ไม่มีโอกาสได้ร่ำลาใคร มีน้องชายต่างสายเลือดเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รับรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา
“พ...พี่นิ”
เสียงเรียกชื่อครั้งสุดท้ายก่อนสองมือจะพรากจากนั้นสั่นเครือ ทั้งแววตาคลอหน่วยอย่างคนอ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไรของเป็นหนึ่ง ยังคงฉายชัดอยู่ในสมอง เขารู้ว่าน้องชายขลาดกลัวมากแค่ไหน แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่าความรู้สึกที่มีนั้นจะหมายรวมถึงความห่วงใยต่อความปลอดภัยของเขา หรือแค่กลัวว่าตัวเองจะต้องเป็นคนถูกพาตัวให้ไปเจอกับสิ่งเลวร้ายกันแน่ แต่ถึงอย่างนั้น คนเป็นพี่ชายก็ไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายต้องพบเจอกับอะไรแบบนั้น เพราะเขาเองก็รู้ดี...รู้ดีว่าสถานะของตนเองในครอบครัว มีค่าน้อยกว่าเป็นหนึ่งมากนัก
“หนึ่งต้องเรียนให้จบ เลี้ยงดูพ่อแม่ให้ดีด้วยนะ”
นั่นคือคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายที่ส่งไปอย่างเร่งรีบ เพราะรังสีอำมหิตอะไรบางอย่างในตัวชายสูทสีดำบีบให้เขารับรู้ได้ว่าการจากชีวิตปกติสุขแสนธรรมดาในวันนี้ คงเป็นวาระสุดท้ายของชีวิตแน่แล้ว
“พี่เกี๊ยว...”
นิรันดรเปรยขึ้นมาขณะนั่งอยู่ในรถที่พุ่งทะยานไปสู่จุดหมาย ดวงตาสวยขนตายาวเป็นแพขัดกับบุคลิกกระโดกกระเดกเฉกเช่นเด็กผู้ชายทั่วไปถูกปิดเอาไว้ด้วยผ้าที่มัดแน่น สองมือและสองเท้าก็ถูกพันธนาการเอาไว้อย่างแน่นหนาเช่นเดียวกัน เขานึกถึงรุ่นพี่ที่เติบโตมาด้วยกันภายในชุมชนแออัด เหตุการณ์ภายในบ้านหลังเล็กเท่ารูหนูเมื่อครู่ฉุกละหุกจนเขาลืมที่จะฝากความหวังริบหรี่สุดท้ายที่ชื่อเกี๊ยวไว้กับน้องชาย
ถ้าพี่เกี๊ยวรู้ว่าเขาหายไปอย่างอันตรายแบบนี้ คงไปแจ้งตำรวจและ ตามหาเขาแน่...
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ก็ได้แต่ภาวนาว่าเป็นหนึ่งจะไม่หลีกหนีและหวาดกลัวคำขู่ของชายชุดสูทที่ห้ามไม่ให้บอกเรื่องนี้กับใคร แล้วรีบแจ้งข่าวนี้ให้แก่เพื่อนรุ่นพี่ของเขา
เส้นทางสู่จุดหมายค่อนข้างไกล คนถูกเชื้อเชิญโดยไม่เต็มใจนั่งจับเวลาอยู่เงียบ ๆ หากแต่หัวใจสั่นระรัวด้วยความกลัว พานเหงื่อเย็นผุดขึ้นตามอุ้งมือและฝ่าเท้า นานนับชั่วโมงรวมเวลาที่รถติด จากใจกลางเมืองกรุงเทพสู่จุดปลายทางที่รถตู้กำลังเทียบจอด ณ ที่แห่งหนึ่ง ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงสิบนาทีเศษ
ชายสูทดำดับเครื่องยนต์ จังหวะการเต้นหัวใจของนิรันดรก็เหมือนจะดับลงไปด้วย
“ค...คุณจะทำอะไรผม จะฆ่าผมเหรอ?” เขาถามเสียงสั่น เพราะกลัวจะถูกทำอย่างนั้นจริง ๆ
