บทนำ
กรุงเทพมหานครฯ พุทธศักราช 2506
"เสร็จแล้ว...ยกไปรอขวัญที่ท่าน้ำได้เลยค่ะ เดี๋ยวขวัญล้างไม้ล้างมือแล้วจะรีบตามไป"
หญิงสาวในวัยสิบเก้าปีหมายถึงสำรับเป็นห่อ ๆ ที่ได้จัดลงถาด อันมีทั้งของคาว ของหวาน ผลไม้และดอกกล้วยไม้ รวมถึงเข้าสุกร้อน ๆ อีกหนึ่งโถด้วย ทั้งหมดหล่อนได้ลุกขึ้นมาตระเตรียมเอาไว้ตั้งแต่เช้าตรู่ สำหรับการตักบาตร ที่จัดว่าเป็นกิจวัตรที่หล่อนทำเป็นประจำทุกวันมิได้ขาดอยู่แล้ว
หญิงในวัยห้าสิบกว่าปี ขยับตัวมารับถาดดังกล่าวแล้วส่งต่อให้สามีตนถือ และให้เดินล่วงหน้าไปรอที่ท่าน้ำก่อน จากนั้นตัวเองก็ยกส่วนที่เหลือตามไป
ในขณะที่หญิงสาวคนเดียวก็หันมาตักน้ำจากโอ่ง ล้างไม้ล้างมือให้ปราศจากกลิ่นคาวจากการปรุงอาหาร เมื่อเรียบร้อย กำลังจะรีบตามคนทั้งสองไปที่ท่าน้ำของบ้านอยู่แล้วเชียว แต่ ...
คนสนิทที่เป็นคนรับใช้เก่าของคุณพ่อ ที่เดินไปที่ท่าน้ำได้ไม่นาน ก็วิ่งหน้าตาตื่นขึ้นมาเรียกหล่อนว่า
"คุณขวัญ ๆ! แย่แล้วๆ!"
"อะไรคะลุงชด?" ลุงชดนี่ก็คือคนที่เคยทำหน้าที่ขับรถให้คุณพ่อของหล่อน
"ไปดูเองเถอะครับ! ใครก็ไม่รู้ มานอนตายอยู่ที่ท่าน้ำของเรา"
"ห๊ะ!" คิ้วสวยได้รูปของหญิงสาวขมวดเข้าด้วยกันทันใด พอเช็ดไม้เช็ดมือเสร็จก็รีบตามลุงชดไปยังท่าน้ำทันที
หล่อนมาถึงก็เห็นเรือเอี๊ยมจุ้นลำเก่า ๆ โทรม ๆ ลำหนึ่งลอยมาติดอยู่กับท่าน้ำ เห็นป้าช้อยภรรยาลุงชด ยืนอยู่ตรงหน้าเรือด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ครั้นหญิงสาวลงบันไดไปหา จึงรีบถามผู้อาวุโสว่า
"มีอะไรคะป้าช้อย?"
"นายใบ้ นายใบ้มานอนตายที่ท่าน้ำ" เอ่ยแล้วก็ชี้ไปยังเรือเอี๊ยมจุ๊นลำเก่า ๆ ตรงหน้า สีหน้าดูหวาดกลัวด้วย
"นายใบ้...นายใบ้ที่ไหนกัน?" หล่อนถามอย่างสงสัย
"ก็...นายใบ้ครับ คุณขวัญ เป็นพ่อค้า..." เสียงของลุงชดที่ตามมาไม่ห่างพยายามจะอธิบาย
นายชดบอกมาเท่านี้ หญิงสาวก็รีบลงไปในเรือลำดังกล่าวโดยไว หล่อนจึงเห็นผู้ชายร่างสูงในเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว กางเกงสีดำนอนคว่ำหน้าลง และเสื้อเชิ้ตสีขาวนั้นก็มีแต่เลือด
ทีแรกหล่อนก็ตกใจจนเกือบตั้งตัวไม่ได้ ทว่า สติบางอย่างทำให้หล่อนต้องค่อย ๆ ยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้ ๆ เห็นเขานอนคว่ำหน้าอยู่ จึงพยายามสอดนิ้วมือเข้าไปที่ใต้จมูกโด่งนั่น แล้วจึงรีบหันไปบอกผู้อาวุโสทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า
"เขายังไม่ตายนี่คะ! ยังหายใจอยู่ ลุงชด ป้าช้อย มาช่วยกันหน่อยเร็ว!"
