ครืนน...
ท้องฟ้าคำรามสะเทือนเลือนลั่น พร้อมทั้งลมฝนที่ตั้งเค้าเข้ามาใกล้ ทุกขณะ เป็นสัญญาณว่าอีกไม่นานจะเกิดพายุคลั่ง และแล้วรถยนต์ขนาดเจ็ดที่นั่งก็ปราดเข้ามาจอดเทียบยังที่หมาย ก่อนเจ้าของนัยน์ตาสีเทาจะเปิดประตูออกมา ด้วยสีหน้าถมึงทึงน่ากลัวไม่ต่างกับบรรยากาศขมุกขมัวในตอนนี้
“คุณกาลพาใครมาคะนั่น ตายจริง! ดิฉันคงไม่ได้ยินตอนคุณสั่ง...ขอเวลาเตรียมห้องสักครู่นะคะ”
หญิงสาววัยใกล้สี่สิบในชุดผู้จัดการบ้านกุลีกุจอวิ่งเข้ามาขนาบข้างเจ้านายหนุ่ม หลังเห็นว่าเขาอุ้มร่างใครคนหนึ่งออกมาจากรถ ลึก ๆ แปลกใจไม่น้อยที่จู่ ๆ เขาก็พาคู่นอนกลับมาด้วย เพราะนานมาแล้วที่ชายหนุ่มพราวเสน่ห์ซึ่งมักจะพาหญิงสาวเข้าออกคุ้มรามางกูรเป็นว่าเล่น ไม่ได้พาคู่นอนมาที่นี่อีก ตั้งแต่เกิดเรื่องของคุณอลิศาน้องสาวของเขา เพราะอย่างนั้นเธอจึงไม่ได้ทำความสะอาดห้องรับแขกที่ร้างลาการดูแลให้แก่เขา แล้วก็มั่นใจด้วยว่าก่อนออกไปทำธุระ เจ้านายของเธอไม่ได้สั่งเอาไว้จริง ๆ
แต่ที่น่าแปลกใจไปกว่านั้น คือคู่นอนที่เขาพามา กลับเป็นผู้ชายร่างบางแทนที่จะเป็นหญิงสาวรูปร่างสะโอดสะองเหมือนอย่างที่ผ่านมา
“ไม่ต้อง”
กาลเวลาเอ่ยรั้งเมื่อเห็นว่าผู้จัดการบ้านลนลานจะไปจัดเตรียมห้องให้อย่างเคย เพราะเขาไม่ได้จะพาร่างในวงแขนเข้าไปเหยียบย่ำภายในบ้านให้เป็นเสนียดตั้งแต่แรก ทำเพียงเดินมุ่งไปทางหลังคุ้มที่ซึ่งเป็นสถานที่อันตรายซึ่งไม่ค่อยมีใครกล้ามา แต่สำหรับเขาที่แห่งนี้คือที่พักผ่อนหย่อนใจชั้นดี ยิ่งมีเหยื่ออันโอชะตัวกรุ่นกลิ่นหอมเฉพาะเย้ายวนในวันนี้ คงทำให้เขาและเพื่อนซี้ต่างสายพันธุ์บันเทิงเริงใจไม่น้อยเลยทีเดียว
หลังจากทนอุ้มร่างจำเลยต่ำช้าลัดเลาะมาถึง ชายหนุ่มก็กระตุกมุมปากขึ้น พลางมองบ่อคอนกรีตยกสูงระดับเอวสลับดวงหน้าซีดเผือดในวงแขนด้วยความพึงพอใจ
ชายหนุ่มก้าวขาขึ้นไปยืนอยู่บนแท่นที่ยกระดับจากพื้นดินขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนชะโงกหน้ามองหาเพื่อนซี้ที่เขาไม่ได้มาเยี่ยมเยียนเป็นเวลาหลายสัปดาห์โดยอาศัยแสงสว่างจากสปอตไลต์ และแล้วตรงกลางบ่อเขาก็ได้พบ...