มันไม่เหมือนกับในละครหรือนิยายเลยสักนิดที่พอจวนเจียนใกล้ตายแล้วจะมีใครโผล่มาช่วย โดยสุดท้ายตัวร้ายถูกทำบาดเจ็บปางตายและไม่เคยทันได้ ทำร้ายตัวเอกเลยสักครั้ง เพราะในชีวิตจริงตอนนี้ต่างกันลิบลับ เขาไม่ใช่ตัวเอกที่จะมีใครนึกถึง ซ้ำบรรยากาศรอบด้านยังจริงเสียจนไม่กล้าคาดหวังอะไรอีกแล้ว
ชายชุดสูทไม่ตอบคำถาม ทำเพียงหน้าที่ของตนไปเงียบ ๆ เขาลงจากรถแล้วเดินมาเลื่อนเปิดประตู แก้มัดเท้า ก่อนจับจูงอีกฝ่ายให้ลงจากรถด้วย การกระชากเชือกหนาราวกับโซ่ตรวนตรงข้อมือบาง
นิรันดรหัวใจวูบโหวง ขณะถูกลากถูลู่ถูกังไปตามทางที่มองไม่เห็น พยายามสดับฟังเสียงเพื่อคาดเดาบรรยากาศรอบด้าน เขาได้ยินเสียงนกกาเหว่าดังแว่วอยู่ไกล ๆ ได้ยินเสียงหวีดหวิวของสายลมโกรกพัดใบไม้จำนวนมาก พื้นที่กำลังเหยียบย่ำเป็นก้อนกรวดเม็ดเล็ก ๆ ทุกสิ่งที่สัมผัสล้วนแล้วแต่เป็นธรรมชาติทั้งสิ้น
เหมือนไม่ได้อยู่ในกรุงเทพ
หนึ่งชั่วโมงเศษรวมรถติด...มีที่ ๆ เหมือนจะร่มรื่นแบบนี้ด้วยหรือ
ถ้าเราติดต่อพี่เกี๊ยวได้ จะบอกเขาว่าอยู่ที่ไหนกันล่ะ
คนใกล้ถึงฆาตหวาดหวั่น สับสนและเกรงกลัว คิดหาทางหนีทีไล่ไปต่าง ๆ นานา สองมือที่ถูกลาก คอยยื้อยันพยายามแกะบ่วงหนาอยู่เงียบ ๆ แต่คิดไปแล้วก็ต้องเศร้าเมื่อไม่มีอะไรการันตีได้เลยว่าพี่เกี๊ยวจะรู้ว่าเขาถูกพามาฆ่าทิ้ง ถึงรู้ก็คงมาช่วยไม่ทัน ในเมื่ออีกไม่กี่นาทีข้างหน้า คนที่ชื่อนิรันดรคนนี้คงไม่มีลมหายใจอีกต่อไปแล้ว
นิรันดรจมอยู่กับความกลัว ผ้าสีดำที่ปิดช่วงตาเอาไว้เริ่มชื้นเป็นวงกว้าง
“ให้...ให้ผมทำอะไรก็ได้เพื่อชดใช้ดีไหม ดีกว่าคุณฆ่าหนึ่งชีวิตทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ อย่างนี้...มันบาปนะคุณ”
ชายชุดสูทได้ยินทุกคำพูด แต่กระนั้นก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรออกไป นั่นยิ่งทำให้นิรันดรขวัญเสีย สองขาไร้เรี่ยวแรงพันกันจนสะดุดล้ม
แรงรั้งทำให้ปราชญ์ชะงัก หันมามองคนนั่งกองอยู่กับพื้น เมื่อสบเข้ากับใบหน้าเรียวเล็กก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้ น้ำตาหลั่งรินอาบแก้มไม่ขาดสาย
เมื่อกี้ยังกล้าออกโรงปกป้องน้องตัวเองอย่างกล้าหาญอยู่แท้ ๆ แต่พอมาตอนนี้กลับอ่อนแอเสียได้
“ต้องชดใช้ด้วยชีวิต ถ้ากลัวนัก ทำไมไม่ให้ตัวจริงออกมารับผลกรรม เองล่ะ”
ชายหนุ่มสนทนาด้วยเป็นครั้งแรก ลึก ๆ ก็นึกสงสารเด็กหนุ่มตรงหน้าครามครัน คนไม่ได้ทำแต่กลับปกป้องคนทำ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้กล้าเอาตัวเข้ารับผิดแทนอย่างนี้
นิรันดรรีบส่ายหน้า จะไม่ยอมให้ความหวังของแม่และพ่อเลี้ยงต้องพังลงเด็ดขาด
