3 เดือนก่อนหน้า...
ความโกลาหลยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่องบนผืนแผ่นดินโยเดียอันร้อนระอุ ค่ำคืนเคยเงียบสงบกลับเต็มไปด้วยเสียงโหยหวนร่ำไห้อย่างเจ็บปวด ผู้บุกรุกคือ อังวะ ซึ่งใช้เวลารุกคืบบุกป่าฝ่าแผ่นดินมาทางทิศอุดรถึงสองเดือนเต็ม เพลานี้เข้าใกล้เขตอโยธยาไปทุกที ดูท่าว่าอีกไม่เกินเดือนจักต้องตีเมืองหน้าด่านได้สำเร็จเป็นแน่แท้
เสียงคมดาบฟาดฟันระงมทั่วทุกสารทิศ ด้วยกำลังพลของพม่าที่มากกว่า จึงทำให้ผู้ปราชัยทั้งหมดเป็นชาวสยาม ผู้คนล้มตายเกลื่อนกลาด ไม่เว้นแม้แต่ลูกเล็กเด็กแดง หญิงสาว คนชรา ต่างนอนจมกองเลือดทับถมกันราวกับใบไม้ร่วง และเมื่อชายคนสุดท้ายที่อยู่สู้ไม่ยอมถอยถูกฆ่าด้วยดาบทหารพม่าสิ้นใจล้มลงวินาทีหนึ่ง นั่นแปลว่าเวิ้งริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้ถูกยึดครองโดยอังวะเสียสิ้นแล้ว
ดึกดื่นค่อนคืน ด้านนอกกระโจมขาวยังคงมีทหารพม่าช่วยกันแบกศพศัตรูไปวางเรียงไว้ยังพื้นที่หนึ่งที่อยู่ใต้ลม ส่วนหนึ่งคอยเดินลาดตระเวนสอดส่องความผิดปกติตามหน้าที่
หากชัยชนะครั้งนี้หาได้ทำให้แม่ทัพเอกจากอังวะดีใจไม่
ร่างสูงใหญ่ยังคงอยู่ในชุดเกราะเปื้อนเลือดนั่งสงบนิ่งตัวตรงบนเก้าอี้ แสงจากคบไฟมุมหนึ่งสาดส่องใบหน้าครึ่งเสี้ยวเกิดเป็นเงาตกกระทบยังผืนผ้าใบกระโจม แม้เป็นเพียงเงา แต่มันก็เป็นเงาที่หล่อเหลาราวกกับเทพสร้าง โครงหน้าคมเฉียบได้รูป สันจมูกโด่งรับกันมาตั้งแต่หน้าผาก กระจับบนริมฝีปากจรดปลายคางแหลมเหลี่ยมดั่งรูปปั้น
โดยรวมทั้งหมดเคยสวยงาม หากไม่มีตำหนิบนข้างแก้มข้างหนึ่ง
มันเป็นรอยแผลอันเกิดจากการถูกฟัน แม้จะหลบได้ แต่ก็ไม่พ้นรัศมีคมของดาบมันผู้นั้น กลายเป็นตราบากเหวอะหวะน่าขยะแขยงไปชั่วเพลาหนึ่ง พอผ่านพ้นการรักษาแผลฉกรรจ์มาได้ก็กลายเป็นแผลเป็นปูดนูน ตัวเขานั้นเป็นชายชาติทหารที่ต้องออกรบให้เจ้าอยู่หัว เลยไม่ได้ใส่ใจหรือเห็นว่ามันเป็นความอัปยศ ทำให้ความหล่อเหลานั้นหมดไปแต่อย่างใด ถือว่ายังดีด้วยซ้ำที่เป็นแผลแค่นี้ มิใช่จิตวิญญาณที่ถูกพราก จนมิอาจชิงชัยชนะให้อังวะสมดังปรารถนาได้
“โบโชะตูระ...”
