เจ้าของน้ำเสียงเกรี้ยวกราด และดวงตาคู่วาววับคู่นั้นเป็นผู้หญิงที่อยู่ในวัยราว ๆ สี่สิบปี รูปร่างดี สูงโปร่ง ผิวสีน้ำผึ้งอ่อน ดวงตากลมดำขลับ จมูกโด่งสวย และถ้าหากบอกว่าอีกฝ่ายมีเชื้อสายทางแขกมาลายู ตนก็คงจะเชื่ออยู่ไม่น้อย
ชายหนุ่มค่อย ๆ ผุดยืนขึ้น ดวงตาคู่วาววับของผู้มาใหม่ยังจับจ้องเขาอย่างไม่ลดละ
"ผู้ชายคนนี้หรือ!" ก่อนจะเบือนสายตามองไปทางนายชด
"ครับ" นายชดรับคำเสียงแผ่ว
เหมือนเสียงของผู้มาใหม่ได้ดังไปทั่ว จนทำให้หญิงสาวและนางช้อยที่อยู่ชั้นบนต้องรีบตามลงมาสมทบ ครั้นได้เห็นมารดาตัวเองมายืนอยู่ที่นี่แล้ว ใบหน้างามของพะนอขวัญก็ดูซีดเผือดลงทีเดียว และพอเดินเข้าไปใกล้ผู้เป็นแม่ หล่อนก็ถูกท่านเอื้อมมือมาหยิกตามเนื้อตัวทันใด
"คุณแม่ขวัญเจ็บค่ะ!" หญิงสาวรีบร้อง หล่อนเจ็บจนน้ำตาแทบเล็ด ยามถูกเล็บคม ๆ จิกฝังลงผิวเนื้ออ่อน
"ยัยขวัญ! ยัยพะนอขวัญ! ปากก็บอกว่าเจ็บ แต่กี่ครั้งแล้วที่เจ็บไม่รู้จักจำ นังลูกตัวดี! ไม่รู้ความอะไร!" ปากก็กัดฟันว่า พร้อมกับพยายามหยิกลงตามเนื้อตัวของหญิงสาวไปทั่ว
ชายหนุ่มคนเดียวทนดูไม่ได้ รีบโยนเสียมแล้วเอาตัวเข้าไปขวาง พร้อมกับดันร่างของผู้เป็นแม่ให้ออกห่างจากหล่อน
แล้วคนที่เหมือนกับถูกผลักกลาย ๆ ก็กรีดร้องเสียงดังขึ้น "ไอ้บ้า! แกกล้าดียังไงเอามือสกปรกมาจับเนื้อตัวฉัน!"
"คุณแม่คะ ฟังขวัญก่อนเถอะค่ะ" หญิงสาวพยายามดันชายตัวสูงใหญ่ที่เข้ามาขวางออก แล้วหล่อนก็โดนผู้เป็นแม่ตีไปที่แขนอีกรอบ
"นายใบ้ ๆ! ไม่ใช่เรื่องของนายที่จะเข้าไปยุ่งนะ!" นายชดรีบเข้ามาดึงตัวนายใบ้ พร้อมกับให้สติว่า "ยิ่งเอ็ง เข้าไปขวาง คุณรำพึงก็จะยิ่งทุบตีคุณขวัญอีก ปล่อย... ปล่อยก่อน"
นายใบ้หันมาสบตากับผู้สูงวัยคล้ายไม่เห็นด้วย เพราะจะให้เขาทนดูหล่อนถูกทำร้ายร่างกายต่อหน้าต่อตาอย่างนี้หรือ พ่อแม่บ้านไหนตนก็ไม่เคยเห็นจะทำร้ายทุบตีลูกตัวเองขนาดนี้มาก่อน เขาเริ่มกำหมัดแน่น แต่นายชดและนางช้อยก็ช่วยกันปรามโดยใช้สายตาสบกับเขาอย่างจริงจัง พยายามทำให้เขารู้ว่า เขาไม่สามารถจะช่วยหญิงสาวผู้นี้ไปได้ตลอดไปหรอก สู้ยอม ๆ ให้คุณรำพึงทุบตีลูกสาวจนหายโกรธก่อนเถอะ
สุดท้าย ชายหนุ่มจำต้องกัดฟันอดทนดูภาพบาดจิตใจนั้น แล้วข่มอารมณ์ให้เกิดความสงบโดยเร็วที่สุด ด้วยการกำมือเป็นหมัดแน่นทีเดียว
หญิงสาวยังโดนฝ่ามือของผู้เป็นแม่ตีมาที่ลำตัวอีกสองสามที จนสาแก่ใจแล้ว รำพึงจึงหันกลับมาชี้หน้าถามถึงผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ว่า "บอกมาเดี๋ยวนี้ว่ามันเป็นใคร! นังลูกตัวดี แกเอาใครมาอยู่ที่นี่!"
"คุณแม่คะ เขาถูกคนทำร้ายมา เรือของเขาลอยมาติดท่าน้ำของบ้านเรา ขวัญก็เลย..."