หนึ่งชีวิตแลกกับสามชีวิต มันก็คง...คุ้มค่าแล้ว
เด็กหนุ่มทำใจให้นิ่ง ก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ชายชุดสูทเห็นดังนั้นก็เอื้อมมือเข้าไปช่วยกึ่งรั้งกึ่งลาก จังหวะที่ทั้งสองได้เผชิญหน้ากันใกล้ ๆ นิรันดรยกมุมปากเล็กน้อยให้ ทั้งที่มันสั่นเทาราวกับเจ้าเข้า
“ถ้าผมตาย ทุกอย่างจะจบใช่ไหม” เขาไม่ได้รับคำตอบ ได้ยินเพียงเสียงหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอของชายชุดสูทร่างสูงใหญ่ “ถ้าอย่างนั้นก็ทำอย่างที่สบายใจเถอะ ผมหวังว่าการตายของผมครั้งนี้ จะทำให้ความทุกข์ของพวกคุณสิ้นสุดลงก็แล้วกัน”
สุดท้ายก็ได้แต่เอ่ยออกไปอย่างคนสิ้นหวัง ก่อนจะถูกอีกฝ่ายลากจูงให้เดินไปตามทางอีกครั้ง ไม่นานก็มาถึงยังจุดหนึ่ง รอบด้านเวลานี้มีเสียงจิ้งหรีดร้องระงม เขาถูกปล่อยให้ยืนอย่างอิสระท่ามกลางความมืดมิดในผ้าสีดำ ลมเย็น ยะเยือกพัดผ่านวูบหนึ่งเล่นเอาขนแขนลุกชัน แต่นิรันดรไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะความหนาวหรือความกลัวกันแน่ แต่ในเมื่อสองเท้าเคลื่อนไหวได้ ก็ไม่คิดลังเลที่จะหนี ถึงเบื้องหน้าจะต้องไปเจอกับอันตรายอะไรก็ตาม อย่างน้อย ๆ ก็ขอให้พ้นจากสายตาที่ไม่รู้ว่ามีกี่คู่กำลังจ้องจะทำร้ายเขาอยู่ก็พอ
“แน่ใจแล้วเหรอว่าจะหนี ไม่ห่วงคนข้างหลังหรือไง”
ทว่าทันทีที่เท้าข้างหนึ่งก้าวออกไป กลับมีเสียงเข้มหนึ่งดังขึ้นไม่ไกลนัก เสียงนี้ดุดันหนักแน่นแตกต่างจากชายสูทดำ คำพูดของเขาทำให้นิรันดรไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ หัวใจของเขาเต้นถี่หนักขึ้น เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าค่อย ๆ เด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ
“ทำผิดก็ต้องยอมรับผิด ไม่เคยมีใครสอนเหรอ?” เสียงเข้มนั้นถามขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ใกล้เสียจนคนถูกปิดตาผวา ผละถอยจนสะดุดล้ม
“แน่ใจนะว่าเป็นมัน?” กาลเวลาขมวดคิ้ว หลังเห็นความอ่อนกากตรงหน้า ถึงขั้นเสียเวลาหันไปถามลูกน้องเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
“ลองถามเขาดู” ปราชญ์ที่ยืนห่าง ๆ อยู่เบื้องหลัง เอามือไขว้ไว้ด้านหน้า กล่าวอย่างเรียบง่าย กาลเวลาตวัดหน้ากลับมา ก่อนย่อกายนั่งเท้าแขนข้างหนึ่งไว้บนหน้าขา ใบหน้าดุดันแข็งกร้าว ไม่คิดเล่นและต่อล้อต่อเถียงอันใด
“มึงเป็นหนึ่งในคนที่ข่มขืนอลิศใช่ไหม?” ชายหนุ่มเค้นเสียงถาม ทั้งที่ ไม่อยากรื้อฟื้น
นิรันดรปากสั่นไม่กล้าตอบ ถือว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วจริง ๆ หากเขาพูดความจริงออกไปว่าตนรับผิดแทนน้องชาย บางทีเขาอาจจะรอดพ้น แต่การมาครั้งนี้ก็คงสูญเปล่า แล้วคนที่ต้องสูญเสียก็จะเพิ่มขึ้นอีกสามคน