จระเข้หนุ่มกลัดมันตัวใหญ่ยักษ์
“อยากรู้ ว่าจะดวงแข็งไปได้สักแค่ไหน ว่าไงอามันต์ หวังว่านายจะถูกใจของขวัญที่ฉันมอบให้นะ”
ชายหนุ่มพูดกับอสุรกายดุร้ายที่ถือสถานะเป็นสัตว์เลี้ยงของเขา มันเป็นของขวัญมีชีวิตสิ่งสุดท้ายที่บิดามอบให้ในวันเกิดครบรอบสิบห้าปี
“อามันต์เป็นสัตว์ดุร้ายที่สุขุม เยือกเย็น มันจะไม่ทำร้ายใครก่อนถ้าไม่จำเป็น แต่ถ้าจำเป็นล่ะก็ เหยื่อไม่มีเหลือแม้แต่เงา เป็นผู้ทรงศีลรักสงบในคราบปิศาจอัปลักษณ์”
กาลเวลาจำคำพูดสุดท้ายของบิดาได้ไม่เคยลืม ในตอนที่พาจระเข้ตัวเล็กเท่าแขนมาที่คุ้มเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน ตอนนั้นเขากลัวที่จะอุ้มเพราะหน้าตาและผิวหนังอันน่าขยะแขยงของมัน ในขณะที่คนเป็นพ่อสอนให้เผชิญหน้าด้วยเสียงหัวเราะที่ผ่อนคลาย
ยิ่งเขาแสดงออกว่ากลัว นายฝรั่งลูกครึ่งอเมริกัน – ไทยนามว่าไซม่อน รามางกูร เกรย์ก็ยิ่งชอบใจ ยิ่งยัดเยียดสัตว์ป่าคุ้มครองที่ได้มาแบบผิดกฎหมายตัวนั้นใส่มือเขา
“Don’t be afraid, son. One day you’ll become one of a heartless monster either.”
“What do you mean?”
“ธุรกิจของรามางกูร เกรย์ ต้องสุขุมแต่ก็น่ากลัวในคราวเดียวกัน แม้ว่าเราจะไม่เอาเปรียบใครก่อน แต่ก็อย่าอยู่เฉยถ้าถูกเอาเปรียบ และที่สำคัญ อย่าให้ใจใครง่าย ๆ เด็ดขาด”
ตอนนั้นเขาเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นอายุเพียง15 ที่ผ่านโลกน้อยเกินกว่าจะเข้าใจว่านั่นคือคำสอนแฝงกลยุทธ์ของนักธุรกิจใหญ่ จนกระทั่งบิดาได้จากไป ด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน ปิดตำนานนายฝรั่งค้าอัญมณีที่มีชื่อทั้งในและนอกประเทศ เขาที่เติบโตมาพร้อม ๆ กับอามันต์ ก็ได้เรียนรู้ความสุขุม ได้เรียนรู้ความดุร้าย ได้เห็นมุมมองทุกอย่างในตัวมัน เติบโตมาพร้อมกัน เหมือนที่เติบโตมาพร้อมกับปราชญ์
จวบจนกระทั่งอายุสามสิบสองในตอนนี้ เขานั้นบรรลุ รู้แจ้งเห็นจริงของคำสอนทั้งหมดนั่นแล้ว และด้วยมีบิดาเป็นแบบอย่างนี้เอง จึงทำให้เขายึดมั่นถือมั่นคำสอนนั้นตลอดมา จากเด็กชายกาลเวลาผู้ไร้เดียงสา อ่อนโยน และเข้าถึงง่าย กลายมาเป็นมิสเตอร์หรือนายท่านกาลเวลาที่ดุดัน เข้าถึงยาก ผู้ซึ่งประสบความสำเร็จในธุรกิจอัญมณี ติดระดับท็อปเท็นของเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ในวัยเพียงเท่านี้แล้ว
เสียงจ๋อมแจ๋มแหวกผิวน้ำดังแว่ว ดึงสติชายหนุ่มให้หวนกลับมาจากความทรงจำ
“ไง” กาลเวลาทักทายราวกับมันเป็นเพื่อนคนหนึ่ง
อสุรกายยักษ์ในวัยเจริญพันธุ์ที่ก่อนหน้านี้กำลังแช่น้ำคลายร้อนตรงกลางบ่อ พอเห็นการมาของเจ้านายหนุ่ม มันจึงแหวกว่ายเข้ามาใกล้ เมื่อถึงบริเวณฝั่งพื้นคอนกรีต มันหยุดฝีเท้าแล้วสบตาผู้มาเยือน
“คงหิวล่ะสิท่า ฉันเอาอาหารมาให้ แต่คงไม่ทำให้นายอิ่มหรอกนะ คงมีแต่กระดูกให้แทะเล็ม”
เสียงเข้มเหี้ยมเกรียมกับนัยน์ตาสีเทาน่ากลัวเสียยิ่งกว่าสัตว์ร้าย ปลุกภวังค์คนสลบไสลในอ้อมแขน นิรันดรที่หมดสติไปหลายนาที ฟื้นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง คงเกิดจากการที่ไม่ได้พักผ่อนดี ๆ ติดต่อกันมา หลายวัน เพราะต้องโหมงานหนักและต้องแบ่งเวลาอ่านหนังสือ แต่เมื่อสติครบถ้วน กลับพบว่าตนเองนั้นกำลังตกอยู่ในวงแขนแกร่งของชายใจอำมหิตคนนั้น
นี่เขายังไม่ตายอีกเหรอ?
