นายชดเดินมาตบบ่านายใบ้เบา ๆ พลางบีบบ่าที่แข็งเกร็งนั้นให้คลายความตึงเครียด ดวงตาคมโศกของนายใบ้กำลังมองตามหญิงสาวไปด้วยความสงสารจับใจ นายชดจึงเข้าใจว่า แม้ชายหนุ่มคนนี้จะบ้าใบ้ แต่ก็คงรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้ดี อย่างไม่ต้องได้เอื้อนเอ่ยให้เป็นเรื่องเสียเวลากันอีกรอบ
นายชดถอนหายใจยาว พลางบอก "ไม่ใช่ว่าพวกข้าจะใจไม้ไส้ระกำ ไล่เอ็งไปในขณะที่เอ็งยังไม่หายดีอย่างนี้นะ แต่...เอ็งก็เห็นแล้วใช่มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น..."
ชายหนุ่มค่อย ๆ หันหน้ามาทางผู้อาวุโส พร้อมกับพยักหน้ารับเศร้า ๆ
"เออ เข้าใจก็ดีแล้ว เดี๋ยวมีข้าวของอะไรก็ไปเก็บซะ อ้อ ข้ามียาอีกห่อจะให้เอ็ง เช้านี้อุตส่าห์ไปหาซื้อมาให้ เอ็งก็เอาไปต้มกินต่อที่เรือเอ็งก็แล้วกัน" นายชดบอก พลางเดินไปหยิบห่อยาที่ตั้งใจจะซื้อมาให้นายใบ้ต้มกิน
ขณะที่รอนายชดไปหยิบห่อยามา ชายหนุ่มก็ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยแววตาเคร่งเครียดอย่างคนกำลังใช้ความคิดหนัก ๆ หมายความว่าอย่างไร หล่อนไม่ใช่ลูกสาวจริง ๆ ของผู้หญิงที่ชื่อรำพึงหรือ!
หลังจากได้ห่อยาจากนายชดมาแล้ว ชายหนุ่มที่ตกอยู่ในสภาพของนายใบ้ ก็เดินอย่างเชื่องช้าไปยังเรือลำเก่า ๆ ลำหนึ่ง ที่ถูกผูกติดท่าน้ำของบ้าน ขณะที่มัวแต่สงสัยว่า หลังจากโดนมารดาทุบตีแล้ว หล่อนได้หลบไปร้องไห้คนเดียวที่ไหน และแล้วร่างของหญิงสาวที่เขากวาดสายตามองหาก็หลบมานั่งบนเก้าอี้ตรงท่าน้ำอยู่เงียบ ๆ นี่เอง
เหมือนเสียงฝีเท้าที่เหยียบลงกับไม้กระดานจะดังขึ้น ทำให้คนที่นั่งปล่อยจิตใจล่องลอยไปไกลได้รู้สึกตัว หล่อนก้มหน้ายกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา โดยหารู้ไม่ว่า ทุกกิริยาของหล่อนได้อยู่ในแววตาที่เต็มไปด้วยความอาทรคู่นั้นของชายหนุ่มแทบทั้งสิ้น
เขาได้เดินมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าหญิงสาว เงยหน้าขึ้นสบตากับหล่อน เพื่อจะบอกลาพร้อมกับขอบคุณที่หล่อนได้ช่วยเหลือชีวิตเขาเอาไว้ เขาใช้สายตาคู่คมโศกสื่อสารกับหล่อนแทนคำพูดอันมากมาย ที่ไม่อาจจะสื่อสารกับหล่อนได้ตรง ๆ เขามองหล่อนอย่างสงสาร เห็นใจ และก็ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของหล่อนและมารดาดีนัก วินาทีนี้ ความทรมานใด ๆ ก็ไม่เทียบเท่ากับการที่ไม่สามารถพูดได้อย่างที่ใจคิด ทั้ง ๆ ที่ เขาไม่ได้เป็นใบ้ และเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่า คิดถูกหรือคิดผิดที่หลวมตัวมาเป็นนายใบ้อย่างนี้
ขณะที่มัวแต่รำพึงรำพันกับตัวเอง หญิงสาวก็ถอนหายใจแรงๆ แล้วก็บอก "กลับไปเถอะนะ ใบ้อาการดีขึ้นจนเกือบจะหายดีแล้ว"
เสียงหวานของหล่อนพอจะให้บรรยากาศรอบ ๆ ตัวนั้นดีขึ้นมาเล็กน้อย เขาถอนหายใจ อยากจะสื่อสารอะไรสักอย่างว่าคนที่ทำร้ายร่างกายหล่อนนั้นคือมารดาผู้ให้กำเนิดจริง ๆ หรืออย่างไร ทำไมถึงได้ใจร้ายกับหล่อนนัก ส่วนหญิงสาวอีกคนกลับปฏิบัติอย่างแตกต่างกัน ถ้าหากหล่อนเป็นลูกสาวจริง ๆ ทำไมถึงได้ ...