“ใช่ ผมเป็นหนึ่งในนั้น”
สุดท้ายก็จำต้องตอบไปเช่นนี้ ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้หญิงที่ชื่ออลิศหน้าตาเป็นอย่างไร และมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอันใดกับคนแสนแค้นตรงหน้า รู้เพียงว่าเธอเป็นคนของเขา
เมื่อจำเลยยอมรับสารภาพแต่โดยดี ในอกกาลเวลาถึงกับเดือดปุด หากเป็นเช่นนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรจะต้องซักไซ้ เขาไม่ใช่คนที่จะมาประวิงเวลาพูดคุยกับเศษสวะชั้นต่ำอีก เพียงไม่กี่อึดใจต่อจากนี้ น้องสาวของเขาก็จะถูกปลดออกจากบ่วงความทรงจำร้าย ๆ นั่นเสียที จังหวะนั้นจึงเอื้อมมือกระชากผ้าปิดตาออกให้พ้น เพราะต้องการให้อีกฝ่ายได้ลิ้มรสความหวาดกลัวถึงขีดสุดเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต
ให้มันได้รับรู้ ว่าความเจ็บปวดขมขื่นเป็นเช่นไร ในยามที่ความตายมาเยือนตรงหน้า
ปลายกระบอกปืนที่ถือติดมือ แนบจ่อลงบนกลางหน้าผาก ความเย็นเยียบที่กักเก็บกระสุนร้อนไว้ภายในทำให้คนถูกสัมผัสถึงกับน้ำตาไหลออกมา หลังจากนี้จะไม่มีอีกแล้วนายนิรันดรผู้ขยันอดทน ไม่ย่อท้อต่อความลำบากใดใดในชีวิต เหลือเพียงนิรันดรมนุษย์รักตัวกลัวตายคนหนึ่งเท่านั้น
กาลเวลาสละเวลาเลื่อนสายตาจากปืนที่ถือลงมาสบตากับจำเลยชั่วเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่นิรันดร เด็กหนุ่มผู้เสียสละเฝ้ามอง อีกฝ่ายด้วยม่านน้ำคลอเต็มเบ้า ขนตายาวเป็นแพเคลื่อนไหวราวกับปีกผีเสื้อกระพือ
ห้วงวินาทีนั้น ชายหนุ่มผู้เต็มไปด้วยความแค้น เหมือนถูกไฟฟ้าหลายพันโวลต์แล่นปลาบเข้าจี้ขั้วหัวใจ ปลายนิ้วที่สอดเข้าโก่งไกปืนชาวาบเหมือนถูกช็อต รู้สึกว่าปืนสั้นกึ่งอัตโนมัติในมือร้อนราวกับเหล็กไหลถูกหลอม นั่นทำให้เจ้าของโทสะถึงกับสะบัดมือออกทันที อาวุธสังหารกระเด็นตกพื้น
กาลเวลาผงะ ม่านตายามนี้ขยายกว้างถูกตรึงไว้กับดวงตาสวยฉ่ำน้ำเบื้องหน้า ก่อนภาพความทรงจำในอดีตชาติจะแล่นปราดเข้ามาในสมอง คล้ายกับภาพเคลื่อนไหวในแผ่นฟิล์ม เหตุการณ์ในนั้นไหลเร็วจนจับใจความไม่ได้ รับรู้แต่เพียงว่ามีตนเองและคนตรงหน้ารวมอยู่ด้วย
ราวกับคุ้นเคยและได้พบเจอกันมาก่อน
เขาจดจ้องมองตาคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจนัก แต่ไม่นานความฝัน เมื่อคืนก็วนกลับเข้าสมอง หากการนึกถึงครั้งนี้นั้นชัดเจนกระจ่างขึ้นจนมั่นใจว่า ไอ้มารหัวใจในอดีต คือคน ๆ เดียวกับจำเลยชั่วคนนี้
เป็นไปได้อย่างไร คนในความฝันมีตัวตนในชีวิตจริงได้อย่างไร!
