หลังจากที่ออกมาจากโรงพยาบาล จนมาถึงตอนนี้ก็ผ่านมาแล้วสองปี!
ตอนนี้ฉันก็อายุสิบเอ็ดปีแล้ว ฉันยังอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นและก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับมามี๊ทุกอย่าง โดยมีข้อแม้แค่อย่างเดียวคือ ฉัน ‘ต้องรัก’ พี่เคนให้มากที่สุด พอฉันถามมามี๊ว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้ ท่านก็จะยิ้มอบอุ่นกลับมาทุกครั้ง แล้วบอกกับฉันเสียงนุ่มว่า ‘เมื่อหนูแพรโตแล้วหนูจะเข้าใจทุกอย่าง’
แรกๆฉันก็สงสัยพอเวลาเคลื่อนผ่านไป ฉันก็เริ่มปล่อยวางกับคำถามที่เคยถามมามี๊ ก่อนจะทำหน้าที่ของฉันตามสัญญาที่ให้ไว้กับท่าน ทุกคนในบ้าน ‘ยามาดะ’ นั่นใจดีกับฉันทุกคนโดยเฉพาะ ‘คุณปู่’ ท่านชอบเอาขนมมาให้ฉันกินทุกครั้งเมื่อเรามีโอกาสไปเยี่ยมท่านที่ต่างจังหวัด
อ้อ...เกือบลืมเล่าไป หลังจากที่ฉันตกลงจะเป็น ‘ลูกบุญธรรม’ ของมามี๊และแด๊ดดี้แล้วพวกท่านก็ดำเนินการเอกสารและข้อมูต่างๆเกี่ยวกับตัวฉันอยู่ประมาณเกือบหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเก้าเดือนได้แหละ...อันที่จริงเรื่องคงไม่จบเร็วแบบนี้ แต่มามี๊บอกว่าท่านใช้ ‘อิทธิพล’ ของตระกูลเราเข้าช่วย เรื่องทุกอย่างจึงจบเร็วแล้วไม่เกิดปัญหา แต่ท่านยังบอกอีกว่าเรื่องแบบนี้ไม่ควรเรียนแบบ แต่ที่ท่านทำเพราะต้องการไม่ให้เรื่องยุ่งยากจนเกินไป...
ฉันเลยเปลี่ยนจาก ‘แพรพรรณ บุญฐจักษ์’ เป็น ‘แพรพรรณ ยามาดะ’ อย่างไม่มีทางเลี่ยงฉันไม่เข้าใจหรอกนะว่าทำไมต้องเปลี่ยนนามสกุล แต่แด๊ดดี้บอกว่าสิ่งนี้มันจำเป็น ถ้าไม่ทำก็เหมือนไม่ใช่คนของ ‘ยามาดะ’ อย่างสมบูรณ์
“วันนี้เปิดเทอมวันแรก อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย” ทายสิใครเป็นคนตั้งคำถามนี้กับฉัน
ติ๊กต๊อก! ติ๊กต๊อก! ติ๊กต๊อก! เฉลยเลยดีกว่า...
