2 พะนอขวัญ ... - 3

1964 คำ
 ผู้หญิงคนหนึ่งที่นอนสลบไปได้สักระยะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เมื่อได้ยินเสียงม่านที่ขึงรอบเตียงถูกรูด พร้อมกับมีนางพยาบาลคนหนึ่งกำลังอุ้มเด็กแบเบาะมาให้ที่เตียง พลางบอกว่า 'คุณได้ลูกสาวค่ะ'              รำพึงค่อย ๆ ผุดลุกแล้วรับเด็กทารกนั้นมาอุ้ม ขณะเดียวกันสายตาก็เหลือบเห็นเตียงใกล้ ๆ กัน ก็มีนางพยาบาลอีกคนกำลังยื่นเด็กตัวแดง ๆ ให้หญิงสาวอีกคนที่เข้ามาคลอดในวันและเวลาเดียวกันกับตัวเองด้วย                                                                      รำพึงละสายตาจากหญิงสาวที่เตียงนั้น เพื่อก้มหน้ามองลูกสาว หวังจะชื่นชมความรักน่ารักชังเสียหน่อย เพราะลูกคนนี้กว่าจะคลอดได้ตนต้องทนทุกข์ทรมาน แบกรับความเจ็บปวดข้ามวันข้ามคืนกันเลยทีเดียว ทั้ง ๆ ที่รำพึงคิดว่าท้องนี้ไม่น่าจะคลอดยากอีกแล้ว เนื่องจากตนเคยคลอดลูกมาก่อนหน้านั้นแล้วถึงสองคน                               และ เมื่อสายตาของรำพึงจรดมองเด็กทารกจ้ำหม่ำในอ้อมแขน  ได้เห็นลักษณะเด็กตัวน้อยแล้ว สีหน้าของรำพึงก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป...                                                                                                          วันรุ่งขึ้น...พี่สาวของรำพึงก็ได้มาเยี่ยมที่โรงพยาบาล พี่สาวคนนี้เป็นคนพูดจาโผงผาง คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ครั้นมาถึงก็ยื่นหน้าดูหลานสาวที่หลับปุ๋ยอยู่ จากนั้นจึงอุทานออกมาเบา ๆ ว่า'นี่แม่รำพึง! แน่ใจนะว่าเป็นลูกสาวหล่อน ทำไมเนื้อตัวถึง...’  ที่อุทานอย่างแปลกใจ เพราะน้องสาวของตนมีสีผิวค่อนข้างคล้ำ แต่ไม่ถึงกับคล้ำจัดเรียกว่า ผิวสีน้ำผึ้งมากกว่า แต่ทำไมลูกสาวคนนี้ถึง...  '...ผิวขาวผิดพ่อผิดแม่จังเลย' พี่สาวของรำพึงว่า ก่อนจะละสายตาจากเด็กน้อยที่หลับปุ๋ยขึ้นมามองน้องสาว เอ่ยอีก 'แล้วดูสิ ตาก็ตาชั้นเดียว พยาบาลที่อุ้มมาได้สลับลูกใครมาหรือเปล่า' ว่าแล้วก็เหล่สายตามองไปยังอีกเตียง ซึ่งก็คือผู้หญิงคนที่ได้มาคลอดในวันและเวลาเดียวกันกับตนนั่นเอง ผู้หญิงคนนั้นท่าทางจะมีเชื้อสายจีนและผิวขาวจัด ตอนนี้อีกฝ่ายกำลังอุ้มลูกน้อยขึ้นมาดื่มนมจากอกอยู่                รำพึงนิ่งเงียบ ด้วยคำพูดพี่สาวช่างตำใจกับสิ่งที่ตนเองได้คิดเอาไว้ตั้งแต่วินาทีแรกที่พยาบาลได้อุ้มลูกสาวมาให้ดู รำพึงพิจารณาเนื้อตัวก็พบว่าเป็นเด็กทารกที่มีความปกติทุกอย่าง ทว่า ก็ยังรู้สึกตงิดๆ ใจกับลักษณะที่ผิดกับพ่อแม่ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรนัก คิดเสียว่าเด็กเพิ่งคลอดใหม่ก็น่าจะมีลักษณะที่ยังไม่ชัดเจน  แต่เมื่อพี่สาวมาพูดอย่างนี้เข้าแล้ว ภายในใจของรำพึงก็เริ่มกระสับกระส่าย 'ก็...