ชายหนุ่มถามตัวเองในใจที่เต้นระทึก รู้สึกสับสนระคนตื่นตระหนกกับเรื่องตลกร้ายที่เกิดขึ้น
ส่วนนิรันดรหยุดร้องไห้ คงเหลือไว้เพียงหยาดน้ำที่ค้างคาตรงปลายหางตา มองคนตรงหน้าอย่างฉงน เมื่อจู่ ๆ ชายเจ้าของความแค้นก็จ้องมองเขาไม่วางตาและใบหน้าคมคายอย่างลูกครึ่งฝรั่งตาน้ำข้าวดูตกใจเหมือนสติใกล้กระเจิงอยู่รอมร่อ แต่ท่าทางนั้นกลับเรียกความหวังขึ้นมา มือบางที่ถูกไพล่หลังจึงค่อย ๆ ดุนดันพื้นดินในป่ารกทึบถอยห่างอย่างแนบเนียน
“คุณกาล”
เสียงลูกน้องคนสนิทดังแว่วชนิดที่ห่างไกลมากแล้วก็แทบไม่เข้าหูเลย สักนิด เพราะใจชายหนุ่มกำลังจดจ่ออยู่กับเรื่องเหลือเชื่อที่ไม่สามารถใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายได้ เมื่อคืนเขาพึ่งฝันถึงคนหน้าตาและรูปร่างแบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเวลานี้กลับได้พบกันอยู่บนโลกแห่งความจริง
มันคือคน ๆ นั้น...นักรบ ผู้ซึ่งผูกใจรักเขาและหวังมาเป็นชายาเชลย แทนที่พี่สาวของตัวเอง
ห้วงอกชายหนุ่มกระเพื่อมไหวอย่างรุนแรงเพราะหัวใจทำงานหนัก พยายามคิดทบทวนสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่เบื้องหน้า บางทีอาจเป็นเรื่องบังเอิญ เขาอาจจะเคยเจอกับมันที่ไหนมาก่อนแล้วเก็บเอาใบหน้านี้ไปฝัน ปะปนกับหนัง แอ็กชันย้อนอดีตที่เคยผ่านตา
“คุณกาล...”
แต่แล้วเสียงเรียกอีกครั้งของปราชญ์ก็ทำให้เขาได้สติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือเรื่องลี้ลับอะไรก็ช่าง อย่างไรแล้ว ณ ตอนนี้ คนตรงหน้าก็ได้ชื่อว่าเป็นคนที่ทำร้ายน้องสาวของเขา เช่นนั้นแล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องตะขิดตะขวงใจให้มากความ มันมาที่นี่ เพื่อให้เขาได้สะสางความแค้นทั้งหมดที่มี หลังปืนลั่นใส่หัวมันก็เป็นอันว่าจบสิ้นกันสักที
คิดได้เช่นนั้น ม่านตาสีเทาก็หดเล็กลง กาลเวลาปรี่ไปหยิบปืนที่พื้น ยืนเต็มความสูงแล้วจ่อไว้ที่หน้าผากอีกฝ่ายที่ยังคงนั่งเสียหลักอยู่ดังเดิม คราวนี้นัยน์ตาแน่วแน่มากกว่าเดิม ปราชญ์ที่ก้าวขาเข้ามาเพื่อจะเตือนสติเจ้านาย ก้าวถอยหลังไปยืนอยู่จุดเดิมเมื่อเห็นว่าเขากลับมาเป็นกาลเวลาคนเดิมแล้ว