"ช่วย? ช่วยแบบไหนคะคุณขวัญ!" นางช้อยสั่นหน้า ค่อนข้างจะไม่อยากจะยุ่งด้วย ทว่า หญิงสาวก็ใช้น้ำเสียงที่เข้มกลับมาทีเดียว
"ก็ช่วยพากันเอาเขาขึ้นไปจากเรือก่อน เร็ว! ขืนช้าเขาอาจจะตายอยู่ในเรือนี่จริง ๆ ล่ะ!"
"จะ จะดีหรือคะคุณขวัญ เกิดคุณรำพึงรู้เข้า โดนเอ็ดอีกแน่ ๆ" นางช้อยยังส่ายหน้า พยายามให้หญิงสาวฉุกคิดถึงอีกเรื่อง
"...จะให้ขวัญปล่อยให้คนตายไปต่อหน้าต่อตาหรือ! ไม่ต้องพูดมากแล้ว เกิดอะไรขึ้นมาขวัญจะรับผิดชอบเอง เอาเขาขึ้นไปที่บ้านเร็ว!"
คำพูดเฉียบนั้น ถือเป็นคำสั่ง ทั้งนายชดและนางช้อยไม่อาจจะขัดใจหล่อนได้ ทั้งสองจึงเข้ามาช่วยกันพยุงตัวชายหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บขึ้นจากเรือเอี๊ยมจุ๊นลำเก่าคร่ำครึนี้ ด้วยน้ำหนักตัวของร่างสลบนิ่งนั้นไม่เบาทีเดียว ทำให้นายชดและนางช้อยที่มีอายุเกือบหกสิบปีมีความลำบากต่อการพยุงเขาขึ้นไปอยู่ไม่น้อย
กระทั่งคนทั้งสองได้พยุงร่างที่สลบนิ่งมาถึงเรือนไม้ทั้งหลังตรงหน้า จึงพากันรีบวางอีกฝ่ายนอนลงกับพื้นฝากระดาน แล้วบ่นอุบไปตาม ๆ กันว่าผู้ชายคนนี้หนักจริง ๆ
"คุณขวัญ จะทำอย่างไรต่อไปคะ"
พะนอขวัญนั่งลงใกล้ ๆ ร่างสูง พลางหันกลับไปสั่ง "ป้าช้อยไปหาผ้าสะอาดและน้ำฝนมาให้ขวัญนะ เขาหัวแตก ไม่แน่ใจว่าเลือดจะหยุดไหลแล้ว ขวัญจะดูแผลเขาหน่อย" หล่อนบอกเพราะสังเกตได้จากคราบเลือดที่แห้งติดกับผมสั้น ๆ เป็นคราบ ๆ ดูจากเสื้อเชิ้ตสีขาวที่มีแต่คราบสีแดงอยู่ก็รู้ว่าคงเสียเลือดไปไม่น้อย
นางช้อยจึงรีบทำตามคำสั่งกลาย ๆ โดยเดินไปตักน้ำจากโอ่งดินเผา แล้วหาผ้าขาวสะอาดมาให้หญิงสาวตามคำสั่ง
"เอาล่ะ ช่วยกันพลิกตัวเขาหน่อย แผลอยู่ตรงท้ายทอย ขวัญจะดูแผลเขาก่อน"
"มีเรื่องกับใครมาหรือเปล่านี่ เกิดเป็นผู้ร้าย จะทำเราลำบากนะ คุณขวัญ" นางช้อยบอกระหว่างช่วยกันกับนายชดพลิกร่างหนา ๆ ขึ้นมา
"ไม่ นายใบ้คนนี้ เป็นคนดี ฉันเคยได้ยินชาวบ้านพูดถึงอยู่บ่อย ๆ ขยันทำมาหากิน ซื่อสัตย์มีน้ำใจ ไม่น่าจะมีเรื่องกับใครมาหรอก" นายชดรีบแย้ง
ภรรยาที่ไม่เต็มใจจะให้ช่วยคนแปลกหน้าขึ้นมาจากเรือตั้งแต่แรก จึงรีบว่ากลับไป "แกรู้จักรึ...นายใบ้นี่"
"ไม่ใช่ว่าจะรู้จัก แต่เคยได้ยินเขาพูดถึงมันอยู่ นายใบ้นี่ก็พายเรือไปตามแม่น้ำ ตามคลอง ล่องเรือไป ๆ มา ๆ ระหว่างทางก็รับของจากที่นั่นที่นี่มาขายไปด้วย แล้วเอ็งจะกลัวอะไรนักหนา ช่วยชีวิตคนได้กุศลแรงออก"
"กลัวสิ ลำพังพวกเราไม่เท่าไหร่ แต่คุณขวัญน่ะซิ..."