มือบางรีบตะครุบจับหน้าผาก เมื่อพบว่ากระสุนยังไม่เจาะกะโหลก จึงรีบคลำหาบาดแผลไปทั่วร่าง แรงขยุกขยิกทำให้คนอุ้มตวัดสายตากลับมามองทันที
“กลัวจนเป็นลมเลยหรือไง” กาลเวลาทักทายด้วยน้ำเสียงกดต่ำ สบมองดวงหน้าตื่นตระหนกในวงแขน รังสีอำมหิตล้นทะลักแผ่ออกมาผ่านสีหน้าดุร้าย
กลัวสิ ปืนจ่อหัวขนาดนั้น ใครไม่กลัวก็บ้าแล้ว!
นิรันดรเบือนสายตาเข้าหาอกกว้าง หลบการจดจ้องพลางตอบโต้ในใจ ไม่กล้าเอ่ยออกไปเพราะรู้ดีว่าจะเป็นการยั่วโมโหอีกฝ่ายเสียเปล่า ๆ เจอเสียงไกปืนลั่นในระยะประชิดมาแล้ว นั่นแปลว่าคน ๆ นี้ไม่ได้คิดเล่นแน่ ขืนทำให้เขาโกรธเพิ่มขึ้นอีกนิดเดียว อาจจะไม่โชคดีรอดชีวิตเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว
“รับรู้หรือยัง ว่าการทำให้คน ๆ หนึ่งกลัวสุดขีดมันเป็นยังไง?”
เด็กหนุ่มเม้มปากแน่นยามที่อีกฝ่ายยื่นหน้าลงมาข่มขู่ ใกล้เสียจนได้รับ ไอร้อนของลมหายใจ มือบางรีบทาบกันไว้บนอกแกร่งด้วยความกลัว แต่ก็ไม่สามารถต้านทานอะไรได้เลย ในเมื่อสุดท้ายแล้วชายหนุ่มก็ยังเข้าถึงตัวจนแทบจะสิงร่างกันอยู่แล้ว
“เป็นใบ้ไปแล้วหรือไง ถามอะไรก็ไม่ตอบ”
“ผม...รู้แล้ว ผมอยากกลับบ้าน คุณปล่อยผมไปเถอะนะ สัญญา...ว่าไม่ทำอะไรแบบนี้อีก” นิรันดรเอ่ยเสียงเบา เลือนสายตามาสบ
“แน่ใจนะ?”
น้ำเสียงชายหนุ่มเหมือนหยั่งเชิง มีแววลังเลที่ทำให้นิรันดรคิดว่าอาจจะรอด เขาจึงพยักหน้ารัวเร็ว แต่แทนที่จะถูกปล่อยในทันที กลับได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสะใจแทน
“ปล่อยก็ได้”
“จริงเหรอ!”