ที่แห่งนี้คือป่ารกหลังคุ้มรามางกูร ซึ่งห่างจากคุ้มประมาณสองกิโลเมตร ไม่มีใครนอกจากพวกเขา เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องระวังหลังให้
“ทำไมไม่ให้กฎหมายบ้านเมืองเป็นคนตัดสิน”
วาระสุดท้ายทำให้นิรันดรรีบเอ่ยถาม สีหน้าจริงจังแข็งกร้าวของคนยืนสูงกว่าบ่งบอกได้ดีว่าเอาจริง เขาแค่ต้องการเพิ่มเวลาในการหายใจก็เท่านั้น
“แล้วตอนทำร้ายคนอื่นทำไมถึงไม่นึกถึงกฎหมายบ้านเมืองที่จะตามมาบ้างล่ะ?” กาลเวลาแค่นเสียงถาม มุมปากเหยียดหยันท้าทาย ทีตอนทำล่ะไม่คิด เพิ่งจะมาคิดได้เอาตอนที่ความตายมาเยือนตรงหน้า
น่าสะอิดสะเอียนเหลือเกิน
“แล้วคุณไม่คิดว่าสิ่งที่คุณกำลังทำ กฎหมายบ้านเมืองจะตามมาไม่ทันอย่างนั้นเหรอ?”
“ถึงตามมาทันฉันก็ไม่สนใจ อย่างน้อย ๆ ฉันก็ได้แก้แค้นสำเร็จ ส่งคนชั่วคนสุดท้ายลงนรก หลังจากวันนี้หัวใจฉันจะได้เป็นสุขเสียที”
ได้ยินคำพูดที่อัดแน่นเต็มไปด้วยความแค้น ไม่ยอมปล่อยวาง หัวใจ คนฟังก็สุดจะเวทนา ชายร่างสูงผู้นี้คงกักเก็บความเจ็บปวดเอาไว้กับตัวจนเก็บกด คงคิดว่าได้แก้แค้นดั่งศาลเตี้ยแล้วทุกอย่างจะถูกปลดแอก
“แต่มันบาป ฆ่าคนมันบาป และจะติดตัวไปจนถึงภพชาติอื่น”
“ก็ปล่อยให้มันเป็นไป หากต้องชดใช้ในชาติหน้า ฉันค่อยยินยอม”
นัยน์ตาสีเทาดื้อรั้น มุมปากยกขึ้นข้างหนึ่งอย่างท้าทาย กาลเวลากำลังคิดว่าตนอยู่เหนือกว่า จะยังไงก็ช่าง ขอแค่ได้แก้แค้นให้น้องสาวเขาสำเร็จก็พอใจแล้ว
เด็กหนุ่มร่างบางสบตาชายหนุ่มอีกเพียงครู่ ก่อนปล่อยให้ความเสียใจต่ออะไรบางอย่างผลักดันออกมา ผ่านม่านน้ำตาไหลอาบแก้ม เปลือกตาค่อย ๆ ปิดลงเชื่องช้า ยอมรับต่อโชคชะตาที่ตนไม่ได้ก่ออย่างจำนน
“ผมขออโหสิกรรมให้ ชาติหน้าหรือชาติไหน จะได้ไม่ต้องพบเจอกันอีก”
ให้ความแค้น ความทุกข์ระทมจบสิ้นกันในชาตินี้ และหวังว่าเขาจะไม่ต้องพบพานกับความเจ็บปวดเช่นนี้อีก
นัดเดียวก็คงจบแล้ว คงไม่ทรมานมากหรอก ใช่ไหม...