ว่าแล้วก็เบือนสายตาไปทางหญิงสาวที่นั่งใกล้ ๆ
พะนอขวัญเหลือบมองผู้อาวุโสที่สนทนากันอย่างเป็นกังวลกับตัวหล่อน แต่หล่อนก็ไม่ได้อาทรมากกว่าการจะช่วยชีวิตคนตรงหน้า หล่อนกำลังใช้ผ้าชุบน้ำแล้วบิดหมาด ๆ เช็ดเอาคราบเลือดที่ติดตามผม ตามใบหน้าของชายคนนี้ออก แล้วก็ตอบไปในเรื่องที่ทำให้ผู้อาวุโสทั้งสองเป็นกังวลนี่เองว่า
"คุณแม่ไม่รู้หรอก ปกติท่านก็ออกจากบ้านแต่หัวค่ำ พอจะกลับมาก็เกือบเช้า และเมื่อมาถึงก็นอนเอาแรงทั้งวันจนถึงเย็น ก็ออกจากบ้านอีก ไม่ค่อยมาข้องเกี่ยวกับเรือนนี้หรอก พวกเราก็อย่าเอาเรื่องนี้ไปพูดที่ไหนก็แล้วกัน"
"แต่คนที่ที่บ้านหลังใหญ่นั่น... " นางช้อยเอ่ยเสียงเบา ด้วยไม่มั่นใจว่าเรื่องที่ช่วยคนแปลกหน้าขึ้นมาที่นี่ จะเก็บไว้เป็นความลับได้นานเท่าใด
ขณะนั้นพะนอขวัญก็ค่อย ๆ เปิดผมตรวจดูบาดแผลของเขา และเห็นแล้วว่าแผลไม่ได้กว้างอย่างที่กังวล อีกอย่างก็เริ่มแห้งแล้ว แต่ ถึงอย่างไรหล่อนก็ต้องหาผ้าสะอาดมาพันเอาไว้เสียหน่อยจะดีกว่า
"ป้าช้อย ลุงชด เดี๋ยวช่วยกันตัดผ้านี่แล้วพับเป็นชั้น ๆ ให้ขวัญหน่อย อ้อ ไม่ต้องให้หนามากนะ ขวัญจะได้โพกไว้ปิดบาดแผล เผื่อเขาขยับตัวอะไรจะช่วยไม่ให้แผลปริออก แล้วจะช่วยห้ามเลือดได้อีกทาง"
"ค่ะ คุณขวัญ" แล้วสองสามีภรรยาจึงรับผ้าอีกผืนจากมือหญิงสาวไป กำลังช่วยกันใช้กรรไกรตัดตามคำบอกนั้น แล้วรีบยื่นผ้าคืนให้
พะนอขวัญรับผ้านั้นมาก่อนจะขยับศีรษะชายหนุ่มวางลงกับตักนุ่มของตัวเอง ท่ามกลางสายตาของนางช้อยที่มองด้วยความขัดใจนัก
จากนั้น ก็ใช้ผ้าสะอาดอีกชิ้นชุบน้ำในขันเงินเย็น ๆ แล้วเช็ดไปตามหน้าตาของเขา ที่ยังมีคราบเลือดติดออกให้หมด อย่างอ่อนโยน ด้วยความมีเมตตา หล่อนจึงไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าแค่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้ตกทุกข์ได้ยากมาก็เท่านั้น
จากนั้นมือบางค่อย ๆ สอดผ้าสีขาวไว้ตรงท้ายทอยแล้วมัดเอาไว้ให้ ไม่หลวม และไม่แน่นจนเกินไป
ความเย็นที่ได้รับสัมผัสได้ตามใบหน้า คาง ทำให้เจ้าของศีรษะพยายามปรือดวงปรือขึ้น แม้จะดูพร่าลางเลือนกับภาพตรงหน้า ทว่า เขาก็ยังได้เห็นใบหน้างามหมดจดตรงหน้า และเพียงชั่วขณะเท่านั้น ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ปิดเปลือกตาทั้งสองลงตามเดิม เนื่องด้วยความอ่อนล้าของร่างกาย และอาการรุม ๆ ตามเนื้อตัวคล้ายจับไข้ขึ้น และแม้สองตาจะปิดลงไปแล้ว แต่หูทั้งสองของเขาก็ยังได้ยินเสียงบทสนทนาของคนทั้งสามที่ดังข้ามศีรษะตนไปมาอยู่ว่า
