรอบประตูเลื่อน เหมือนอย่างเช่นที่เป็นอยู่ทุกวัน แต่วันนี้คนยืนมองกลับรู้สึกใจหาย ในอกวูบโหวงอย่างบอกไม่ถูก
เธอผ่อนลมหายใจพยายามขจัดความรู้สึกแปลก ๆ ทั้งที่หัวคิ้วยังขมวดมุ่น เหมือนกับคำว่าไว้เจอกันพรุ่งนี้ที่นิรันดรพูดจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว
นิรันดร อัศวโกศล เด็กหนุ่มนักศึกษาปีที่ 4 มาถึงห้องสอบเอานาทีสุดท้าย ทันอาจารย์เช็กชื่ออย่างหวุดหวิด เขายิ้มหวานให้อาจารย์เป็นการแก้เขิน ก่อนเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ที่ว่างสุดท้าย บนโต๊ะมีกระดาษคำถามพร้อมกระดาษคำตอบรอ อยู่แล้ว
ชั่วโมงการสอบเป็นไปอย่างง่วงงุน เด็กหนุ่มทำได้บ้างไม่ได้บ้างเพราะเตรียมตัวมาน้อย เวลาอ่านหนังสือนั้นแทบไม่มี เพราะต้องวิ่งรอกทำงานอยู่หลายที่ เนื่องจากบ้านของเขาไม่ได้มีฐานะดี ซ้ำค่อนไปทางยากจน บ้านอยู่ในชุมชนแออัดที่ใครหลายคนเรียกว่าสลัม อาศัยอยู่กับแม่ พ่อเลี้ยง และน้องชายต่างพ่ออีกหนึ่งคน แต่มันก็ชินเสียแล้วที่ต้องทำงานหนักอย่างนี้ ตอนเด็กถึงวัยรุ่นเกือบจะไม่ได้เรียนหนังสือด้วยซ้ำ เพราะต้องช่วยแม่ขายพวงมาลัยตามสี่แยกตั้งแต่เช้ายันค่ำ
“นิรันดร”
“...”
“นิรันดร”
“ค...ครับ!”
ปัดโธ่ เผลอหลับไปตอนไหนเนี่ย!
นิรันดรผุดลุกอัตโนมัติเมื่อถูกเรียก เมื่อปรือตามองตรงหน้าก็พบกับอาจารย์ประจำวิชา นอกจากนั้นในห้องนี้ก็ไม่เหลือใครอีกแล้ว มันคงเป็น ความเหนื่อยสะสมจนเผลอหลับลึกได้ขนาดนี้ เธอหยิบข้อสอบพร้อมกระดาษคำตอบของเขาไปถือไว้
“มาคุยกับอาจารย์ที่โต๊ะหน่อย”
นิรันดรรีบเก็บของใส่กระเป๋า พร้อมกับเดินตามอาจารย์สาวไปยังโต๊ะหน้าห้อง สีหน้าของเธอตึงเครียด ผิดปกติจากที่ได้เจอ
“มีอะไรหรือเปล่าครับอาจารย์” เขาถาม ไม่รู้เลยว่าถูกเรียกมาด้วยเรื่องอะไร
“เธอเป็นพี่ชายของนักศึกษาที่ชื่อเป็นหนึ่งใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
เป็นหนึ่งคือน้องชายต่างพ่อ อายุ 19 ปี เป็นเด็กหัวดีที่สอบชิงทุนเรียนหมอได้ พ่อแม่และเขาภูมิใจในตัวหนึ่งมาก หวังว่าสักวันหนึ่งจะทำให้ครอบครัวของเราดีขึ้น เขาที่เป็นคนหัวตื้อ คงทำได้แค่ทำงานแรงงานหนัก ๆ หาเงินช่วยน้องเรียน ขาดเหลืออะไรก็จะพยายามหามาให้น้องให้ได้
“อาจารย์เป็นที่ปรึกษาของเขา พอดีมีอาจารย์ประจำวิชาหลายคนฝากมาดูแล เพราะช่วงนี้เขาไม่มาเรียนเลย ขาดสอบไปก็หลายวิชาแล้ว ถ้าคะแนนตกมากกว่านี้ ขึ้นปีสองอาจจะโดนรีไทร์ได้”
“อาจารย์ว่าอะไรนะครับ?”
ความจริงที่ได้รู้ทำเอานิรันดรตกใจ เขาก็เห็นน้องชายไปเรียนปกติ ติดก็จะมีช่วงนี้ที่ดูเครียด เก็บตัว ไม่ร่าเริงออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน ๆ เหมือนอย่างเคย
“อาจารย์ฝากเราไปเตือนน้องด้วยนะ ถ้ามีอะไรผิดปกติ ให้รีบมาปรึกษาอาจารย์ได้ทันทีเลย”
นิรันดรกลับมาบ้านด้วยอาการมึนงง ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ที่ผ่านมาน้องชายของเขาเป็นเด็กดี ไม่เคยมีเรื่องเกเรหนักหนาอะไร ทำไมถึงได้ขาดเรียน ขาดสอบจนเกือบจะรีไทร์อย่างนี้กัน
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขารีบเข้าไปหาน้องชายถึงในห้องนอน แล้วสิ่งที่ได้เห็นก็ทำให้ตกใจหนักมากขึ้น เมื่อพบว่าน้องชายกำลังนั่งตัวสั่นอยู่ตรงมุมห้อง ดวงตาล่อกแล่ก เหมือนกับคนขลาดกลัวต่ออะไรสักอย่าง
นิรันดรรีบเปิดหน้าต่างไม้ที่ใกล้จะผุพังออกเพื่อให้ห้องสว่างไม่อุดอู้ ก่อนจะปรี่เข้าไปยืนเข่าลงตรงหน้าน้องชาย
“หนึ่ง”
“ไม่...หนึ่งเปล่า ไม่ได้ทำ หนึ่งไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น” เด็กหนุ่มใต้ตาลึกโหลพึมพำไม่ได้ศัพท์
“หนึ่งเป็นอะไร ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ พูดกับพี่”
นิรันดรซักไซ้พลางจับต้นแขนทั้งสองข้างไว้ พยายามเรียกสติอีกฝ่ายทั้งที่หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำเพราะความกังวล มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ ตั้งแต่เป็นพี่น้องกันมา เขายังไม่เคยเห็นท่าทางหวาดกลัวของน้องชายอย่างนี้มาก่อน
เมื่อถูกเรียกและคนตรงหน้าก็คือพี่ชายต่างมารดา เด็กหนุ่มถึงได้สติ เบิกตาโพรงก่อนจะจับมืออีกฝ่ายเอาไว้แน่น
“พี่นิ พี่นิเองเหรอ!”
“หนึ่งมีอะไร หนึ่งบอกพี่สิ ทำไมหนึ่งเป็นอย่างนี้”
“มันจะมาฆ่าหนึ่ง หนึ่งยังไม่อยากตายนะพี่! พี่นิช่วยหนึ่งด้วย หนึ่งไม่อยากเสียอนาคต มันฆ่าพวกนั้นไปจนหมดแล้ว ไอ้ก้องก็ด้วย!”
“พูดอะไร มันไหน ใครจะฆ่าหนึ่ง วันนี้อาจารย์ที่ปรึกษาหนึ่งบอกว่าหนึ่งไม่ไปเรียนมาหลายวันแล้ว ขาดสอบอีกหลายวิชา หนึ่งไปทำอะไรมา เล่าให้พี่ฟัง เราจะได้ช่วยกันแก้ไขปัญหา” ท่าทีของเป็นหนึ่งลนลานจนเขานึกกลัวตามไปด้วย แต่ก็พยายามที่จะไม่แสดงออกให้คนเป็นน้องต้องหวาดกลัวไปมากกว่านี้
เด็กหนุ่มร่างสูงพยายามตั้งสติ ที่พึ่งทางเดียวในตอนนี้เห็นทีจะมีแค่พี่ชายตรงหน้า ทันใดนั้นริมฝีปากแห้งผากก็สั่นระริก น้ำตาไหลอาบแก้มเป็นสาย
“หลายเดือนก่อนไอ้ก้องพาหนึ่งไปเที่ยวกลางคืนมา มันบอกว่าเป็นที่ที่ คนรวยเขาไปเที่ยวกัน แล้วมันก็พาไปเจอเพื่อน ๆ ที่หนึ่งไม่รู้จัก พวกนั้นรวยมากเลยนะพี่นิ แล้วพวกเราก็ดื่มกันจนเมา จู่ ๆ จากเหล้า...ก็กลายเป็นยา ไม่รู้ว่าเป็นยาอะไร มันบังคับให้หนึ่งลอง มันทำให้หนึ่งรู้สึกผ่อนคลายมาก แต่หนึ่งลองไป นิดเดียวเองนะ เพราะรู้ว่ามันผิด หนึ่งเลยขอตัวจะกลับ แต่พวกมันก็ไม่ยอมอะ พวกมันบังคับให้ดื่มเหล้าต่อ หนึ่งผิดเองที่อยู่ ๆ ก็รู้สึกสนุกขึ้นมา แล้วหลังจากนั้น...ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในห้อง เธอมาตามหาแฟนที่เป็นหนึ่งในเพื่อนของไอ้ก้อง พวกเขาทะเลาะกันจนเธอถูกตบ เรื่องมันบานปลาย เพราะไอ้เหี้ยนั่นมันของขึ้น...”