น้ำตาหยาดสุดท้ายไหลรินอาบแก้ม ร่วงหล่นจากปลายคางสู่พื้นดินในป่าทึบ เตรียมรับมือกับความเจ็บปวดที่กำลังจะมาถึง
ทันทีที่ได้ยินประโยคคุ้นหู กาลเวลาถึงกับผงะ หรี่ม่านตามองคนตรงหน้า เขาจำได้ไม่ลืม ประโยคนี้เคยได้ยินคล้ายกับในความฝันไม่มีผิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ ไม่คิดค้นหาคำตอบของเรื่องแปลกประหลาด ในเมื่ออาทิตย์อัสดงใกล้ลับขอบฟ้า อีกไม่กี่วินาทีทุกอย่างก็จะจบลงแล้ว
นิ้วเรียวสอดเข้าโก่งไก เกี่ยวรั้งเข้าหาตัวแน่วแน่ ลูกน้องมือขวาที่ยืนอยู่เบื้องหลังหลับตายืนนิ่ง ราวกับต้องการไว้อาลัยให้แก่ผู้บริสุทธิ์ที่กำลังจะจากไป แตกต่างจากจำเลยคนอื่น ๆ ที่เขามองพวกมันถูกยิงทีละคนโดยไม่กะพริบตาเลย สักนิด
...รักท่าน
กริ๊ก!
ทันใดนั้นเสียงสองเสียงประสานดังขึ้นพร้อมกัน เสียงหนึ่งคือเสียงไกปืนทำงานผิดปกติ ลำกล้องขัดอย่างน่าประหลาด อีกเสียงหนึ่งคือถ้อยคำบอกรัก แผ่วพร่าดังกึกก้องอยู่ในหัว
กาลเวลาเหมือนถูกไฟช็อต โยนปืนให้ปราชญ์ราวกับต้องของร้อน เขาตวัดสายตากลับมามองยังร่างตรงหน้า พลันวินาทีนั้นลมพายุกลางฤดูร้อนก็โหมซัด ต้นไม้ใหญ่โยกจนเอนเอียง คนนั่งจำนนปรือตาขึ้นมองบรรยากาศรอบด้าน ท้องฟ้าแปรปรวนส่งเสียงคุ้มคลั่งอย่างน่ากลัว หากแต่หัวใจนั้นกลับหวาดกลัวต่อบุคคลที่ยืนอยู่เบื้องหน้ายิ่งกว่าหลายเท่า เมื่อกี้หากปืนทำงานปกติ ป่านนี้เขาคงเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณไปแล้ว
ดวงตาสวยตวัดมองคนอยู่เหนือกว่าอย่างรวดร้าว หัวคิ้วขมวดติดกันแน่น ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกใจหายและผิดหวังขนาดนี้ ใต้แผ่นอกวูบโหวงขาดหาย น้ำตารื้นขึ้นกระบอกตาจนแสบร้อน ก่อนกลั่นออกมาอย่างไม่นึกอาย
ผู้ชายคนนี้จิตใจอำมหิต ตั้งใจฆ่าเขาได้อย่างเลือดเย็นจริง ๆ
“เมื่อกี้ได้พูดอะไรหรือเปล่า?” กาลเวลาเอ่ยถามเด็กหนุ่ม ประจวบกับที่ปราชญ์เช็กกลไกของปืนเสร็จ
น่าแปลกที่ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ทำไมปืนถึงไม่ลั่น
ปัง ปัง ปัง!