รอยยิ้มเยือกเย็นปรากฏบนใบหน้า ไม่นานเขาก็ทำอย่างที่พูด แต่เปลี่ยนกริยาจากคำว่าปล่อย เป็นการกระทำหนักกว่าอย่างคำว่าทิ้งขว้าง วงแขนแกร่งอุ้มร่างน้ำหนักเบายื่นออกไปตรงหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน เสี้ยววินาทีนั้นชายหนุ่มที่สูงเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรคิดในใจ ว่าอีกฝ่ายบางเบาขนาดที่เขาอุ้มเดินรอบคุ้มก็คงยังไม่เหนื่อย จะกระทำการรังแกไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็คงแหลกคามือได้ไม่ยาก แต่น่าแปลกที่อาวุธร้ายอย่างปืน กลับไม่อาจทำอะไรอีกฝ่ายได้ ราวกับบุคคลผู้นี้มีพลังวิเศษเสียอย่างนั้น แต่ไม่เป็นไร...เพราะตอนนี้เขามีตัวช่วยอื่น และหวังว่าเพื่อนซี้ตั้งแต่เด็กจะไม่ทำให้เขาผิดหวังอีก
จากนั้นเขาก็ทิ้งเด็กหนุ่มลงบ่อจระเข้อย่างไม่ไยดี สัญชาตญาณของมนุษย์ทำให้นิรันดรรีบเอาสองมือค้ำยันก่อนถึงพื้น เสี้ยววินาที่ร่างหล่นกระแทกพื้นคอนกรีตซึ่งเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำสีเขียว ความจุกเจ็บพลันเล่นงานไปทั่วสรรพางค์กาย ก่อนจะลื่นไถลตกลงน้ำขังสีขุ่น ไม่ใกล้ไม่ไกลกับจระเข้ตัวยักษ์
เพียงครู่เดียวที่ผุดขึ้นมาจากน้ำที่สูงระดับเอว นิรันดรก็ต้องตกตะลึงตัวแข็งทื่อ เมื่อพบว่ากำลังประจันหน้ากับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำตัวใหญ่โต มันยืนอยู่บนพื้นคอนกรีตแนวระนาบ ใกล้กับเนินพื้นหลังเต่าเต็มไปด้วยตะไคร่ตำแหน่งที่เขาเพิ่งถูกโยนลงมา เพราะมีสิ่งแปลกปลอมดิ้นได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว มันจึงเอี้ยวตัวหันมาสบตาเขา ท่าทีนิ่งสงบแต่ก็ดูเหมือนพร้อมจะจู่โจมหากเขาเป็นตัวอันตราย
นิรันดรนิ่งงัน ตวัดสายตามองชายร่างสูงเหนือบ่ออย่างหวาดหวั่น ใบหน้าคมคายเต็มไปด้วยความดุร้าย มุมปากยกเชิดแสดงให้เห็นว่ากำลังสาแก่ใจต่อสิ่งที่เห็นตรงหน้า
“เพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าสัตว์เลี้ยงของฉันยังไม่มีของว่างกินเล่น ยังไงก็ทำบุญทำทานให้มันก็แล้วกันนะ อาจจะทรมานกว่าถูกยิงหน่อย แต่อามันต์คงทึ้งร่างมึงได้ ไม่นานหรอก ผอมแห้งแรงน้อยเสียขนาดนี้ สะบัดครั้งเดียว แขนขาก็คงหลุดออกจากร่างหมดแล้ว จัดการเลยสิอามันต์”
นัยน์ตาสีเทาวาววับทันที เมื่อจระเข้หนุ่มย่างกรายเข้าไปหาเป้าหมายตามคำสั่ง กอดอกรอดูมันสังหารด้วยท่าทีสบาย ๆ
เห็นอย่างนั้น คนตกอยู่ในอันตรายก็ยิ่งใจเสีย พึงระลึกได้อีกครั้งว่า ชายหนุ่มนั้นใจยักษ์ใจมารเกินเยียวยาจริง ๆ หนทางเดียวที่จะรอด คงมีเพียงตัวเขาที่ต้องดิ้นรน
เขาเหลียวมองไปรอบบริเวณ ที่แห่งนี้คือบ่อเลี้ยงจระเข้ไม่ผิดแน่ ขนาดของพื้นที่กว้างขวาง มีกำแพงตั้งสูงตลอดแนวบ่อชนิดที่ว่าความสูงผู้ชายคนหนึ่งเอื้อมไม่พ้น รอบบ่อติดขอบกำแพงเป็นพื้นคอนกรีตทั้งราบทั้งชันสลับกันไป ส่วนชันมีตะไคร่น้ำลื่น ๆ เกาะ เหมือนสร้างไว้เพื่อไม่ให้สัตว์ปีนหนี ตรงกลางบ่อตามแนวขวางที่ซึ่งเขากำลังยืนอยู่เป็นแอ่งน้ำ ลึกประมาณเมตรครึ่ง พ้นบ่อไปด้านหนึ่ง เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่นคล้ายกับสวน
พอประเมินมองคร่าว ๆ แล้ว ก็ได้แต่ตัวแข็งทื่อ เพราะมันไม่มีจุดไหนที่พอจะปีนหนีได้เลย ยกเว้นประตูกรงเหล็กเล็ก ๆ ที่เหมือนมีไว้สำหรับคนเข้ามาให้อาหาร ซึ่งตอนนี้เบื้องหน้าก็คือเจ้าจระเข้ตัวนั้น มันจ้องมองเขาอย่างยากจะคาดเดาอารมณ์ได้ ขนาดของมันใหญ่โต คงพอที่จะกลืนกินเขาได้ทั้งตัวในคราวเดียว
“ไม่กลัวกฎแห่งกรรม อย่างน้อยคุณก็ควรมีความเป็นมนุษย์บ้าง!”