ลูกฉันน่ะแหละ เด็กแรกเกิดก็เป็นแบบนี้หรอก เดี๋ยวโตขึ้นมาก็เหมือนพ่อเหมือนแม่เอง' แม้จะเริ่มระส่ำระสาย แต่รำพึงก็ยังหาเรื่องปลอบใจตัวเอง                                                                                                       จากนั้นรำพึง และพี่สาวต่างก็เริ่มส่งสายตามองผู้หญิงคนนั้นและลูกไปอย่างเงียบ ๆ ด้วย                                                                         หลังจากพี่สาวตนได้กลับไปแล้ว รำพึงก็เริ่มเก็บความกังขา และความไม่ชอบใจในเรื่องลักษณะลูกตัวน้อยนั้นเอาไว้กับตัว  ยิ่งได้มองดูลูกสาวของตัวเองและลูกสาวของผู้หญิงคนนั้น ก็รู้สึกดั่งมีไฟรุ่มร้อนเล่นงานตนเองอยู่ตลอดเวลา      จนกระทั่งวันที่ตนจะออกจากโรงพยาบาล รำพึงจึงตัดสินใจถามนางพยาบาลดูว่า 'คุณพยาบาล เอ่อ ขอถามอะไรตรง ๆ หน่อยเถอะ'                                                                                      'มีอะไรคะ คุณ'                                                                                                                                                                  'คุณแน่ใจนะ...' พยายามถามเสียงเบา เพื่อหยั่งเชิงดู '...ว่าไม่ได้อุ้มลูกสาวฉันสลับตัวกับลูกสาวใครมา' แล้วก็เหล่มองไปยังอีกเตียงของผู้หญิงคนนั้นที่เข้ามาคลอดวันและเวลาเดียวกันกับตัวเอง               นางพยาบาลถึงกับทำท่าตกอกตกใจ ก่อนจะปฏิเสธเสียงแข็ง ยืนยันว่าทางโรงพยาบาลมีการทำงานที่ชัดเจน ไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนี้ 'ถูกแล้วค่ะ! นี่คือลูกสาวของคุณ พอคลอดเราก็รีบเอาชื่อติด จดน้ำหนักตัวแรกเกิดเอาไว้ด้วย จะว่าเราอุ้มเด็กมาผิดตัวได้อย่างไรกันคะ' ว่าแล้วก็จ้องมองหน้าของรำพึงเขม็งคล้ายไม่พอใจไปด้วย                        'นะ...แน่นะคะ คุณพยาบาล' รำพึงยังถามย้ำ ท่าทีแห่งความคลางแคลงใจไม่ได้ลดลงไปกว่าตอนแรก แม้นางพยาบาลคนนี้จะปฏิเสธแล้ว                                                                                           'แน่นอนค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ทางเราต้องทำงานด้วยความมีระบบและรอบคอบ  ขอให้ไว้วางใจเราเถอะ'                            กระนั้นรำพึงก็ยังมองเด็กที่ส่งเสียงอ้อแอ้บนตักอย่างไม่ค่อยจะพอใจ หล่อนกลับรู้สึกชอบเด็กที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังอุ้มขึ้นมาให้ดื่มนมมากกว่าด้วยผิวไม่ได้ขาวจัดและมีดวงตากลมโตคล้ายตนอยู่     และไม่นึกว่าคำพูดนั้นของพี่สาว และสิ่งที่ตนรู้สึกตะขิดตะขวงใจจะฝังอยู่ในใจตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา  และยิ่งนับวันเด็กน้อยที่เติบโตขึ้นมาก็ยิ่งไม่มีลักษณะทางกายที่เหมือนกับผู้เป็นแม่และผู้เป็นพ่อเลย ผิดกับลูก ๆ ทั้งสองคน ที่มีผิวสีน้ำผึ้งอ่อน จมูกโด่งเป็นสันงาม หน้าตาคมขำคล้ายกับตนเพราะทางบ้านรำพึงมีเชื้อสายแขกผสมอยู่ แต่บุตรสาวคนนี้กลับแตกต่างออกไป                                    พะนอขวัญ มีผิวขาว ใบหน้ากลมอิ่มที่รับกับจมูกได้รูป ริมฝีปากแดงผุดผาด ดวงตาเกือบเรียวรี รำพึงมองและเลี้ยงบุตรสาวคนเล็กอย่างหวาดระแวงว่าจะไม่ใช่ลูกตนจริง ๆ มาโดยตลอด                                  แม้นางพยาบาลคนนั้นจะยืนยันว่า เป็นลูกของตนจริงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็นั่นละ แต่รำพึงก็ยังคิดอย่างมีอคติกับนางพยาบาลคนนั้นอยู่ว่า ใครกันล่ะจะยอมรับว่าตัวเองทำงานผิดพลาดได้ง่าย ๆ ...