"ท่าทางจะโดนโจรปล้น แล้วถูกฟาดกบาลมาหรือเปล่า?" นายชดแสดงความคิดเห็น
"ทำไมถึงคิดว่าจะโดนโจรปล้นล่ะ ตาแก่" นางช้อยถามกลับ
"ก็ใคร ๆ ก็ร่ำลือว่านายใบ้นี่มันมีเงินเก็บเอาไว้ในเรือเยอะเชียวนา เป็นผลมาจากความขยันหาของค้าขายไปตามแม่น้ำ ตามลำคลองนั่นน่ะ"
"เออ แต่สภาพมันอนาถานะ ดูเรือที่มันอยู่สิ เก่าผุผังจะแย่อยู่แล้ว ถ้ามันมีเงินจริง ทำไมไม่ซื้อเรือ ทำเรือให้มันดี ๆ ไหน ๆ มันก็อาศัยเรือเป็นที่อยู่ที่กินของมันอยู่แล้วนี่" นางช้อยไม่วายสงสัย
"ก็ไม่รู้ บางทีมันอาจจะประหยัด ขี้เหนียว... เหมือนแกไง ยายช้อย" ผู้ที่เป็นสามียื่นหน้าไปกระเซ้ากลับ ด้วยใคร ๆ ก็รู้นางช้อยภรรยาตนขึ้นชื่อในเรื่องความประหยัดนี้มาก
"เดี๋ยวเถอะ ตาแก่!"
"ทะเลาะกันอีกจนได้" พะนอขวัญรีบปรามคนทั้งคู่ แต่ไม่จริงจังนัก เพราะถือว่าการกระเซ้าเย้าแหย่กันเป็นเรื่องปกติของทั้งสองอยู่แล้ว จากนั้นหล่อนก็รีบตัดบท "เอาล่ะเรียบร้อยแล้ว ดีนะ ที่แผลไม่ลึกมาก และเลือดหยุดไหลเร็ว ท่าทางจะสลบมาตั้งแต่เมื่อคืนน่ะค่ะ"
หญิงสาวเหลือบเห็นหมอนที่นายชดชอบนำมาหนุนนอนยามว่าง จึงชี้ไปที่หมอนใบนั้น "หยิบหมอนนั่นมาให้ขวัญหน่อยค่ะ"
ครั้นได้หมอนมาหล่อนก็ค่อย ๆ ขยับศีรษะของเขาลงอย่างเบามือ แล้วเสียงของนางช้อยก็ถามขึ้นมาอีกว่า
"ต่อไปจากนี้ จะทำอย่างไรคะ คุณขวัญ จะให้นายใบ้นอนพักอยู่ที่นี่หรือไง"
หล่อนมองชายหนุ่มตรงหน้า ตรึกตรองไม่นานก็บอกกับนางช้อยคนสนิทว่า "ก็ช่วยเขาขึ้นมาแล้ว จะไล่ให้ลงไปนอนที่เรือให้ยุงรุมกัดตายอีก แล้วทีแรกจะช่วยเขาขึ้นมาให้เสียเวลาทำไม ให้นอนพักที่นี่ล่ะค่ะ นอนชั้นล่างตรงนี้ ป้าช้อย กับลุงชดก็ช่วยกันดูแลหน่อยก็แล้วกัน ถ้าเขาได้สติ หายดีเมื่อไหร่ คอยว่ากันอีกที"
"ค่ะ คุณขวัญ"
นางช้อยรับคำอย่างไม่เต็มใจนัก ด้วยเหมือนกับได้รับรู้อยู่ลาง ๆ ว่า การช่วยชายแปลกหน้าที่มีนามว่า
นายใบ้
ขึ้นมาจากเรือลำนั้นแล้ว นับจากนี้ไปชีวิตของคุณ
พะนอขวัญ
ของตน จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว…
.