เสียงเรียกจากชเว นายทหารผู้ช่วยปลุกภวังค์ความกังวลหายไปสิ้น เมื่อสารที่รอคอยมาถึงแล้ว แม่ทัพตูระผุดลุกขึ้นทันที ก่อนเดินเร็วออกจากกระโจมเพื่อไปต้อนรับใครคนหนึ่ง หัวใจนักรบครานี้กระหน่ำเต้น ใบหน้ามีรอยบากที่ตึงเครียดเมื่อครู่ฉีกยิ้มอย่างปีติอย่างที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อน
ทหารพม่าม้าเร็วฟากละสามนายกระโดดลงจากม้า เชลยสยามอีกหกคนที่ถูกคุมมาค่อย ๆ วางเสลี่ยงบนพื้น แม่ทัพหนุ่มไม่รอช้า เดินปรี่เข้าไปเปิดม่านเสลี่ยงออก ด้วยหวังว่าจะได้พบกับคนที่ทำให้ตนหลงรักตั้งแต่แรกพบ
ทว่าความคาดหวังมีอันต้องดับสูญ เมื่อคนที่พบกลับไม่ใช่คนที่นัดหมายกันเอาไว้
“แม่หญิงดวงเดือนล่ะ...”
น้ำเสียงของแม่ทัพใหญ่แผ่วพร่า จับต้นชนปลายไม่ถูก คนที่ควรนั่งอยู่ในเสลี่ยงนั้นต้องเป็นแม่หญิงดวงเดือน บุตรีของเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ มิใช่บุตรชาย น้องต่างแม่ของแม่หญิงคนนี้
อีกฝ่ายมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก นัยน์ตาสะท้อนความหวั่นเกรง หากแต่ยังทำใจกล้ายื่นจดหมายฉบับหนึ่งมาให้
“พี่เดือนฝากมาให้ขอรับ”
แม่ทัพหนุ่มยังคงงุนงง หากแต่ก็รีบหยิบจดหมายฉบับนั้นมาเปิดอ่าน ข้อความเป็นภาษาไทยแต่กระนั้นก็ไม่ได้ยากสำหรับเขา
‘ถึงท่านแม่ทัพตูระ...อิฉันแม่หญิงดวงเดือน คงมิอาจทำตามที่ตกลงกันไว้ได้ ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองระส่ำระสาย ท่านเจ้าคุณพ่อกรำงานหนักจนล้มป่วย อิฉันจึงต้องอยู่เฝ้าทดแทนพระคุณท่านและต้องเป็นเสาหลักเพื่อปกครองบ่าวไพร่อีกนับสิบนับร้อย
และที่สำคัญไม่นานมานี้ อิฉันได้ล่วงรู้ความในใจของนักรบ น้องชายของอิฉัน ว่าเขานั้น แอบรักและเฝ้ามองท่านแม่ทัพมาตั้งแต่แรกพบ อิฉันเป็นเพียงพี่สาวที่รักน้องชายมาก จึงมิขอแก่งแย่งช่วงชิงใครไปจากเขา แม้ว่าหัวใจของอิฉันจะสลายและแสนระทมทุกข์ก็ตาม หากท่านแม่ทัพเมตตา ได้โปรดขอความกรุณารักและเอ็นดูน้องชายของอิฉันด้วย แม้ท่านไม่ชื่นชอบ แต่เชื่อว่านักรบจะสามารถอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ท่านได้ไม่ฐานะใดก็ฐานะหนึ่ง
หวังว่าจดหมายฉบับนี้จะมิทำให้ท่านแค้นเคืองเหมารวมไปถึงบ้านเมืองสยาม หากชาติหน้ามีจริง อิฉันแม่หญิงดวงเดือนขอสาบานว่าจะเอาใจผูกมัดและรักใคร่ท่านแม่ทัพแต่เพียงผู้เดียว’