ฉันไม่เชื่อพวกคุณหรอก คุณพยาบาล!   "ตั้งแต่ฉันเกิดมา ท่านก็หาว่าฉันมักจะนำความเดือดร้อนมาให้ท่านมาให้ที่บ้านอยู่เสมอ ๆ" เสียงหวานเปรยออกมาอีก เป็นการดึงภวังค์อันเงียบงันของชายหนุ่มออกมา "แม้แต่ตอนจะคลอดก็คลอดยากผิดกับลูกอีกสองคน ทำให้ท่านทนทุกข์ทรมานข้ามวันข้ามคืนอยู่นาน แถมวันที่ฉันคลอดคุณพ่อก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ อุบัติเหตุในครั้งนั้นทำให้คุณพ่อเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ มาตลอด จนสุดท้าย ต้องออกจากงานราชการ เพื่อมาพักรักษาตัวที่บ้าน แล้วการที่คุณพ่อต้องออกจากงานราชการก็ทำให้เกิดความฝืดเคืองในบ้านขึ้น เพราะคุณแม่ท่านไม่ได้ทำงานอะไรเลย..."                หล่อนหลบดวงตาคมคู่ตรงหน้า ดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่าละอายใจเหมือนกันที่มารดาหล่อนไม่ชอบทำงาน ชอบแต่แต่งตัวสวยงามกรีดกรายไปมา แล้วหล่อนเป็นลูกจะตำหนิท่านต่อหน้าคนอื่นก็ไม่ได้ อีกอย่างจะโทษคุณแม่ท่านก็ไม่ถูก เพราะคุณแม่ของหล่อนก็ถูกทางบ้านเลี้ยงดูให้อยู่สุขสบายอย่างคนไม่ต้องทำงาน เนื่องจากพื้นเพทางบ้านของท่าน เป็นครอบครัวที่ค้าขายและท่านก็เป็นลูกคนเล็กของบ้านด้วย จึงมีพี่ ๆ คนอื่นช่วยกันทำงานต่าง ๆ ไปหมดแล้ว                         ครั้นโตเป็นสาวแรกรุ่น คุณแม่ก็ถูกที่บ้านให้แต่งงานกับคุณพ่อหล่อนทันที ดังนั้น รำพึงจึงไม่เคยจับต้อง หรือทำงานอะไรเลย แม้แต่งานบ้านก็ไม่เคยต้องทำ "...แม้แต่พี่น้องของคุณแม่ ฉันหมายถึง คุณลุง คุณป้า เวลามาที่บ้านก็มักจะมองฉันด้วยสายตาแปลก ๆ คอยพูดจายุยง คุณแม่อยู่เสมอ ๆ ว่าฉันน่าจะเป็นเด็กที่พยาบาลอุ้มสลับตัวมาให้"                                                       ชายหนุ่มรู้สึกสะท้านใจ เมื่อได้รับรู้เรื่องราวเช่นนี้...จากปากของหล่อน มิน่าลุงชดแกถึงไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้นัก และย้ำนักย้ำหนาว่าหญิงสาวน่าสงสาร                                                                        "เมื่อก่อน ตอนเด็ก ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าคุณแม่ได้มองฉันเป็นคนนอก จะมีก็แค่สายตาและกิริยาหมางเมินเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น แต่แล้วก็มีครั้งหนึ่ง ฉันได้ทำแจกันใบเก่าแก่ที่เป็นมรดกตกทอดแตก คุณแม่ได้ตีฉันอย่างไม่ยั้งมือ แล้วท่านก็หลุดปากพูดออกมาว่า ฉันคงจะเป็นเด็กที่พยาบาลอุ้มสลับตัวกับเด็กอีกคนมาอย่างแน่นอน