“ตอนนี้ผมพอจะน่าสนใจในสายตาคุณขึ้นมาบ้างรึยัง” ชายหนุ่มผละจากความหอมหวานแล้วเงยหน้าขึ้นมาถาม แต่ก็ไม่ได้รอฟังคำตอบ ก้มลงไปดูดเม้มเล็มเลียริมฝีปากอวบอิ่มอย่างย่ามใจอีกครั้ง แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เธอไม่ได้ต่อต้าน ก็ไม่รู้ว่ายังจับต้นชนปลายไม่ถูก หรือจริงๆ แล้วลึกๆ เธอเองก็ต้องการ
“อืม...” เสียงหวานที่ครางแผ่วๆ ดูเหมือนจะแทนคำตอบได้เป็นอย่างดี กระทั่งริมฝีปากหยักค่อยๆ ผละจากริมฝีปากอวบอิ่ม แล้วเลื่อนลงมาจูบสัมผัสตั้งแต่ลำคอระหง ผ่านแอ่งชีพจร เรื่อยมาจนถึงปมผ้าขนหนูที่เธอนุ่งอยู่
“อื้อ...” หญิงสาวแอ่นอกพลางครางสะท้าน ทันทีที่ถูกขบเม้มเบาๆ บนเนินเนื้อเหนือปมผ้าเช็ดตัว ก่อนจะยิ่งสะท้านมากขึ้นเมื่อริมฝีปากหยักเลื่อนลงมางาบงับปมผ้าผืนนั้น กระทั่งมันหลุดร่นเปิดเปลือยอกอวบให้ดีดเด้งท้าทายสายตา และเขาก็ไม่รอช้าที่จะสัมผัสมัน
“อ๊ะ” หญิงสาวครางพลางทำหน้าเหยเก เมื่ออีกฝ่ายมิได้แค่สัมผัสกระหวัดเลีย แต่ยังอ้าปากงาบงับสลับดูดเม้มเป็นเสียงจ๊วบจ๊าบแข่งกับเสียงร้องครวญครางที่ดังกระชั้นขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต่างจากไฟปรารถนาของพวกเขาที่กำลังโหมกระพือมากขึ้นทุกทีๆ ก็ได้แต่หวังว่าเธอจะไม่มอดไหม้เพราะไฟสวาทของเขาไปเสียก่อน
เช้าวันต่อมา
“ให้ตายสิ! ทำไมชอบหนีจังวะ” นทีขยี้หัวตัวเองแรงๆ หลังตื่นมาแล้วพบว่าหญิงสาวที่เคยนอนอยู่ข้างๆ หายไป อีกครั้งที่เขาถูกทิ้งให้นอนอยู่ตามลำพัง แต่ที่ต่างออกไปคือครั้งนี้เขารู้แล้วว่าจะหาเธอเจอได้ยังไง
“หึ! คิดเหรอว่าจะหนีพ้น...เจติยา” เขาหยักยิ้มมุมปากอย่างหมายมาด แค่คิดว่าจะหาเธอเจอได้ยังไง เขาก็แทบอดทนรอไม่ไหว จนต้องรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นแล้วพิมพ์สั่งการออกไป
“แล้วเจอกันนะครับ...คนสวยของผม” คนที่ถูกทิ้งซ้ำๆ แต่กลับยังยิ้มร่า เห็นทีคราวนี้คนที่ยิ้มไม่ออกคงเป็นเธอแล้วกระมัง
หลังจากหลบออกมาจากห้องของเขาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เธอก็รีบกลับห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมารอเพื่อนที่บริษัทตั้งแต่เช้าด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าเพื่อนจะเจอเรื่องไม่ดีเหมือนกับตน
“ยัยตัวแสบ เมื่อคืนแกหายไปไหนมา จู่ๆ ก็หายไป ทำฉันเป็นห่วงแทบตาย แกทำฉันใจไม่ดี ฉันนึกว่าแกถูกใครจับไปทำมิดีมิร้ายเสียแล้ว จะแจ้งความก็ไม่ได้ จะบอกใครก็ไม่กล้า แล้วโทรศัพท์เนี่ยมีไว้ทำไมหา จะโทรบอกกันสักคำก็ไม่มี” ทันทีที่เห็นพริบพราวเพื่อนสนิทเดินเข้ามาในแผนก คนที่นั่งรอการมาของเพื่อนอย่างใจจดใจจ่อถึงกับโผเข้าไปหาด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งดีใจ กังวลใจ โกรธ โมโห แล้วก็โล่งใจไปพร้อมกัน
“ฉันจะโทรบอกแกได้ยังไง ในเมื่อฉันยังไม่รู้เลยว่าตัวเองออกไปจากที่นั่นได้ยังไง ที่สำคัญทั้งกระเป๋าทั้งโทรศัพท์ก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหนเนี่ย” สิ่งที่พริบพราวบอกทำเธอตาโตด้วยความตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น” เจติยาใจคอไม่ดีจึงลากเพื่อนออกมาคุยที่มุมหนึ่ง ด้วยไม่อยากให้คนอื่นมาล่วงรู้