เมื่ออ่านจบ แม่ทัพหนุ่มถึงกับเลือดขึ้นหน้า ขยำจดหมายในมือจนยับเยิน เจ็บแค้นอย่างแสนสาหัส หัวใจแกร่งปริแตกเกิดรอยร้าว ไม่คิดเลยว่าจะถูกปฏิเสธจากหญิงรักแรกพบผู้ซึ่งเคยช่วยชีวิตเขา อุตส่าห์ละเว้นเรือนพระยาจักรีศรีองครักษ์ ทั้งที่ตกลงกันไว้ว่าจะส่งตัวแม่หญิงดวงเดือนมาเป็นชายาเชลย วันนั้นอีกฝ่ายก็เห็นดีด้วย แต่ไหนวันนี้กลับส่งชายหนุ่มที่เขาไม่เคยนึกพิศวาสคนนี้มาให้กัน
แต่พอลองไตร่ตรองเนื้อความในจดหมายให้ดีแล้ว ดูเหมือนว่าแม่หญิงดวงเดือนจักมีใจให้เขาไม่แตกต่าง ทว่าด้วยภาระหน้าที่ของพี่คนโต หญิงสาวจำต้องเลือกตอบแทนบุญคุณของบุพการี และเพราะล่วงรู้ว่าน้องชายต่างแม่มีความรู้สึกอย่างไรให้แก่เขา เป็นเธอเองที่ยอมเป็นผู้เสียสละให้น้องชายมีความสุข
วินาทีที่ตีความจนกระจ่าง สายตาคมกร้าวตวัดมองมายังร่างบางซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า แค่รู้ว่ามันชมชอบเขา ท้องไส้ก็ปั่นป่วนผะอืดผะอมจนอยากจะสำรอก
“รู้หรือไม่ว่ามาที่นี่เพื่อการใด?” แม่ทัพเสียงแข็งไม่เป็นมิตร นั่นยิ่งทำให้คนมองรู้สึกหวั่นเกรงหนักมากขึ้น รอบกายมีแต่ศัตรูบ้านเมือง แปลกหน้า แปลกสำเนียงไปหมด
“มาเป็นเชลยของท่าน” เสียงทุ้มหวานเสนาะหู แต่กลับทำให้ท่านแม่ทัพ ตูระยิ่งเดือดดาล ถึงกับกระชากคอเสื้อเข้ามาประจันหน้า
“ท่าทีไม่เหมือนจำยอมต้องมาเป็นเชลย เหมือนเต็มใจเสนอหน้ามาเป็นชายาผิดเพศแทนแม่หญิงดวงเดือนมากกว่า!”
แม่ทัพหนุ่มตะคอกเสียงดัง รู้ทันสันดานความคิดอีกฝ่ายอย่างถ่องแท้ ยิ่งมันลอยหน้าลอยหน้า ไม่ละอายต่อความอยากได้อยากมีเขา เขายิ่งขยะแขยง ไม่อยากแม้แต่จะหายใจร่วมอากาศด้วย
“ท่านเข้าใจผิด ข้าไม่ได้...”
“หุบปาก!”
คำพูดหวังอธิบายถูกกักเก็บคืนลำคอ ดวงตาสวยหลับแน่นหนีความ เดือดดาล กายหดลีบสั่นเกร็ง แม่ทัพมองอย่างสมเพช มันเป็นมนุษย์ประเภทไหนกัน ขนาดถูกส่งมาเป็นเชลยอังวะ ยังไม่ร้องอ้อนวอนขอไว้ชีวิตอีก คงจะคิดล่ะสิท่า ว่าพี่สาวส่งมาเป็นตัวแทนชายาเชลยศึก เขาจะไม่ทำกระไรมันแม้แต่ปลายก้อย
หากแต่มันคิดผิดถนัด มันเป็นคนเข้ามาขัดขวางความรักของเขากับ แม่หญิงดวงเดือน เป็นเสี้ยนหนามที่ทำให้เขาผิดหวัง ฉะนั้นแล้วมีกระไรให้ต้องถนอมน้ำใจกันอีก
ถ้าไม่ใช่ดวงเดือนแม่หญิงยอดดวงใจของเขา ไอ้อีหน้าไหนเขาก็ไม่ต้องการทั้งนั้น
คิดได้เช่นนั้น เลือดร้อนแห่งความอัปยศอดสูก็นำพาให้ร่างสูงใหญ่กลับเข้ากระโจมไปคว้าดาบติดมือออกมา ดวงหน้ามีตำหนิแข็งกระด้างราวกับรูปปั้น สายตาแข็งกร้าวสบประสาน ก่อนจะผลักร่างบางล้มหงายหลังลงตรงนั้น
“ใครไม่เกี่ยวออกไปจากตรงนี้ให้หมด!”