เสียงปืนดังติดกันสามนัด วิถีกระสุนเฉียงขึ้นไปบนฟ้าวิปริต เกิดจากฝีมือทดลองยิงของบอดี้การ์ดหนุ่ม
นิรันดรสะดุ้ง ปากสั่นไม่กล้าเปล่งเสีย เหลือบมองอาวุธสังหารที่ขึ้นลำอีกครั้ง แล้วถูกส่งต่อมาให้ชายใจร้าย ครานี้ไม่มีการหลับตาหนี มีเพียงน้ำตาที่หลั่งริน และเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น
ปราชญ์เดินเข้ามาใกล้พลางหันด้ามกระบอกปืนคืนเจ้านาย และในจังหวะที่กาลเวลากำลังจะเอื้อมมือไปรับ เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งอีกครั้ง
...เพราะรักอย่างไรเล่า ท...ท่านรีบหนีไปเถิด
คำพูดไร้ที่มากึกก้องทั่วป่า หากแต่คนได้ยินมีเพียงชายร่างสูงนัยน์ตาสีเทาเท่านั้น เสียงนั้นสั่นเทาเหมือนผู้พูดกำลังร่ำไห้เสียใจอย่างหนัก แล้วจู่ ๆ ความรู้สึกหนึ่งก็ก่อร่างสร้างตัวขึ้นในห้วงหัวใจคนคั่งแค้น มันทำให้เขาเกิดความลังเลขึ้นมาในฉับพลัน ราวกับว่าหากเลือกผิดทาง ตัวเขาจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
ไม่ว่าชาตินี้ หรือว่าภพชาติไหน
ในขณะที่กำลังละล้าละลังอยู่นั้น คนร้องไห้ตัวโยนก็ถือสบโอกาสในวินาทีสุดท้าย ฮึดสู้ชะตาอีกครั้ง นิรันดรหยัดกายขึ้นอย่างทุลักทุเล หมายจะวิ่งหนีไป อีกทาง แต่แล้วเพียงแค่ลุกขึ้นเท่านั้น สติก็ดับวูบ เป็นลมล้มพับแทบทันที คงเกิดจากการพักผ่อนน้อยผสมปนเปรวมกับความหวาดกลัวถึงขีดสุด คนที่ไวกว่าคือชายร่างสูงใหญ่นัยน์ตาสีเทา แขนแกร่งเอื้อมไปรองรับ ก่อนช้อนร่างผ่ายผอมขึ้นแนบอกเอาไว้อย่างทันท่วงที
เขาขมวดคิ้วขณะมองใบหน้าหวานหยดที่มีน้ำตาเม็ดหนึ่งเกาะบนขนตาหนาด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไหลวนไม่ยอมจางหาย ซึ่งเขาหาคำอธิบายความรู้สึกนี้ไม่ได้ รู้เพียงแต่ทันทีที่ได้สบตาคู่นี้ มันทำให้เขาปั่นป่วนชิงชังอย่างรุนแรง ไม่เพียงเพราะคดีข่มขืนน้องสาวของเขา แต่หมายความรวมถึงภาพฝันไร้ที่มาที่ยังปะติดปะต่อเป็นเรื่องราวไม่ได้นั่นด้วย
บอดี้การ์ดหนุ่มยื่นปืนให้อีกครั้ง คราวนี้เช็กแล้วว่าหากลั่นไกครั้งนี้มันจะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
“คนดีมักดวงแข็ง” ปราชญ์กล่าวแฝงนัยยะ เมื่อรู้อยู่เต็มอกว่าคนในวงแขนแกร่งของกาลเวลาไม่ใช่ผู้ร้ายตัวจริง
“จะดวงแข็งไปได้สักกี่น้ำกันเชียว”
เมื่อแน่ใจแล้วว่าเจ้านายจะไม่ปล่อยเด็กหนุ่มให้รอดพ้นจากเงื้อมมือ บอดี้การ์ดหน้านิ่งก็ตั้งท่าจะเข้าไปอุ้มร่างนั้นแทน หมายจะนำไปวางบนพื้นให้ เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ฆ่าง่าย ๆ สมใจอยาก ทว่ากาลเวลากลับเบี่ยงตัวหลบเอาหลังบังไว้ แล้วเดินมุ่งหน้าพาร่างไร้สติไปขึ้นรถส่วนตัวซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากนี้
นี่เป็นครั้งแรกที่กาลเวลา อาร์ เกรย์ นักธุรกิจหนุ่มผู้กุมอำนาจทั้งด้านสว่างและด้านมืด เลือกไม่ฆ่าจำเลยคนสุดท้าย ณ แดนประหาร แต่กลับพากลับคุ้มรามางกูรด้วยตัวเองอย่างไร้ซึ่งคำอธิบาย บอดี้การ์ดหนุ่มทำเพียงมองตามแผ่นหลังกว้าง แม้ภายในใจจะฉงนมากมายเพียงไรก็ตาม
โชคชะตา...
จู่ ๆ คำนี้ก็ผุดขึ้นมาในความคิด