“ฉันไม่รู้ รู้ตัวอีกทีอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้” คำตอบของเพื่อนทำเธอสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ตื่นตูมจนเกินไป
“พราว แกลองตั้งสติแล้วนึกดูดีๆ ซิ เผื่อจะจำอะไรได้บ้าง”
“เท่าที่จำได้ตอนนั้น…ฉันรู้สึกมึนๆ ก็เลยเดินไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำ แต่…ฉันดันเข้าไปห้องห้องนึง เจอผู้หญิงกับผู้ชาย…เออใช่! ฉันเห็นพวกนั้นกำลังจะทำอย่างว่ากัน แล้วหลังจากนั้นก็…มันก็รางๆ ฉันจำไม่ได้อะแก” พริบพราวพยายามทบทวนความทรงจำตอนนั้นให้เพื่อนฟัง
“มันจะเป็นไปได้ยังไงที่แกจะเมาจนจำอะไรไม่ได้ ในเมื่อแกกินไปแค่แก้วเดียว เท่าที่จำได้แกก็ไม่ได้คออ่อนขนาดนั้นนะ หรือว่า…” เหตุการณ์ของเพื่อนที่เหมือนกันทำให้เธอคิดเป็นอื่นไม่ได้
“หรือว่าอะไร” พริบพราวถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจ
“หรือว่าแกโดนวางยา ลองคิดดูนะ แกกินไปแค่แก้วเดียว ไม่มีทางที่จะเมาจนจำอะไรไม่ได้ นอกซะจากว่าแกโดนวางยา ฉันเคยได้ยินว่ายาปลุกเซ็กซ์บางตัวถ้าใส่ไม่มาก มันจะทำให้เรามีอารมณ์แบบมึนๆ งงๆ พอตื่นมาก็จะจำอะไรไม่ได้ บ้าเอ๊ย! ไอ้สารเลวนั่นมันคงกะจะทำเรื่องอย่างว่าแล้วชิ่งหนีลอยนวล ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไอ้เลวเอ๊ย!” ประสบการณ์ที่เจอมากับตัวทำให้เธอผูกเรื่องได้เป็นฉากๆ ต่างกันก็แค่เรื่องของตัวเองเธอเป็นฝ่ายหนี จึงอดไม่ได้ที่จะโกรธแค้นแทนเพื่อน
“เมื่อคืนก็คนกันเองทั้งนั้น ใครมันจะทำอย่างนั้นวะแก” พริบพราวพยายามนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ตัวเองไปฉลองตำแหน่งใหม่ให้กับรุ่นพี่ในแผนก แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก
“คนกันเองนี่แหละที่น่ากลัว ทำเหมือนไม่มีอะไรให้เราตายใจ แต่สุดท้ายก็ร้ายที่สุด แกลองนึกดูดีๆ ว่าเมื่อคืนใครมีท่าทีแปลกๆ หรือคะยั้นคะยอให้แกกินอะไรแปลกๆ บ้าง” ในขณะที่บอกเพื่อน เธอเองก็พยายามนึกด้วยเช่นกัน
“ก็ไม่เห็นมีนะ ทุกอย่างดูปกติ แกเองก็อยู่กับฉันตลอดนี่นา จะมีก็แค่ตอนเดินไปห้องน้ำ เฮ้ย! หรือจะเป็นผู้ชายคนนั้น เอ! แต่ก็ไม่น่าใช่ เพราะถ้าเป็นตามที่แกว่า เขาคงไม่นั่งรอจนฉันตื่นแบบนั้นหรอก แต่ถ้าไม่ใช่ แล้วทำไมฉันถึงตื่นมาในห้องเขาล่ะ โอ๊ย! คิดจนหัวจะแตกแล้วเนี่ย” พริบพราวกุมขมับหลังลองพยายามตามที่เพื่อนบอก
“เขา? เขาไหน แกเล่ามาให้ละเอียดเดี๋ยวนี้เลยนะพราว” เจติยาได้ฟังก็ร้อนใจ และใช่ เธอกำลังกลัว กลัวว่าเพื่อนจะเจอเรื่องเลวร้ายเหมือนกับตน (ถ้าอยากรู้ว่าเขาเป็นใคร ติดตามอ่านเต็มๆ ได้ในเรื่อง “I’m yours ยกหัวใจให้คลั่งรักยัยเลขา”)
“พราว! แล้วแกแน่ใจได้ยังไงว่าเขาไม่ได้ทำอะไรแกจริงๆ หา” หลังจากได้ฟังที่เพื่อนเล่า สีหน้าเธอก็เครียดเขม็งขึ้นมาทันที ถึงแม้จะพยายามมองในแง่ดี แต่จากประสบการณ์ที่ได้เจอมากับตัว ทำให้เธอมองในแง่นั้นไม่ได้เลย
“เอาจริงๆ ก็ไม่แน่ใจหรอก โอ๊ย! ไม่ต้องมามองฉันแบบนั้นเลย ก็คนมันยังไม่เคย จะไปรู้ได้ไงเล่าว่าต้องรู้สึกยังไง หรือแกเคยหายัยเจ” คนถูกถามถึงกับสะอึก
‘ใช่ ฉันเคย เคยแบบสดๆ ร้อนๆ เลยด้วย แต่จะให้พูดได้ยังไงว่าเมื่อคืนฉันเจอเรื่องอะไรมาบ้าง แค่ปัญหาของตัวเอง แกก็เครียดมากพอแล้ว’ เธอได้แต่ร่ำร้องในใจ เมื่อไม่อยากเอาปัญหาของตัวเองไปเพิ่มให้เพื่อนอีก ทำได้แค่เอาประสบการณ์ตรงของตัวเองมาใช้ทางอ้อม