ท่านแม่ทัพใหญ่เอ่ยปากเป็นภาษาพม่า หลังจากนั้นทั้งทหารทั้งเชลยต่างพากันกุลีกุจอหลบให้พ้นจากรัศมีสายตาอันน่าเกรงขาม
“ท่านจักทำกระไรรึ?” เสียงของคนถามผะแผ่ว แววตาสั่นไหวทอดมองมาอย่างผิดหวัง
ทั้งที่เคยคุยกันนับครั้งได้ แต่มันกลับแสดงออกมาว่ารู้จักเขาดีเสียเหลือเกิน
“เชลยที่ไม่ต้องการ ข้าจักกำจัดให้สิ้นซาก” เขากำดาบคู่กายแน่น ชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างแน่วแน่
แม้เพลานี้จะมืดสลัว มีเพียงแสงจากคบเพลิงปักวางจุดเป็นระยะ แต่ก็สว่างพอที่จะทำให้แม่ทัพหนุ่มทันได้เห็นน้ำตากระแสหนึ่งที่หลั่งรินบนใบหน้าสวย น้องชายต่างแม่ขี้อิจฉาจนอ้อนวอนขอมาเป็นเชลยแทนพี่สาวนิ่งเงียบมองเขาชั่วครู่ เหมือนต้องการรำลึกและจดจำภาพของเขาเป็นวินาทีสุดท้าย ก่อนหลับตาไล่หยาดน้ำ แล้วลืมขึ้นพร้อมส่งยิ้มจางให้เขาที่ยืนเต็มความสูง
“ข้าขออโหสิกรรมให้ ชาติหน้าฉันท์ใดจักได้ไม่ต้องมีเวรกรรมต่อกันอีก”
“โอหัง! เชลยอย่างเจ้าขออโหสิกรรม ละเว้นให้แม่ทัพอังวะอย่างข้าเช่นนั้นรึ?” ในอกแม่ทัพตูระร้อนฉ่า หมดความอดกลั้น ดวงตาโชนแสงแห่งความชิงชัง มุมปากเหยียดหยันบ่งบอกให้รู้ว่าสุดแสงรังเกียจ
วินาทีนั้นสะอิดสะเอียนเคียดแค้นจนทนไม่ไหว มือแกร่งเงื้อดาบขึ้นเหนือหัว เตรียมตวัดลงบนร่างบางที่ไม่มีทางสู้
ทว่าความคิดวูบหนึ่งทำให้เขาหยุดชะงัก ไม่ได้ปลิดชีพอีกฝ่ายดังที่ตั้งใจ กลับใช้สันดาบคมเชยคางอีกฝ่ายขึ้น ก่อนกายสูงใหญ่จะก้าวเข้าไปประชิดตัว ผู้ต้อยต่ำกว่า
“คิดว่าตายไปแล้วจะจบกระนั้นรึ? หึ...ให้เจ้าทรมานด้วยการเห็นข้ารัก แม่หญิงดวงเดือน มันคงจะเจ็บกระอักยิ่งกว่าเป็นพันเท่า”
นัยน์ตาคนฟังวูบไหว ก่อนเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา
“ไม่อยากให้ท่านไปพบพี่เดือนอีก”
“ทำไม?”
พอถูกถาม อีกฝ่ายกลับหลบตา เบือนหน้าหนีเหมือนกับมีอะไรบางอย่างที่บอกไม่ได้ แต่แม่ทัพหนุ่มกลับเข้าใจไปว่าอีกฝ่ายมีใจให้จนไม่อยากให้ตนไปพบกับพี่สาวของมันอีก การกระทำนี้ยิ่งทำให้แม่ทัพหนุ่มนึกลำพองผยองตัว
ยิ่งมันหลงรักเขามากเท่าไหร่ พอได้เห็นเขากับแม่หญิงดวงเดือนอยู่ด้วยกัน มันก็คงจะยิ่งเจ็บปวดทรมานเจียนตายเป็นแน่แท้
“คิดว่าส่งชายาเชลยผิดเพศมาเป็นตัวแทน ข้าจะพอใจงั้นรึ? ให้รู้ไว้ว่าข้าไม่ฆ่าเจ้าก็บุญหัวเจ้าเท่าใดแล้ว อีกเจ็ดวันกว่าอังวะจะบุกเข้าตีอโยธยา ตอนนี้ข้าคงมีเพลาไปเยี่ยมหาแม่หญิงดวงเดือนยอดดวงใจ”
“พี่ยอด อย่าไปเลย”
คนถูกหยั่งเชิงรีบตวัดหน้าหันมาพูดด้วยอีกครั้ง คราวนี้มันเรียกชื่อแฝงตอนที่เขาลอบเข้าไปสอดแนมใกล้เรือนเจ้าพระยาฯ นั่นทำให้รู้เลยว่ามันคงหลงรักเขาตั้งแต่นั้นมา
“หวงพี่สาว หรือหวงข้ากันแน่”
“...”
“สะอิดสะเอียน อยากจะสำรอก จำใส่หัวเอาไว้ว่าไอ้ตัวผิดเพศเช่นเจ้า ไม่มีวันได้หัวใจข้า ไม่ว่าชาตินี้ หรือชาติไหน”
“เจ็บหรือไม่ บาดแผลบนใบหน้าท่าน”
ไอ้เด็กหนุ่มจองหองมันไม่คิดฟังเขาสักนิด ซ้ำยังเปิดประเด็นใหม่ เอื้อมมือมาประคองข้างแก้ม ใช้นิ้วโป้งไล้บาดแผลรอยบากที่ทำให้ใบหน้าอันหล่อเหลากลายเป็นอัปลักษณ์น่ารังเกียจ
สัมผัสแผ่วเบานุ่มนวลจนแม่ทัพหนุ่มเผลอเคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะ หากเป็นเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่เขาจะตั้งสติ ปัดมือนั้นออกทันที
แววตาที่มองมาไม่มีท่าทีรังเกียจ ติดจะเวทนาจนเขารู้สึกอดสูเสียเอง
“อย่ามาแตะต้องตัวข้าอีก ไม่เช่นนั้นคงได้เห็นดีกัน”
นั่นคือเสียงสุดท้ายในภวังค์ ก่อนที่มันจะเลือนรางถอยห่างไปเรื่อย ๆ จากนั้นไม่นานสติก็ฟื้นคืนกลับมา ภาพสุดท้ายคือแววตาสังเวชลุ่มลึกดั่งอัญมณีเม็ดงามที่ค้างคาในก้นบึ้งของหัวใจ
ชายหนุ่มร่างสูงสะดุ้งตื่นท่ามกลางความมืดสลัว แผ่นอกกระเพื่อมไหวอย่างรุนแรง มือแกร่งลูบใบหน้าที่ชื้นไปด้วยเหงื่อ เมื่อจังหวะการหายใจเข้าที่ปกติดีแล้ว จึงผ่อนลมหายใจออกมาเพื่อคลายความตึงเครียด
ตั้งแต่จำความได้เขามักจะฝันถึงเรื่องราวซึ่งเกิดขึ้นในสมัยอดีตที่ย้อนกลับไปนานหลายร้อยปีอย่างนี้อยู่ตลอด โดยตัวเขานั้นเป็นแม่ทัพใหญ่จากพม่า ได้บุกเข้ามาแทรกแซง ใช้กลวิธีต่าง ๆ นานาเพื่อยึดครองแผ่นดินสยาม บางครั้งฝันถึงการรบราฆ่าฟันบนทุ่งหญ้า ที่ตื่นมาถึงกับเหนื่อยหอบ บางครั้งฝันว่ากำลังดื่มด่ำมื้ออาหารท่ามกลางหญิงสาวรูปร่างสะโอดสะอง บางครั้งเป็นฝันเพียงสั้น ๆ ที่เขาควบอาชามุ่งหน้าไปยังที่ใดที่หนึ่ง
มันเป็นความฝันอันยาวนานที่ไม่อาจปะติดปะต่อให้เป็นเรื่องเป็นราวได้ ตอนเด็กมันเลือนราง ตื่นมาก็แทบจำไม่ได้ จึงไม่ได้ขวนขวายจะใฝ่หาคำตอบ ทว่าพอโตขึ้น ฝันเหล่านี้ก็เริ่มตามมาหลอกหลอนเขาเกือบทุกค่ำคืน เสมือนกับว่า ทุกอย่างเคยเกิดขึ้นจริง จนอดไม่ได้ที่จะสงสัยใคร่รู้
เขาเคยเป็นแม่ทัพใหญ่จากพม่าจริงหรือ?