“อะไรก็ได้ค่ะพี่เคน แพรกินได้ทุกอย่างพี่เคนของแพรทำอะไรก็อร่อยไปหมด” ฉันบอกอย่างประจบแต่คนตัวสูงกลับรู้ทันฉันตลอด
“ฉลาดพูดนะเรา ตอนเรียนฉลาดแบบนี้หรือเปล่าเนี่ย” มือเรียวสวยเอื้อมมาขยี้ผมฉัน ก่อนจะลุกไปเตรียมกล่องข้าวให้ฉันเหมือนทุกครั้ง ที่ฉันต้องไปโรงเรียน
“...อืม แพรคงฉลาดไม่เท่าพี่เคนหรอกค่ะ” ถึงฉันกับพี่เคนจะรู้จักกันได้แค่สองปี แต่ฉันก็สามารถเข้ากับเขาได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเราสองคนคอยปรับตัวเข้าหากัน อย่างที่คุณปู่บอกหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ...รู้แต่ว่าฉันรู้สึกอบอุ่นทุกครั้ง ที่มีพี่เคนคอยดูแลถามอย่างเป็นห่วง ฉันรู้สึกปลอดภัยเวลาที่ฉันที่มีพี่เคนอยู่ใกล้ๆ
“พี่เคนค่ะ วันนี้พี่เคนไปส่งหนูที่โรงเรียนหน่อยได้ไหม” ฉันบอกเสียงอ้อน ในขณะที่เดินไปสวมกอดร่างสูงราวกับนายแบบนิตยาสารของพี่เคน ก่อนจะใช้ใบหน้าที่ใครก็บอกน่ารักถูไถแผ่นหลังพี่เคนอย่างออดอ้อน ให้มันรู้ไปสิว่าพี่เคนจะทนลูกอ้อนของน้องสาวคนนี้ได้
“วันนี้มาแปลกอ้อนพี่แต่เช้า อยากได้อะไรหรือเปล่า?” นอกจากพี่เคนจะไม่ตอบรับแล้ว ยังถามกลับมาก่อนจะสนใจกับกล่องข้าวน่าตาน่ารักตรงหน้าเขาต่อไปอีก เมื่อเห็นดังนั้นฉันเลยมุดหน้าเข้าไประหว่างแขนเรียวที่กำลังเตรียมกับข้าว ก่อนจะบอกเขาเสียงหวาน
“ไม่มีอะไรนี่ค่ะ แพรแค่อยากให้พี่เคนไปส่งที่โรงเรียน”
“แน่ใจนะว่าไม่มีอะไร” เสียงทุ้มถามฉันกลับมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะก้มหน้ามามองฉัน ละความสนใจจากกล่องข้าวของฉันหลังจากเตรียมกับข้าวเสร็จ
“ค่ะ...อีกไม่กี่เดือนพี่เคนก็จะไม่อยู่แล้ว แพรอยากใช้เวลาอยู่กับพี่เคนให้นานที่สุดค่ะ” ในที่สุดฉันก็บอกความจริงกับพี่เคนออกไปเสียงเศร้า ก่อนจะใช้มือจิ้มแขนพี่เคนเล่น
“หืม...หมายถึงพี่จะต้องไปเรียนต่อที่มหาลัยใช่มั้ย?”
“ค่ะ...แพรต้องเหงาแน่ๆเลย ไม่มีพี่เคนอยู่คุยกับแพรแล้วด้วย” ฉันกัดริมฝีปากตัวหลังจากที่พูดจบ
“เด็กโง่ พี่แค่ไปเรียน...วันไหนหยุดพี่ก็กลับมาหาหนูแพรก็ได้ หรือไม่ถ้าเหงามากนักหนูแพรก็โทร.หาพี่สิครับ วิดีโอคอลก็ได้นี่ เดี๋ยวนี้โลกเราพัฒนาไปไกลแล้วนะไม่รู้เหรอ” ประโยคนี้พี่เคนบอกกับฉันก่อนจะโอบกอดฉันจากทางด้านหลัง ก่อนจะโยกตัวไปมาราวกับปลอบโยนฉัน
“...ก็ได้ค่ะ แพรจะใช้เวลาอยู่กับพี่เคนให้นานที่สุด” บอกออกไปแล้วฉันก็หันไปหอมแก้วสากของพี่เคน ก่อนจะหันกลับไปกอดร่างสูง ใช้หน้าแนบไปกับอกของพี่เคนจนได้ยินเสียงหัวใจของเขาดังอย่างสม่ำเสมอ
“หนูแพรพูดอย่างกับพี่จะจากเราไปไหนอย่างนั้นแหละ” พี่เคนพูดกับฉันอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะสนใจข้าวกล่องของตัวเองต่อ หลังจากที่จัดของฉันเสร็จแล้ว “วันนี้พี่เอานมใส่ไปให้เรา อย่าลืมเจาะดื่มนะ”
“ค่า...พี่ชายใครเนี่ย น่ารักจัง”
ฉันบอกกับพี่เคนไปตามความรู้สึก ก่อนจะหอมแก้มสากซ้ายขวาของเขาเป็นการให้รางวัล เป็นแบบนี้เสมอเมื่อเขาทำอะไรให้ถูกใจ ฉันจะให้รางวัลกับเขาแบบนี้เสมอ จนใครที่ได้เห็นเราทำแบบนี้ด้วยกันบ่อยๆ ชอบบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็น ‘พี่น้องที่น่ารัก’ และ ‘น่าอิจฉา’ ในเวลาเดียวกัน