"แกก็เลยสาระแนช่วยมันขึ้นมา!" ถามพร้อมกับใช้นิ้วชี้กดลงไปที่หน้าผากพะนอขวัญ เป็นภาพที่ผู้ชายแปลกหน้าฝืนกัดฟันมองอย่างสงสารหล่อน เขาทำอะไรไม่ได้จริง ๆ ไม่อย่างนั้น คนเป็นแม่จะยิ่งเอาความเกรี้ยวกราดไปลงที่หล่อนอีก
"ค่ะ..." หล่อนรับคำด้วยอาการสะอื้น
"นังลูกโง่! เกิดมันเป็นสายให้กับตำ…" เหมือนรู้ตัวว่ากำลังจะพลั้งปากว่าอะไรสักอย่างออกมา แต่แล้วรำพึงก็เม้มริมฝีปากนั้นได้ทัน จากนั้นก็เริ่มต่อว่าลูกสาวคนเล็กอีก "ทำไมฉันถึงมีลูกแบบแกนะ!"
"แน่ใจนะคะ ว่าเป็นลูกของคุณแม่...แน่นอน" เสียงหวานอีกเสียงดังขึ้น หญิงสาวที่มีอายุราวยี่สิบต้น ๆ ในชุดนักศึกษาเดินเข้ามาสมทบพลางกอดอกมองดูภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า ด้วยแววตาที่ดูไม่อินังขังขอบกับหญิงสาวอีกคนที่กำลังถูกทำร้ายร่างกาย นี่ก็คงจะเป็น ‘สกาวใจ’ พี่สาวของหล่อนอีกคนที่ลุงชดได้เล่าไว้ก่อนหน้า...
สกาวใจเบือนสายตามามองน้องสาวคนเล็ก อย่างไร้ความรู้สึกใด ๆ พลางกล่าวเสริมทำนองยั่วยุผู้เป็นแม่อีกว่า "ถ้าเป็นลูกคุณแม่จริง ทำไมความคิดความอ่านถึงไม่เหมือนกับพวกเราเลย..." แล้วก็แกล้งบ่นเสียงเบา แต่ก็ยังลอยเข้าหูรำพึงที่อยู่ใกล้ ๆ อยู่ "...ชอบทำตัวแปลกแยกมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว"
เท่านั้นเอง สายตาอันเกรี้ยวกราดก่อนหน้าของรำพึงก็เริ่มแปรเปลี่ยนมาเป็นสายตาแห่งความคลางแคลงใจทันที รำพึงเริ่มมองหญิงสาวที่อยู่ในฐานะบุตรสาวคนเล็ก ด้วยปมแห่งความไม่ไว้วางใจมาตลอดเวลาอีกแล้ว
และนั่น ก็เป็นการกระทำที่คอยตอกย้ำความจริงที่ยิ่งกว่าเจ็บ เพราะพะนอขวัญเคยคิดว่า หากมีมีดนับร้อยเล่มพันเล่มเฉือนลงมาที่ดวงใจหล่อนพร้อมกันทีเดียว ยังไม่เจ็บปวดทุรนทุรายเท่ากับการได้รับสายตาคลางแคลงใจว่าหล่อนอาจจะไม่ใช่เลือดเนื้อของผู้เป็นแม่!
และก็เห็นได้ชัดว่า หลังจากมองลูกสาวคนนี้ด้วยแววตาห่างเหิน เคลือบแคลง รำพึงก็เริ่มขยับตัวเข้ามาใกล้ลูกสาวคนรอง เพื่อทิ้งระยะให้ห่างจากหญิงสาวที่อยู่ในฐานะลูกคนเล็กให้มากขึ้น เหมือนได้เว้นระยะทางแห่งความสงสัยอีกด้วยนั่นเอง
จากนั้นจึงเบือนหน้าไปดูผู้ชายร่างสูง ผมเผ้ารุงรัง หน้าตาเต็มไปด้วยหนวดเคราด้วยแววตาขยะแขยง แล้วก็เอ่ยปากว่าสำทับอีกว่า "ไล่มันไปให้พ้นจากบ้านนี้โดยเร็ว ถ้าไม่อย่างนั้น ฉันจะกลับมาจัดการกับแกอีก นังลูกตัวดี!"
"ค่ะ ขวัญจะให้เขากลับไปให้เร็วที่สุด" หล่อนก้มหน้ารับคำ น้ำตารินไหล หล่อนจำต้องทำตามท่านเพื่อตัดเรื่อง ตัดปัญหา อีกประการอย่างไรเสียชาย หนุ่มผู้บ้าใบ้คนนี้ก็หายจนสามารถกลับมาช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว
เมื่อพะนอขวัญรับคำแล้ว รำพึงและลูกสาวคนรองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก นอกจากกราดสายตามองไปทางนางช้อยและนายชดราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเท่านั้น ก่อนจะหันไปไล่ชายหนุ่มแปลกหน้าคนเดียวต่อ "ได้ยินแล้วใช่มั้ย อย่าให้ฉันเห็นหน้าแกที่นี่อีกเชียว!"
แล้วจึงสะบัดหน้าไปบอกลูกสาวอีกคนว่า "กลับ...ลูก"
"ค่ะแม่" สกาวใจรับคำมารดาด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ก่อนจะหมุนตัวเดินตามผู้เป็นแม่ไปอีกคน
เมื่อเหตุการณ์ดำเนินผ่านไปแล้ว พะนอขวัญก็รีบเช็ดน้ำตา แล้วจำใจบอกผู้อาวุโสทั้งสองที่ยืนมองหล่อนอย่างสงสารว่า "ลุงชด ป้าช้อย บอกนายใบ้ด้วยว่า ให้เขากลับไปได้แล้ว"
จากนั้นหล่อนก็รีบเดินหลบไปตั้งหลักที่อื่น