คืนนี้เขาฝันถึงเหตุการณ์เดียวกันมาหนึ่งสัปดาห์ติด เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังรุกล้ำดินแดนสยามและเข้าใกล้อโยธยาได้สำเร็จ แม่ทัพใหญ่จากอังวะหรือพม่า แทนที่จะพักผ่อนหลังกรำศึกหนัก หากกลับเฝ้ารอคอยหญิงผู้เป็นดั่งดวงใจอย่างใจจดใจจ่อ ตามที่ได้นัดหมายกันไว้ว่าเป็นค่ำคืนนี้
เธอเป็นชาวสยาม เป็นถึงบุตรีคนโตของเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ อัครมหาเสนาบดีฝ่ายพลเรือน ในสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์ แต่ถึงกระนั้นศัตรูต่างเชื้อชาติเช่นแม่ทัพตูระก็ไม่ได้รังเกียจรังงอนที่จะพาเธอกลับไปเป็นคู่ครองยังประเทศบ้านเกิด ด้วยเพราะหัวใจนั้นเต็มไปด้วยความรักอันเปี่ยมล้น
ทว่าเขากลับต้องผิดหวัง เมื่อมีมารมาผจญเป็นน้องชายต่างมารดาที่ชื่อนักรบ ในเนื้อหาจดหมายที่แม่หญิงดวงเดือนกล่าวไว้ว่าน้องชายของเธอรักเขา ซึ่งเธอไม่อาจช่วงชิงหรือทำให้น้องชายของตนเองต้องเสียใจ เธอจึงต้องเสียสละเขาให้แก่น้อง ให้น้องได้เป็นชายาเชลย แม้ว่าหัวใจของเธอจะต้องสลายก็ตาม
หัวใจยามได้รับรู้ความประเสริฐของคนเป็นพี่สาวนั้นเจ็บปวด นักรบอังวะที่ไม่เคยยอมพ่ายแพ้ให้ใคร ไม่เคยแม้แต่จะลงรักปักใจที่ใคร กลับต้องมาถูกไอ้ชายผิดเพศที่ไหนไม่รู้ทำลายความรู้สึก สร้างความเคืองแค้นในอกราวกับตกอยู่ในขุมนรกก็ไม่ปาน
ภาพฝันและความรู้สึกมีเพียงเท่านี้ เป็นเหมือนละครฉากหนึ่งที่ฉายให้เขาได้เห็น ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางไปมากกว่านี้ ไม่แน่ว่าฝันอีกหนึ่งคืนอาจเปลี่ยนเป็นเหตุการณ์ฉากใหม่ที่ทำให้เขาเข้าใจอะไรได้เยอะขึ้น
แต่ที่แน่ ๆ ภาพฝันเลือนรางทำให้เขาหงุดหงิด เพราะมันเป็นฝันที่ไม่สมหวัง เขาเกลียด...เกลียดไอ้คนที่มาทำลายฝันเขาให้กลายเป็นฝันร้าย
ไอ้คนผิดเพศ ไม่เจียมกะลาหัว ชาติหน้าฉันท์ใด ขอให้มันพบเจอแต่ความฉิบหายในชีวิต
“ฝันเหี้ยอะไรวะเนี่ย”
ชายหนุ่มสบถหลังพยายามข่มตาหลับลงอีกครั้ง แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจหลับลงได้อีก สุดท้ายจึงตัดสินใจลุกจากเตียงไปล้างหน้าล้างตา นาฬิกาบอกเวลาตีห้ากว่าแล้ว อีกไม่นานแสงอาทิตย์ก็คงมาเยือน
เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ออกมาจากห้องนอน เรือนไม้หลังใหญ่เวลานี้เงียบเชียบ อีกทั้งอากาศในตอนนี้ก็เย็นมาก ที่จริงกิจวัตรตอนเช้าตรู่ของเขาคือการออกไปจ็อกกิ้ง ทว่าวันนี้ไม่เป็นอย่างเช่นทุกวัน ในเมื่อมีเรื่องเครียดเรื่องหนึ่งให้ต้องสะสาง
