เมื่อเธอเผลอไปมีอะไรกับผู้ชายที่หล่อปานเทพบุตร แต่กลับจำอะไรไม่ได้ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นหมอนั่นดันยังเป็นนักศึกษา แน่นอนเธอไม่อยากโดนคดีพรากผู้เยาว์ สุดท้ายก็เลยต้องหนี
***“จับฉันมาทำไม” เธอจ้องเขาเขม็งด้วยสีหน้าเอาเรื่อง
“ก็ที่รักชอบหนีหน้า เอะอะหนีตลอดเลย ผมก็เลยทำให้เห็นว่าไม่ว่าที่รักจะพยายามแค่ไหน ก็ไม่มีวันหนีผมพ้นยังไงล่ะ แล้วถ้าคราวหน้ายังคิดจะหนีอีก ผมคงต้องทำมากกว่านี้ อาทิเช่น...จับที่รักขังเอาไว้ดีไหมคะ”
“ผมก็แค่อยากให้รู้เอาไว้ว่าไม่ว่าคุณจะพยายามแค่ไหน คุณก็หนีผมไม่พ้น จากนี้ไปคุณจะมีผมอยู่ในชีวิต ตราบเท่าที่ผม...ต้องการ”
“ไหนบอกไม่ได้เห็นฉันเป็นของเล่น แต่ที่พูดมา ฉันก็ไม่ต่างอะไรกับของเล่นในสายตานายอยู่ดี”
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่า...คุณจะยอมให้ผมเล่น แล้วเราจะเล่นกันแบบไหนเท่านั้นเอง”
***“นั่งคุยกันดีๆ ได้ไหม นั่งแบบนี้ฉันคุยไม่ถนัด”
“แล้วแบบนี้ไม่ดีตรงไหน” เขาเลิกคิ้วทำแสร้งไม่เข้าใจ
“ก็ตรงที่ไอ้นั่นของนายมันดันสะโพกฉันอยู่ไง”
“รู้สึกด้วยเหรอ” ชายหนุ่มหยักยิ้มล้อเลียน
“พูดอย่างกับไอ้เสื้อผ้าผุๆ ของนายมันหนานักนี่ แล้วนอกจากไอ้กางเกงย้วยๆ นี่ ข้างในฉันก็ไม่มีอะไรเลยสักชิ้น ถ้าไม่รู้สึก ฉันก็ตายด้านเกินไปแล้ว”
“ใช่...ถ้าไม่รู้สึก ผมก็คงตายด้านเหมือนกัน” สองมือเขายื่นไปจับเอวคอดแล้วตรึงสะโพกผายให้กดบดเบียดกับหน้าขาของตัวเอง
“อื้อ...ก็บอกว่าไม่ได้ใส่อะไรไง”
“อา...คุณจงใจยั่วผมใช่ไหม...เจ”
“แล้วถ้าฉันบอกว่าใช่ล่ะ”
“ผมก็ไม่จำเป็นต้องทนอีกต่อไปแล้วไง” เมื่อความอดทนขาดผึง เขาจึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะรีรออะไร จับยกเธอขึ้นวางบนโต๊ะตัวยาว
“ไหนบอกจะกินข้าวไง”
“ก็กำลังจะกินอยู่นี่ไง” เขาว่าพลางไร้ปลายนิ้วไปที่แก้มเนียนเรื่อยลงมาที่ลำคอระหง
“ฉันไม่ใช่ข้าวสักหน่อย”
“แน่นอนคุณอร่อยกว่านั้น เพราะถ้าให้เลือกระหว่างอาหารพวกนั้น กับอาหารจานนี้ ผมอยากกินคุณมากกว่า และก่อนกินก็คงต้องอุ่นให้ร้อนซะก่อน”