“เกิดอะไรขึ้น?”
เป็นหนึ่งละล้าละลัง น้ำตาไหลไม่หยุด ก่อนจะกลั้นใจยอมบอกความจริง
“มันจับผู้หญิงคนนั้นข่มขืน...แล้วก็ให้คนทั้งหมดที่อยู่ในห้องรุมโทรม”
“อย่าบอกนะ ว่าหนึ่งก็ทำกับเขาด้วย”
น้องชายยิ่งร้องไห้หนักมากขึ้น มือไม้สั่นเป็นเจ้าเข้า คราวนี้ปรี่เข้ามาหาเขาอย่างลนลาน แม้ไม่ได้พูดออกมา แต่อาการนี้ก็เป็นคำตอบได้ดีอยู่แล้ว
“คนของผู้หญิงคนนั้นเจอหนึ่งแล้ว มันขู่ฆ่าหนึ่ง พี่นิ! หนึ่งกลัว! พี่นิช่วยหนึ่งด้วยนะ” เสียงของเป็นหนึ่งขาดห้วงด้วยแรงสะอื้น
“หนึ่ง!”
นิรันดรถึงกับช็อก แทบเป็นลมล้มพับ นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น ทำไมความหวังเพียงหนึ่งเดียวของครอบครัวถึงได้ทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้ หัวใจของคนเป็นพี่ ผู้ซึ่งตรากตรำทำงานหวังช่วยส่งเสริมให้น้องมีชีวิตที่ดี ค่าหอพักที่น้องบอกว่าอยากอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยเขาก็เป็นคนส่งให้ทุกเดือน อยากมี อยากกินของดี ๆ พี่ชายต่างแม่คนนี้ก็พร้อมให้ แม้ว่าชีวิตของตัวเองจะต้องลำบากสักแค่ไหน มาวันนี้ หัวใจของเขาแทบสลาย อดไม่ได้ที่จะโผเข้าไปทุบตีร่างสูง เพื่อระบายความเหนื่อยยาก เป็นหนึ่งเองก็ไม่ได้ทัดทานปัดป้อง เอาแต่ร้องไห้อย่างไร้หนทางแก้ไข
“ช่วยหนึ่งด้วยนะ หนึ่งไม่อยากเสียทุนเรียนหมอ หนึ่งยังไม่อยากตาย” เป็นหนึ่งยกมือไหว้ปลก ๆ เมื่อเหนื่อยคนเป็นพี่จึงหยุดมือ มองน้องชายด้วยสายตาผิดหวัง
“แล้วจะให้ทำยังไง?” เขาถามเสียงแผ่ว
“หนึ่งแบกความหวังไว้เยอะเหลือเกิน หนึ่งไม่อยากให้พ่อกับแม่ต้องเสียใจ”
นิรันดรน้ำตาไหล เขาเองก็ไม่อยากให้ท่านทั้งสองต้องเสียใจเช่นเดียวกัน เมื่อทบทวนหนทางแล้ว หากให้น้องชายยอมมอบตัวไม่ว่าจะกับตำรวจหรือเจ้าทุกข์ อนาคตที่จะได้เป็นหมอ และพาทุกคนให้หลุดพ้นจากชีวิตที่เป็นอยู่ ก็คงต้องมีอันต้องสูญสลาย
แต่หากเป็นเขา...