“ปราชญ์”
“คุณกาล”
กาลเวลาเอ่ยทักผู้ซึ่งเป็นมือขวา อีกฐานะหนึ่งคือเพื่อนสนิทที่วิ่งเล่นด้วยกันมาตั้งแต่จำความได้ ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เหตุใดปราชญ์ถึงมายืนอยู่หน้าประตูห้องน้องสาวของเขากัน
“ตอนตีสาม แม่บ้านไปบอกผมว่าคุณอลิศาปวดท้อง ให้เตรียมเอารถพาไปโรงพยาบาล แต่พอมาถึงอาการก็ทุเลาลง แล้วเธอก็หลับไป”
และดูเหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจในสายตาเขา ถึงได้อธิบายให้ฟังทันที
“แล้วนายก็ยืนเฝ้าน้องฉันที่หน้าห้องจนเกือบเช้า?”
ปราชญ์ไม่ตอบหากแต่หลุบตามองพื้น ศีรษะก้มต่ำอย่างนอบน้อมตามประสาคนพูดน้อย กาลเวลาไม่คิดถามหาเอาความใดอีก ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องของน้องสาวเพื่อทักทายและดูอาการเธออย่างที่ทำทุกเช้า ไม่นานก็ออกมา เจอปราชญ์ที่ยังคงยืนรออยู่ที่เดิม
“ทำไมแม่บ้านไม่ไปเรียกฉัน แต่กลับไปเรียกนายแทน ห้องฉันอยู่แค่นี้ ห้องนายอยู่ตั้งชั้นล่าง”
กาลเวลากระเซ้าแต่แสร้งทำสีหน้าจริงจัง เบื้องลึกรู้อยู่เต็มอกว่าคนสนิทของเขามันมีความรู้สึกเช่นไรกับน้องสาว หากแต่อีกฝ่ายนั้นปากหนัก ใจแข็งเสีย ยิ่งกว่าหินผา ตั้งแต่เราสามคนวิ่งเล่นด้วยกันมา ปราชญ์แสดงออกว่ารู้สึกเช่นไรกับน้องสาวเขาแทบจะนับครั้งได้
“แม่บ้านบอกว่าเคาะเท่าไหร่ คุณกาลก็ไม่เปิด สงสัยคงจะหลับลึก เพราะเหนื่อยมาหลายวัน”
คำอธิบายนั้นพอเข้าใจได้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาหลับลึกไม่ใช่เพราะเหนื่อยจากการทำงานและติดตามคดีของน้องสาว หากแต่เป็นความฝันที่เริ่มชัดเจนขึ้นทุกคืนวันต่างหาก
“แล้วเรื่องอลิศล่ะ?” เขาหันมาถามถึงเรื่องที่ทำให้ต้องวุ่นตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งหากเป็นไปตามแผนที่วางไว้ วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เขาจะได้สะสางล้างแค้นให้แก่น้องสาวของเขา
“รู้ที่อยู่ของมันแล้ว ผมกำลังจะออกไปเอาตัวมันมา”
“ดี กำจัดไอ้พวกชั่วนี้ได้หมด ฉันจะได้ไปบอกอลิศ ว่าต่อจากนี้เธอจะได้ ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงอีกต่อไป” แววตาของเขาเต็มไปด้วยความคั่งแค้น ราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องของตัวเอง
จากนี้ไปอลิศาจะได้หลุดพ้นจากบ่วงกรรมแห่งความเจ็บปวดนี้เสียที