พะนอขวัญสบตากับเขา ยิ่งสบก็ยิ่งเหมือนมีพลังดึงดูดบางอย่างระหว่างหล่อนและนายใบ้ผู้นี้ แม้ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำใดต่อกัน กลับทำให้ก่อเกิดความรู้สึกไว้วางใจ สบายใจขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ เขากำลังจะสื่อสารผ่านทางแววตา ส่งผ่านความอบอุ่น และอาทรหล่อนผ่านแววตาคู่นั้นมาให้ ช่างประหลาดใจดีแท้ หล่อนเพิ่งพบเขา ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ แต่ทำไมถึงได้สัมผัสกับความผูกพันที่มีมาอย่างเนิ่นนานนะ คล้ายกับจะรู้ว่าได้สบตากับเขานานเกินไป หล่อนจึงเสสายตาหนีเสียดื้อ ๆ พลางบอก สั้น ๆ "กลับไปซะเถอะ ฉันช่วยใบ้ได้เท่านี้"
ชายหนุ่มหลุบมองสองมือบางที่ประสานวางตัก ก่อนจะค่อยๆ กำมือตัวเองแนบแน่น อยากจะจับสองมือบาง ๆ คู่นั้นมาบีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ แต่ก็ทำไม่ได้
เขาถอนหายใจ ก่อนจะพยักหน้าผุดลุกขึ้น เพื่อจะเดินลงไปที่เรือ แล้วจากหล่อนไปเสีย ทว่า จู่ ๆ เสียงหวานปนเศร้าของหล่อนก็พูดเรื่องหนึ่งขึ้นมาเสียเอง
"นั่นคุณแม่ และพี่สาวของฉันเอง เป็นคุณแม่ที่ให้กำเนิดฉันจริงๆ" เอ่ยแล้วก็จ้องมองไหล่กว้างของเขา น้ำตาหล่อนก็ไหลรื้นออกมาอีก...
จากที่จะเหยียบเท้าลงเรือไป นายใบ้กลับหันมาสบตาหล่อนช้า ๆ บรรยากาศริมแม่น้ำที่ตะวันเริ่มทอแสงอ่อนลง ทำให้ทุกสรรพสิ่งรอบกายของคนทั้งสองดูเงียบงันไป ราวกับทั้งโลกจะมีเพียงแค่หล่อน และเขา...ผู้ที่ถูกเรียกว่านายใบ้เท่านั้น
"วันนั้น วันที่ฉันเกิด …" เสียงหวานปนเศร้าได้เอ่ยอีก ... อาจจะเป็นความทุกข์ระทมที่สะสมมาอยู่ในใจหล่อนมานาน จึงทำให้หล่อนอยากจะพูดปมชีวิตอันแสนรันทดนี้ขึ้นมาต่อหน้าชายหนุ่มผู้นี้ ผู้ที่หล่อนมั่นใจว่าเขาจะทำหน้าที่เป็นผู้รับฟังได้อย่างดีเยี่ยมเพียงอย่างเดียว
ใช่ ในยามที่อ้างว้าง ปวดร้าว หล่อนก็อยากจะมีใครสักคน ทำให้ที่ช่วยรับฟังความทุกข์ที่เกาะกินอยู่ในใจของหล่อน เท่านี้ก็พอแล้ว และหล่อนมั่นใจว่า เขาจะไม่มีทางเอาความลับของหล่อนไปพูดที่ไหนได้อีกด้วย
พะนอขวัญยังมองท่าทางอันนิ่งขรึมของนายใบ้ แล้วถามอย่างช้า ๆ ชัด ๆ ว่า "อยากรู้มั้ย ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น..." อะไรสักอย่างทำให้หล่อนเลือกที่จะระบายปมอดีตอันน่าขื่นขมของตัวเองกับเขา นายใบ้ หรือเป็นเพราะความบ้าใบ้ พูดไม่ได้ที่เขาเป็นอยู่ จึงทำให้หล่อนวางใจที่จะเล่า เสมือนกับได้ระบายหนองที่กลัดอยู่ในอกของตัวเองมานานออกมา
ชายหนุ่มสบตาหล่อนด้วยความเคร่งขรึม กลับมาคุกเข่าลงตรงหน้าหล่อนอย่างรวดเร็ว ทำท่ายินดีที่จะรับฟังหญิงสาวเล่าเรื่องราวในวันนั้นว่า...