หากเป็นนิรันดรคนนี้ คนที่หัวสมองไม่ดีเท่า คนที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่แรงกายแรงใจจุนเจือครอบครัว มันก็คงจะเป็นทางออกที่ดีกว่า
“คนของผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?”
นิรันดรสูดลมหายใจสร้างพละกำลังขึ้นมาใหม่ บางทีการเจรจาอย่าง นอบน้อม จริงใจ อาจช่วยทำให้คนของผู้หญิงคนนั้นใจเย็นขึ้นมาได้บ้าง
อย่างน้อยก็ไม่ใช่การฆ่ากันให้ตายด้วยกฎเถื่อนเช่นนี้
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่เขาบอกว่าเร็ว ๆ นี้จะไปหาหนึ่งที่หอ หนึ่งเลยหนีกลับมานอนที่บ้าน”
ผัวะ!!
สิ้นคำเพียงเท่านั้น ประตูไม้บ้านสลัมก็ถูกถีบออก ทั้งสองสะดุ้งสุดขีด ตวัดใบหน้าหันไปมองก็ถึงกับต้องเบิกตาโพลง ยังไม่ทันขาดคำดี คนของผู้หญิง คนนั้นก็มายืนอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว
ผู้ชายร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาไร้รอยยิ้ม ดวงตาคมกริบมองมาอย่างเชือดเฉือน ราวกับมีดแหลมที่พุ่งเข้ามาปักตรงเป้า เป็นหนึ่งร้องไห้หนัก รีบหลบเข้าหลังพี่ชายทันที
นิรันดรเหลือบไปเห็นปืนพกที่เหน็บอยู่ข้างเอว ความกลัวก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณ เขาค่อย ๆ ยืนขึ้นด้วยขาอันสั่นเทิ้ม
“ผมมารับตัวไปพบเจ้านาย” ปราชญ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้สองพี่น้องอกสั่นขวัญแขวน เกิดมาชาตินี้ยังไม่เคยเจออันธพาลหรือคนที่ดูมีรังสีทมิฬอย่างนี้มาก่อน
แต่ในเมื่อรู้แล้วว่าตนจะต้องเสีย จึงไม่มีทางเลือกอื่น ร่างบางฝืนทำ ใจกล้า เดินไปเผชิญหน้ากับคนสูงใหญ่ หากมองลึกเข้าไปในแววตาจะรู้เลยว่า เกรงกลัวมากขนาดไหน
ปราชญ์ขมวดคิ้ว เมื่อคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า กลับไม่ใช่คนที่ต้องการ แต่เมื่อเหลือบไปมองตัวการคนสุดท้ายที่นั่งคู้อยู่ในหลืบห้องเล็กเท่ารูหนู ก็รู้ได้ทันทีว่ามันขี้ขลาด และหน้าด้านให้คนอื่นมารับโทษแทน
“ผมเป็นพี่ชายของเขา หวังว่าจะทดแทนกันได้ ไปครั้งนี้ผมขอไปเจรจา หากผิดจริงให้เห็นสมควรส่งเรื่องเข้ากระบวนการตามกฎหมาย”
นิรันดรยื่นคำขาด ความหมายคืออีกฝ่ายต้องไม่ทำตัวเป็นศาลเตี้ย หากคุยกันแล้วตกลงกันไม่ได้ เขาก็จะยอมเป็นแพะแทนน้องชาย ให้พวกเขาจับส่งเข้าตารางแต่โดยดี
เมื่อปราชญ์มองลึกเข้าไปในแววตาอันกล้าหาญ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยกับคนตรงหน้า ราวกับว่าเคยรู้จักกันมาเนิ่นนาน ทั้งที่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้พบกัน มันเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดที่แล่นเข้าสู่ขั้วหัวใจอย่างฉับพลัน แล้วจู่ ๆ ความน่าเกรงขามของอีกฝ่ายก็แทรกซึมขึ้นมา สุดท้ายอะไรสักอย่างนำพาเขาให้ยินยอมพวกเขาสลับตัวกันแต่โดยดี
โดยไม่รู้เลยว่า ตนนั้นเป็นผู้นำเด็กหนุ่มคนนี้กลับคืนสู่กรงขังแห่งอดีตชาติของแม่ทัพใหญ่อังวะ