เมื่อไม่มีอะไรจะต้องเสีย นิรันดรจึงหันไปโต้ตอบให้ชายหนุ่มได้รู้สำนึก มนุษย์เราเกิดมามีสิทธิเท่าเทียมกัน ถึงแม้จะต่างฐานะ ก็ไม่ใช่ว่าจะทำอย่างไรกับคนไม่มีทางสู้ก็ได้ ถึงเขาจะมาในสถานะผู้กระทำผิดแทนน้องชาย แต่ก็ใช่ว่าจะต้องมาถูกโยนเป็นอาหารให้สัตว์ร้ายขย้ำกิน ต่อหน้าต่อตาเพื่อความสะใจและความเพลิดเพลินอย่างนี้ ผิดก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมายบ้านเมืองสิถึงจะถูกต้อง
“เคยทำอะไรไว้กับคนอื่น ยังถามหาความเป็นมนุษย์จากคนอื่นอีกเหรอ หึ...แล้วก็ไม่ต้องห่วงกฎแห่งกรรมของกู ห่วงกฎแห่งกรรมของมึงจะดีกว่า เพราะวันนี้มันกลับมาสนองมึงแล้ว ดูซิ ว่าจะดวงแข็งได้สักกี่น้ำ” ชายหนุ่มเหยียดหยัน ไม่สะทกสะท้านกับคำทัดทานเลยสักนิด จิตใจของเขาตอนนี้คุ้มคลั่งเกินกว่าจะให้อภัย และอยากให้จำเลยคนสุดท้ายตายตกนรกลงไปสักที
“คุณมันคนไร้หัวใจ สักวันคุณจะต้องเสียใจกับสิ่งที่คุณได้ทำลงไป”
เมื่อเห็นท่าทีไม่ยี่หระ นิรันดรก็เมินหลบสายตาออกมาเสีย ในเมื่ออีกฝ่ายจิตใจหยาบหนาเกินเยียวยา ก็ไม่จำเป็นจะต้องต่อล้อต่อเถียงกันอีก สู้หันมาหาทางหนีจากสัตว์ร่างยักษ์ตรงหน้าเสียยังดีกว่า คิดได้ดังนั้นก็หันมาเอาสายตาจดจ่อสบสู้กับนัยน์ตาจระเข้หนุ่มอีกครั้ง
อย่าทำร้ายกันเลย ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวน ต่างคนต่างอยู่เถอะนะ
นิรันดรภาวนาอยู่ในใจ โดยหวังลึก ๆ ว่ามันจะส่งไปถึงสัตว์เลื้อยคลานตรงหน้า
และแล้วเรื่องน่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้นอีกครั้ง...
สิ้นประโยคนั้นในใจ อามันต์ที่เห็นร่างบางของมนุษย์แช่อยู่ในน้ำ นิ่งงันเหมือนหยั่งเชิงชั่วครู่ ชั่วขณะนั้นสัตว์เลือดเย็นรับรู้ได้ถึงรังสีบางอย่างแผ่ออกมาจากตัวเขา เป็นรังสีแห่งความเงียบสงบราวกับต้องการให้มันรับรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดร้ายต่อกัน ร่างกระจ้อยร่อยหรือก็ดูบอบบาง แตกต่างกับเจ้านายที่เลี้ยงดูมันมาเป็นอย่างมาก หากคนที่แช่อยู่ในน้ำคือกาลเวลา อามันต์ก็คงคิดเข้าไปใกล้ แล้วหยอกล้อด้วยพละกำลังที่มี เจ้านายหนุ่มก็คงกอดรัดฟัดเหวี่ยงมันได้ไม่ยากนักเช่นเดียวกัน
รับรู้และรู้สึกได้เช่นนั้น มันก็เอี้ยวตัวหันหลังให้ แล้วเดินอุ้ยอ้ายเชื่องช้าไปพักอยู่มุมตรงกันข้ามอย่างสงบ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความงุนงงให้แก่กาลเวลาเป็นอย่างมาก คิ้วเข้มขมวดมุ่นขึ้นทันที
“อามันต์!”
ชายหนุ่มสบถเรียกอย่างเอาแต่ใจ หลุดมาดนักธุรกิจวัยสามสิบสอง นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น ทำไมทั้งปืน ทั้งจระเข้ถึงทำอะไรมันไม่ได้เลย!