ฉันคงไม่ใช่ลูกสาวของท่านจริง ๆ  เวลานั้นคุณพ่อมาพบเข้าพอดี จึงเข้ามาช่วยฉันและห้ามคุณแม่ไม่ให้ตี และคุณพ่อก็ได้พลั้งมือตบคุณแม่ด้วยความโกรธที่คุณแม่ว่าฉันไม่ใช่ลูกจริง ๆ ต่อหน้าท่าน จากนั้นมาคุณพ่อก็ได้สั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้คุณแม่พูดคำนั้นออกมาอีก"                         หล่อนหยุดเรื่องราวในวัยเด็กเอาไว้ ก่อนจะถามกลับนายใบ้ ผู้ที่กำลังนั่งทำหน้าที่เป็นผู้รับฟังได้อย่างดีเยี่ยมตรงหน้า "แล้วใบ้รู้มั้ย..."                                                                                                   คนที่ตกอยู่ในสภาพของนายใบ้มองหล่อน พยักหน้ารับช้า ๆ ก็ทำให้พะนอขวัญพอใจที่เขายังอยู่รับฟังความทุกข์ในใจหล่อน ก่อนจะเล่าต่อไปว่า "ช่วงที่คุณพ่อยังมีชีวิต และพี่ชายอีกคนของฉันยังอยู่ที่นี่ จะมีคนคอยปกป้องดูแลฉันเสมอ แต่พอไม่มีทั้งสองคนแล้ว ชีวิตฉันก็เป็นอย่างที่ใบ้ได้เห็น"                                                              นายใบ้สะกิดลงหลังมือหล่อนเบา ๆ แล้วทำท่าทางที่หมายถึงพี่สาวอีกคน พะนอขวัญก็เข้าใจว่า แล้วทำไมพี่สาวอีกคนถึงไม่ปกป้องหล่อนให้เหมือนพี่ชาย                                                                  หญิงสาวถอนใจเล็กน้อย จึงเล่าเสริมให้นายใบ้รับรู้ว่า "สำหรับพี่สาวคนนั้น เมื่อก่อนก็เคยทำดีกับฉันอยู่ แม้จะไม่ได้แสดงออกซึ่งอาการรังเกียจมากมายเหมือนกับตอนนี้  แต่ก็ไม่ได้แสดงความสนิทสนมเกินความจำเป็นหรอกนะ และสุดท้ายความสัมพันธ์ของเราทั้งสองคนก็เป็นอันเลวร้ายลงเมื่อ..." เสียงหวานเจือเศร้าเลือนหายไป หล่อนหลบสายตานายใบ้เล็กน้อย "...เมื่อมีเรื่องกินแหนงแคลงใจระหว่างเราทั้งสองคนเกิดขึ้น..."                            พอได้เล่าความทุกข์โศกที่มีแล้ว ก็เหมือนกับได้ระบายความอัดอั้น เอาหนองที่กลัดในอยู่อกมานานออกไป ทำให้หญิงสาวสบายใจขึ้นมา ดวงหน้าหวานฝืนยิ้มแย้มให้ชายใบ้ตรงหน้าพร้อมกับตัดบท "กลับไปซะเถอะใบ้ ตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้ว ฉันก็จะกลับเข้าบ้านเหมือนกัน ขอบใจใบ้นะ ที่อยู่ช่วยรับฟังเรื่องของฉัน"                         ชายหนุ่มพยักหน้า หัวใจพลอยเบิกบานเพียงแค่เห็นใบหน้างามที่เศร้าโศกมีความชุ่มชื้นแล้ว เมื่อเขาเบาใจขึ้นจึงตัดใจผุดยืน และก่อนจะจากหล่อนไปจริง ๆ เขาก็ถ่ายทอดความห่วงใยอันลึกซึ้งผ่านแววตายามทอดมองหล่อนอีกครั้ง แม้ว่าใบหน้างามนั้นจะผิน มองไปยังอีกฝากฝั่งตรงกันข้ามของแม่น้ำแล้วก็ตาม                            ใบหน้าของชายหนุ่มดูเคร่งขรึม ขณะก้าวลงเรือลำคร่ำครึ พร้อมทั้งวาดภาพต่าง ๆ เอาไว้ในหัวอีกว่า... เมื่อได้กลับไปยัง 'บ้านอาจณรงค์' ของเขาอีกคราวนี้ เห็นทีจะต้องมีเรื่องใหญ่อีกหลายเรื่องให้เขาต้องเร่งจัดการทีเดียว                                     
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม