ความบังเอิญเกิดขึ้นง่ายในโลกนี้
สุดยินดีที่ได้พบประสบหมาย
เด็กตัวน้อยเคยเอ็นดูอยู่มิคลาย
แสนดีใจที่ได้เป็นเช่นครอบครัว
"มาทำไมแต่เช้าล่ะ"
ปราบเซียนค้อมหัวให้คนอายุมากกว่าทั้งสองคน พ่อแม่ของเจ้าสาวก็ไม่ต่างจากพ่อแม่เขาสักเท่าไหร่ ตอนเช้าจะชอบมานั่งในห้องรับประทานอาหาร แม่นั่งจิบชากินขนมอะไรก็ว่าไป ส่วนพ่อก็ดื่มกาแฟพร้อมกับหนังสือพิมพ์ในมือ ครอบครัวเรามีอะไรที่คล้าย ๆ กัน นี่สินะถึงเรียกว่าคู่แท้
"เซียนรีบมาหาลูก"
"น้องข้าวยังไม่ตื่น"
"เหมือนเราจะเห่อลูกเลยนะปราบเซียน"
ปราบเซียนส่งยิ้มให้คุณรัศมี เรื่องนี้เขาเถียงไม่ได้ เพราะเขาเห่อลูกจริง
"คือว่าเซียน..."
มือหนาล้วงหยิบพวงมาลัยออกมาจากถุงกระดาษ ความจริงแล้วเขานั่งรถผ่านตรงที่มีพวงมาลัยขายบ่อย ๆ แต่ไม่เคยสนใจเลย จนกระทั่งเมื่อเช้านี้ที่เขาเหลือบไปเห็นความคิดบางอย่างจึงได้ผุดขึ้นมา และเป็นเหตุให้ปราบเซียนสั่งให้เต๋าหยุดรถเพื่อที่จะได้ลงไปซื้อพวงมาลัยมาหนึ่งพวง
ไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตนี้จะได้มาทำอะไรแบบนี้ แต่ถ้าทำคงไม่เสียหาย เพราะถือว่าอย่างไรเสียเขาก็ได้ขอขมาผู้หลักผู้ใหญ่จากเหตุการณ์ที่ผิดพลาดในอดีตแล้ว
"เซียนทำผิดพลาด อาจจะไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วเซียนขอรับผิดชอบทุกอย่าง เซียนขอโทษที่หลายปีที่ผ่านมาปล่อยให้ลูกสาวของท่านต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพัง ขอโทษที่เซียนปล่อยให้เจ้าสาวเผชิญกับปัญหาทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว นั่นเพราะเซียนไม่รู้ แต่วันนี้เซียนรู้แล้ว นับแต่นี้ต่อไปเซียนจะไม่ปล่อยให้เจ้าสาวกับลูกดำเนินชีวิตเพียงสองคนอีก เซียนขอให้ท่านทั้งสองอภัยให้เซียนได้หรือไม่"
คนอายุมากกว่าทั้งสองคนหันมองหน้ากัน ความจริงก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าปราบเซียนจะทำแบบนี้ คนผู้นี้คาดเดาอะไรในตัวเขาไม่ได้เลย เหมือนจะไม่สนโลก แต่บางคราปราบเซียนก็ทำเหมือนกับว่าเขากำลังแคร์ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ความรู้สึกของคนอื่นปราบเซียนก็ไม่ได้มองข้าม
"ความจริงเจ้าสาวก็ไม่เคยบอกว่าใครคือพ่อของลูก ฉันเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่าความเป็นมาของเรื่องมันเป็นยังไง แต่ในเมื่อทำผิดแล้วรู้จักขอโทษ หากเราจะให้อภัยมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก"
คุณรัศมียื่นมือมารับพวงมาลัยกับคนที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนพื้นแทนสามี
"แต่อย่าทำให้เจ้าสาวเสียใจอีกแม้แต่ครั้งเดียว หรือถ้าน้องข้าวจ้าวมีแผลเพราะคุณละเลยความใส่ใจแล้วล่ะก็ บทลงโทษคือคุณจะไม่มีวันได้เห็นหน้าพวกเขาทั้งสองคนอีก"
ปราบเซียนน้อมรับอย่างเต็มใจ ด้วยชีวิต จากนี้ไปเขาจะดูแลทั้งสองคนด้วยชีวิต แม้ว่าเจ้าสาวจะยังไม่เต็มใจกับการที่มีเขาเข้ามาวุ่นวายในชีวิตก็ตาม
"ปะปี๊ทำอะไรคะ"
เด็กน้อยผู้มาใหม่วิ่งเข้ามาหาคนที่นั่งอยู่บนพื้นทันทีที่เห็นว่าเป็นเขา และยิงคำถามด้วยความสงสัย
"แบบนี้เรียกว่าขอขมาค่ะ"
"ขอทำไมคะ"
"ขอขมาก็คล้ายกับขอโทษค่ะ ปะปี๊ทำผิดเลยต้องขอโทษ"
ปราบเซียนอธิบายให้ลูกสาวเข้าใจ
"แล้วคุณตาปะป๊ากับคุณยายหม่าม๊าให้อภัยปะปี๊ไหมคะ"
เด็กน้อยหันไปมองตากับยายตาแป๋ว และได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้ากลับมาเบา ๆ จากท่านทั้งสอง
ปราบเซียนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หันซ้ายหันขวามองหาอีกคนที่คาดว่าน่าจะอยู่แถวนี้ แต่ก็ไร้วี่แวว
"มี๊ทำกับข้าวค่ะ"
ลูกสาวตัวน้อยเอ่ยบอกอย่างรู้ทัน จากนั้นก็จูงมือผู้เป็นพ่อให้เดินไปทางห้องครัว
ปราบเซียนพยักหน้าให้ลูกน้องเมื่อเดินออกมาจากห้องรับประทานอาหาร เต๋ายื่นช่อดอกไม้สีสดส่งกลิ่นหอมอบอวลให้กับเขาอย่างรู้งา
"มี๊ขา"
เจ้าสาวหันมามองลูกน้อยทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก แต่น้องข้าวไม่ได้มาคนเดียว มีปะปี๊ตัวใหญ่เดินตามมาด้วย มาแต่เช้าเชียวนะ
"มี๊ทอดไส้กรอกแป๊บเดียวนะคะ อาหารของน้องข้าวใกล้จะเสร็จแล้ว"
เป็นแบบนี้ทุกวัน อาหารของผู้ใหญ่แม่ครัวจะเป็นคนทำ ส่วนอาหารของน้องข้าวจ้าว เจ้าสาวจะเป็นคนทำให้ลูกเองทุกมื้อ
"ของคุณ"
ปราบเซียนยื่นดอกไม้ในมือให้คนตรงหน้าด้วยอาการประหม่า ทำไมต้องมีอาการแบบนี้ด้วยนะทั้งที่อาการนี้เขาไม่เคยเป็นมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีการคล้ายกับว่าเขินอาย เพราะเจ้าสาวสวยมาก ถึงแม้ว่าจะอยู่ในชุดใส่อยู่บ้านสบาย ๆ ผมถูกเกล้าขึ้นแล้วมัดเป็นมวยไว้ลวก ๆ แต่ช่างดูดีเหลือหลาย
ใบหน้าเนียนใสไร้เครื่องสำอาง แต่งแต้มเพียงลิปสติกสีชมพูอ่อนเพียงเท่านั้น แต่กระนั้นริมฝีปากที่เขาจงใจแกล้งจุ๊บเมื่อคืนก็ยังอวบอิ่มอย่างคนสุขภาพดี และปราบเซียนก็รู้ว่านุ่มนิ่มเพียงใด
"เจ้าทำอาหารอยู่"
"แล้วรับไม่ได้เลยเหรอ"
"ไม่ค่ะ"
น้อยใจได้มั้ยนะ ปราบเซียนเม้มปากแน่น อุตส่าห์ตั้งใจหามาให้ แต่เจ้าตัวกลับไม่รับซะงั้น อดทนไว้หน่อยปราบเซียน จีบเจ้าสาวไม่ยากขนาดนั้นหรอก ยังไงก็มีลูกด้วยกันแล้ว
ท่องไว้ว่าน้ำหยดลงหินทุกวัน หินยังกล้าที่จะปฏิเสธความรู้สึกเขาอยู่อีกหรือ
"ดอกไม้ของมี๊เหรอคะ"
"ใช่ค่ะคนเก่ง นี่นะคะ ปะปี๊น่ะไปเลือกมาเองกับมือเลย เพราะเห็นว่าดอกไม้สวย ๆ ต้องเหมาะกับมี๊คนสวยของหนูแน่ ๆ
ดอกไม้สีม่วงเสียด้วยสิ ปะปี๊แอบเห็นว่าห้องนอนของมี๊กับน้องข้าวเป็นสีม่วง เลยเลือกดอกไม้สีม่วงมา หวังว่ามี๊จะชอบแต่มี๊ก็ไม่เอา งั้นทิ้งก็ได้"
ปราบเซียนร่ายยาวเหยียด หวังว่าเจ้าสาวจะได้ยินนะ ปราบเซียนใช้มารยาด้วยการบีบเสียงตัวเองให้เล็กลงคล้ายกับว่าน้อยใจหนักหนา
"มี๊ไม่รับดอกไม้เหรอคะ สวยมากค่ะ หอมด้วย"
"มี๊ทอดไส้กรอกอยู่ค่ะ"
"อย่ากวนมี๊เลยค่ะ เราออกไปข้างนอกกันเถอะ"
ปราบเซียนแกล้งทำสีหน้าและน้ำเสียงให้ดูสลดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เจ้าสาวจะใจดำขนาดนั้นเลยหรือ
"มี๊ขา"
"..."
"น้องข้าวอยากรับแต่ปะปี๊เอามาให้มี๊"
เด็กน้อยมองดูดอกไม้ในมือของปะปี๊ที่ถูกจ่อไว้ตรงถังขยะด้วยแววตาละห้อย
"งั้นปะปี๊ให้น้องข้าวก็ได้ค่ะ ค่อยเอามาให้มี๊ใหม่"
"ดอกไม้สำหรับคนสวยของปะปี๊ค่ะ"
จากที่จะทิ้ง ปราบเซียนนำดอกไม้ช่อนั้นกลับมาอีกครั้งหนึ่ง น้องข้าวยิ้มให้กับดอกไม้แล้วยื่นมือไปรับด้วยความดีอกดีใจ
"สวยจังเลยค่ะ หอมด้วย"
"ตอนนี้สายแล้ว เดี๋ยวตอนเย็นปะปี๊มาใหม่นะคะแล้วเราไปทานข้าวนอกบ้านกัน"
"ปะปี๊จะไปทำงานเหรอคะ"
"ใช่ค่ะ"
"น้องข้าวอยากไปด้วย"
เจ้าสาววางไส้กรอกไว้ในจาน ตอนนี้เธอทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้เวลารับประทานอาหารเช้าของลูกสาว แต่เหมือนว่าน้องข้าวจะไม่ได้สนใจเธอเลยสักนิดเดียว
"ไปไม่ได้ค่ะ น้องข้าวต้องทานข้าวนะลูก"
"ปะปี๊"
เด็กน้อยวางช่อดอกไม้ที่รับจากเขาเมื่อครู่ไว้ตรงพื้น มือเล็กเปลี่ยนจากกอดดอกไม้มาเป็นกอดขาเขาแทน
"น้องข้าวไม่เชื่อฟังคุณมี๊เหรอคะ"
"น้องข้าวเชื่อค่ะ แต่ว่าน้องข้าวอยากไปกับปะปี๊"
"ไม่ได้นะคะ ปะปี๊ไปทำงาน"
"ทานข้าวเสร็จน้องข้าวจะไปกับปะปี๊ ปะปี๊รอน้องข้าวได้มั้ยคะ"
ลูกน้อยมองหน้าอย่างอ้อนวอน น้องข้าวทำท่าทางเหมือนจะร้องไห้ ปราบเซียนจึงก้มลงอุ้มลูกสาวแล้วกอดเอาไว้คล้ายปลอบประโลม
"ให้ลูกไปเถอะ"
"ไม่ค่ะ"
"คุณอย่าบังคับลูกได้มั้ย เห็นรึเปล่าว่าลูกกำลังจะร้องแล้ว"
"เจ้าไม่ได้บังคับ"
น้องข้าวกอดคอปะปี๊ไว้แน่นไม่ยอมปล่อย นั่นก็เป็นการตอบคำถามได้ดีแล้ว ว่าลูกอยากไปกับเขา
"คุณไปกับลูกก็ได้ เดี๋ยวตอนบ่ายเซียนก็ไปบริษัทคุณ ค่ำไปทานอาหาร แล้วเซียนจะกลับมาส่ง"
เจ้าสาวเม้มปากแน่นอย่างขัดใจ เธอจะชนะเขาไม่ได้เลยหรือยังไงกัน น้องข้าวเองก็ไม่ฟังเธอแล้ว ดูเหมือนจะชอบแท็กทีมกับปะปี๊เป็นพิเศษ
"ให้มี๊ไปแต่งตัว ส่วนน้องข้าวก็ไปทานอาหารมั้ยคะ"
"ดีค่ะปะปี๊"
สุดท้ายแล้วก็เป็นฝ่ายเจ้าสาวที่ต้องยอมแพ้ ทำไมเธอต้องยอมไปน่ะเหรอ ก็เพราะกลัวลูกสาวไม่มีคนดูแลน่ะสิ เพราะดูท่าแล้วยังไงน้องข้าวก็จะไปกับเขาให้ได้เลย เจ้าสาวเองก็ไม่อยากขัดใจให้ลูกร้องไห้ ถือโอกาสเข้าบริษัทวันนี้เลยละกัน ทั้งที่ความจริงเธอต้องเรียนรู้งานก่อนและผู้เป็นพ่อก็บอกว่าจะให้เริ่มในอาทิตย์ เข้าไปดูก่อนคงไม่เสียหายอะไร
ถึงปราบเซียนจะเป็นพ่อ แต่เธอก็ไม่วางใจว่าเขาจะสามารถดูแลลูกได้เป็นอย่างดีหรอกนะ
"เรื่องเมื่อคืนยังไม่เคลียร์นะ"
เมื่อจัดอาหารใส่จานเรียบร้อยแล้ว เจ้าสาวก็หันมาพูดกับเขา ดวงตากลมโตมองปราบเซียนราวจะกินเลือดกินเนื้อ และเจ้าสาวก็ไม่ทันได้ระวัง เท้าเล็กเหยียบลงบนช่อดอกไม้ที่ลูกสาววางไว้ตรงพื้นอย่างจัง
เสียงกรอบแกรบดังขึ้น และดอกไม้บางดอกก็หลุดออกจากช่อมานอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นเสียแล้ว
ปราบเซียนมองดูด้วยความเสียดาย เขารู้ว่าเจ้าสาวไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็อดที่จะเสียใจไม่ได้ ช่อดอกไม้สีม่วงช่อแรกที่เขาตั้งใจนำมาให้ โดนเหยียบเละไม่มีชิ้นดีเสียแล้ว
เจ้าสาวมองดูพื้นตรงที่ตนเหยียบลงเมื่อครู่ ให้ตายสิ เธอไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้ อยากขอโทษเขาแต่เธอก็ปากหนักเกินกว่าจะเอ่ย ทำได้เพียงก้มลงเก็บเศษดอกไม้พวกนั้นขึ้นมาแล้วนำมันไปทิ้งลงในถังขยะ คราวนี้แหละดอกไม้ช่อนั้นก็ได้ลงไปนอนอยู่ในถังขยะอย่างแท้จริง
ไม่เป็นไร ปราบเซียนปลอบใจตัวเอง นี่เป็นแค่ช่อแรก ช่อต่อไปต้องมีอีกอยู่แล้ว และถึงแม้ว่าเจ้าสาวจะไม่รับ ช่อต่อไปเจ้าสาวก็ต้องรับอยู่ดี ต้องมีสักช่อแหละน่า อย่าเสียใจไปเลยปราบเซียน
สายตามองตามคนตัวเล็กที่เดินออกจากห้องไปอย่างแสนเสียดาย จีบเจ้าสาวทำไมมันดูยากเย็นจัง อาจเพราะเธอไม่ต้องการใครเลยล่ะมั้ง อาจเพราะเจ้าสาวอยู่กับลูกสองคนแล้วมีความสุขมาก มากจนไม่สนใจใคร แต่แม้ว่าการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเจ้าสาวจะยากเย็นขนาดไหนปราบเซียนก็ต้องทำให้ได้ เพราะเขาเองก็อยากมีความสุขไปพร้อม ๆ กับเธอและลูก นี่คือเป้าหมายใหม่ที่ปราบเซียนเพิ่งคิดได้เมื่อไม่กี่วันก่อน และเขาต้องทำให้ได้หากเขาอยากมีเจ้าสาวและลูกเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปตลอดชีวิต
"ปราบเซียน"
คุณบุษยาถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานของปราบเซียน หน้าห้องไม่มีเลขาอยู่ท่านจึงเข้ามาโดยไม่บอกกล่าวก่อน แต่ถึงเลขาจะอยู่แล้วทำไมเข้าจะมาไม่ได้ล่ะ ท่านเป็นถึงแม่ของประธานบริษัทเชียวนะ
ผู้เป็นแม่หวังจะมาคุยกับลูกให้รู้เรื่อง เมื่อเช้านี้ปราบเซียนรีบออกจากบ้านไปโดยที่ไม่อธิบายอะไรให้กระจ่าง จุดประสงค์ที่มาที่นี่จึงมาเพื่อเคลียร์ปัญหาทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องลูกและเมียที่ปราบเซียนเกริ่นมาเมื่อเช้า
"ปราบเซียน มาเคลียร์กับแม่ให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้เลยนะ"
"..."
"หนู"
ทันทีที่ประตูเปิดออก ภาพที่คุณบุษยาเห็นคือสองแม่ลูกที่นั่งอยู่บนโซฟา คนลูกดูเหมือนว่ากำลังเพ่งสมาธิกับการระบายสีลงในสมุดอย่างขะมักเขม้น ส่วนคนแม่ก็กำลังจ้องมองแผ่นกระดาษปึกใหญ่ในมือที่ดูแล้วคล้ายว่าจะเป็นเอกสารอะไรบางอย่างเสียมากกว่า เป็นสองแม่ลูกที่คุ้นตาและท่านก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี
"คุณป้า คุณย่า"
สองแม่ลูกหันมาตามเสียงเรียกของผู้มาใหม่ แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นลูกค้าขาประจำเมื่อครั้งร้านอาหารของเธอยังมีอยู่ปรากฏกายขึ้นที่นี่
แม้จะงวยงงแต่คุณบุษยาก็ไม่ลืมที่จะยกมือรับไหว้คนอายุน้อยกว่าทั้งสองคนตรงหน้า
ปราบเซียนไม่อยู่ที่นี่ มีเพียงสองแม่ลูกนี้แทน คุณบุษยาตาโตเมื่อนึกขึ้นได้ เมื่อเช้าปราบเซียนบอกว่ามีลูกมีเมียแล้ว และลูกก็อายุสี่ขวบ หากปะติดปะต่อเรื่องราวตามที่ปราบเซียนเล่าเข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบันที่มีสองแม่ลูกนั่งอยู่ตรงหน้าก็แสดงว่า...
"หนูเจ้าเป็นเมียปราบเซียนเองหรอกหรือลูก"
"เอ่อ...คือ"
เจ้าสาวอึกอัก นี่คือแม่ของปราบเซียนเองหรอกหรือ ไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ ว่าลูกค้าขาประจำที่ไปรับประทานอาหารที่ร้านเธอทุกครั้งในขณะที่เจ้าสาวเปิดร้านอาหารอยู่ที่ประเทศอังกฤษจะเป็นแม่ของปราบเซียน โลกใบนี้จะกลมเกินไปแล้วนะ
"คุณย่าบุษ"
"ว่าไงจ๊ะน้องข้าว คิดถึงจังเลย"
คนอายุมากกว่าอ้าแขนออกรอกอดเด็กหญิงตัวเล็กที่กำลังวิ่งเข้ามาหา ความจริงแล้วท่านคุ้นเคยกับสองแม่ลูกนี้ดี เพราะทุกครั้งที่มีโอกาสได้เดินทางไปประเทศอังกฤษ ร้านอาหารของเจ้าสาวจะเป็นสถานที่ที่ท่านและเพื่อนหรือสามีไปฝากท้องไว้เสมอ และทุกครั้งก็สุดแสนจะประทับใจ เนื่องจากอาหารที่เจ้าสาวเป็นคนลงมือทำเองอร่อยมาก
ร้านอาหารของเจ้าสาวเป็นร้านอาหารเล็ก ๆ มีโต๊ะนั่งเพียงไม่กี่โต๊ะเท่านั้น พนักงานที่ร้านบริการดี และเจ้าสาวจะเป็นคนลงมือทำอาหารเองทุกครั้ง
ไม่แปลกที่คุณบุษยาจะสนิทกับสองแม่ลูก ท่านสงสัยแต่ก็ไม่เคยเอ่ยปากถาม ว่าพ่อของน้องข้าวจ้าวไปไหน เนื่องจากไม่เคยเห็นหน้าคร่าตาเลย
วันนี้ได้รู้แล้วว่าพ่อของน้องข้าวจ้าวก็คือปราบเซียนลูกของท่านเอง แต่ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ท่านไม่เคยรู้เลยว่าปราบเซียนมีภรรยา และไม่เอะใจเลยสักนิดว่าภรรยาของลูกก็คือเจ้าสาว คนที่ท่านเคยพบเจอบ่อย ๆ และสุดแสนจะเอ็นดูทั้งแม่และลูก ต้องมีสักคนเล่าให้ท่านฟัง และคนนั้นก็ต้องเป็นปราบเซียน
"น้องข้าวก็คิดถึงคุณย่าค่ะ"
"ปากหวานเชียว"
"มี๊ขายร้านอาหารแล้วค่ะ"
"ทำไมล่ะลูก"
คุณบุษยาเอามือทาบอกเมื่อได้ยินสิ่งที่เด็กหญิงตัวเล็กเอ่ยบอก คราวนี้คุณบุษยาหันมาถามเจ้าสาวบ้าง
"ที่บ้านมีปัญหานิดหน่อยค่ะ"
"แล้วกลับมาอยู่ที่นี่ถาวรเลยเหรอ"
"ใช่ค่ะคุณป้า"
คำถามมากมายไหลเวียนอยู่ในหัว แต่คุณบุษยาก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ แม้จะอยากรู้มากมายเพียงใดก็ตาม อีกเหตุผลหนึ่งก็คือน้องข้าวยังอยู่ที่นี่ด้วยนั่นเอง คงไม่เหมาะสักเท่าไหร่หากจะพูดคุยเรื่องผู้ใหญ่ต่อหน้าเด็ก
"ปราบเซียนไปไหนล่ะหนูเจ้า"
"เห็นว่าไปที่แผนกการตลาดนะคะ คงมีบางอย่างที่มีปัญหา"
"แม่ต้องรอสินะปราบเซียน"
คุณบุษยาเดินมาลงตรงกันข้ามกับที่ที่เจ้าสาวนั่ง โดยที่มือท่านกอบกุมมือน้อยของเด็กหญิงให้เดินตามมาด้วย
"ไหนดูสิคะ ไม่เจอสามสี่เดือนโตขึ้นเป็นกองเลยนะเรา"
"น้องข้าวกินนมเลอะค่ะ คุณมี๊บอกว่ากินนมเลอะจะได้โตเร็ว"
ได้ยินดังนั้นคนอาวุโสก็หัวเราะร่วน ไม่ต่างกับเจ้าสาวที่ก็อมยิ้มเอ็นดูลูกน้อยเช่นเดียวกัน
"เยอะค่ะ ไม่ใช่เลอะ"
"ค่ะ เลอะ"
"เยอะค่ะน้องข้าว"
"ไหนหนูลองพูดช้า ๆ สิคะ"
"เยอะ เยอะค่ะ"
"เก่งจังเลยหลานย่า"
คุณบุษยาคว้าคนที่ยืนอยู่ไปกอด แถมด้วยการหอมแก้มไปฟอดใหญ่ ๆ ซึ่งน้องข้าวเองก็ยอมให้หอมอย่างไม่อิดออดเลยสักนิดเดียว
โชคดีหรือไม่ก็ไม่รู้ที่แม่ของปราบเซียนรู้จักมักคุ้นกันอยู่แล้ว หากไม่ได้รู้จักกันหรือเป็นเหมือนแม่สามีในละครเธอคงปวดหัว และคงจะไม่มีทางอนุญาตให้ลูกสาวไปนอนบ้านเขาเป็นแน่ อีกอย่างเธอเองก็ไม่ได้รักกับปราบเซียน ก็แค่มีลูกด้วยกันเพียงเท่านั้น หากมีเรื่องแม่สามีมาเป็นอุปสรรคในชีวิตอีกหนึ่งเรื่องแล้วล่ะก็ รับประกันได้เลยว่าเจ้าสาวจะไล่ให้ปราบเซียนกลับบ้านไปเคลียร์กับแม่ของเขาให้เรื่องทุกครั้งที่ปราบเซียนมาเจอลูกแน่ ๆ
"แม่"
เป็นปกติที่ทุกเช้าปราบเซียนจะลงไปตรวจดูความเรียบร้อยของแผนกต่าง ๆ วันนี้เป็นคิวของแผนกการตลาด เขาต้องลงไปพูดคุยและให้กำลังลูกน้องในการทำงาน มันเป็นนโยบายของบริษัทเขา เพื่อที่จะได้ทำงานกันอย่างเข้มแข็ง และอยู่กันอย่างครอบครัว ผู้บริหารต้องใกล้ชิดกับลูกน้องพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเป็นกันเอง การงานถึงจะได้ดำเนินต่อไปอย่างรวดเร็วและพัฒนาอย่างก้าวกระโดดทั้งคน ทั้งงาน
แต่พอกลับขึ้นมาก็พบว่าในห้องไม่ได้มีเพียงสองแม่ลูก แต่มีแม่ของเขานั่งอยู่ด้วย และกำลังกอดลูกสาวเขาอยู่ อะไรกันเนี่ย ปราบเซียนงวยงง
"ปราบเซียน"
"แม่จะมาทำไมไม่บอกเซียนล่ะ มานานรึยังเนี่ย"
ปราบเซียนสาวเท้าเข้ามาหามารดา เขาเลือกนั่งลงยังฝั่งตรงข้ามกับผู้เป็นแม่ ซึ่งนั่นก็คือฝั่งเดียวกันกับที่เจ้าสาวนั่งนั่นเอง
"มานี่เลย"
แต่ยังไม่ทันที่จะได้นั่งลงให้เรียบร้อย มือที่เริ่มเหี่ยวย่นของมารดาก็ยื่นมาจับหมับเข้าที่ใบหูของเขา จากนั้นก็บิด บิด บิดเหมือนรถมอเตอร์ไซค์ไม่มีผิด
"โอ๊ยแม่ เซียนเจ็บ"
แม่เขาจะมาใช้ความรุนแรงกับเขาต่อหน้าลูกไม่ได้นะ
"ทำไมไม่บอกแม่ให้นานกว่านี้ฮะปราบเซียน"
"เซียนก็เพิ่งรู้"
"อะไรนะ"
"เซียนเองก็เพิ่งรู้ว่ามีลูกมีเมีย"
"ใช้ได้ที่ไหนกันปราบเซียน"
"แม่ปล่อยก่อนเดี๋ยวเซียนอธิบายให้ฟัง เซียนเจ็บนะแม่ อีกอย่างลูกเซียนก็อยู่ที่นี่ด้วย เด็กไม่ควรเห็นอะไรแบบนี้นะ"
"น้องข้าวหันไปทางอื่นก่อนลูก"
เดี๋ยวนะ เมื่อกี้นี้แม่เขาเรียกลูกเขาว่ายังไงนะ น้องข้าวงั้นหรือ ไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่
"แม่รู้จักลูกเซียนด้วยเหรอ"
"รู้จักดีเลยล่ะ"
รู้จักดีเลยหรือ เอาล่ะปราบเซียนเริ่มเชื่อแล้วว่าโลกใบนี้ช่างกลมดีแท้
"แม่เซียนขอร้อง ปล่อยก่อนนะเซียนเจ็บ"
"คุณย่าบุษเป็นปูเหรอคะ หนีบหูปะปี๊ด้วย"
คนเป็นคุณย่ารีบปล่อยมือจากหูของลูกทันที เพราะน้องข้าวอยู่ด้วยหรอกนะปราบเซียนจึงรอดไปได้
ทันทีที่เป็นอิสระ ปราบเซียนรีบยกมือมากุมหูตัวเองไว้ด้วยความเจ็บปวด แม่นะแม่ทำร้ายร่างกายเขาต่อหน้าลูกเมียได้อย่างไรกัน
ปราบเซียนส่งสายตาไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าสาว ซึ่งแม่ของลูกก็ทำเพียงนั่งนิ่งแถมยังส่งสายตาเยาะเย้ยกลับมาอีก เอาล่ะ ไม่มีใครคิดสงสารเห็นใจเขาเลยหรืออย่างไร นี่เขาเป็นผู้ถูกกระทำนะ ไม่รู้หรือไงว่าการถูกบิดหูมันเจ็บปวดแสนสาหัสขนาดไหน
"ปะปี๊เหรอคะน้องข้าว"
"ค่ะปะปี๊"
"น้องข้าวเรียกคุณปราบเซียนว่าปะปี๊น่ะค่ะคุณป้า"
"ไม่เคยได้ยินเลยแฮะ น่ารักจริงเชียวหลานย่า"
ปราบเซียนมองคนนี้ทีคนนั้นที เขายังไม่หายสงสัยเลยนะว่าทั้งสามคนไปสนิทกันตั้งแต่ตอนไหน
"แม่รู้จักลูกกับเมียเซียนได้ไง"
"เซียนเป็นฝ่ายที่ต้องตอบคำถามแม่นะ"
ปราบเซียนถอนหายใจหนักหน่วง มองสบตาเจ้าสาวเล็กน้อยเชิงขออนุญาต และเจ้าสาวก็ทำเช่นเดิม คือไม่สนใจเขาเลยสักนิดเดียว
"เดี๋ยวเย็นนี้เซียนเล่าให้ฟังได้มั้ยแม่ ตอนนี้มีลูกอยู่ที่นี่ด้วย เซียนคิดว่ามันไม่เหมาะจะเล่าเท่าไหร่"
"ก็ได้ แต่พรุ่งนี้หนูเจ้าบอกพ่อกับแม่หนูเตรียมตัวไว้นะลูก"
"ทำไมคะคุณป้า"
"พ่อกับแม่จะไปสู่ขอเราไง"
"คือเจ้า..."
คราวนี้เป็นฝ่ายเจ้าสาวที่หันมามองหน้าปราบเซียนบ้าง เธออยากให้เขาช่วยคุยกับแม่เรื่องนี้ให้ที เพราะเธอเองก็ยังไม่ได้รู้สึกกับปราบเซียนไปมากกว่าคนรู้จัก และการมีลูกด้วยกันก็ใช่ว่าจะต้องแต่งงานกัน
"เดี๋ยวก่อนแม่ อย่าเพิ่งไปเลย"
เจ้าสาวลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยเขาก็ไม่ดี๊ด๊าจนออกนอกหน้าที่พ่อแม่เขาเห็นด้วย ยังดีที่ปราบเซียนสนใจความรู้สึกเธออยู่
"ทำไมล่ะเซียน นี่น้องข้าวก็โตวันโตคืนแล้วนะ รีบแต่งงานกันดีกว่าแม่ว่า"
"เซียนกำลังจีบคุณเจ้าอยู่"
"อะไรนะ"
จีบอยู่งั้นหรือ ทั้งที่มีลูกด้วยกันแล้วเนี่ยนะ แบบนี้ยิ่งทำให้คุณบุษยาอยากรู้ความเป็นมาของสามคนพ่อแม่ลูกมากขึ้นไปอีก
"เซียนกำลังจีบคุณเจ้าอยู่ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ยังไงแม่ก็ได้คุณเจ้ามาเป็นลูกสะใภ้แน่นอน"
ปราบเซียนพูดพร้อมกับมองหน้าคนตัวเล็กที่ยังนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาไม่ไหวติง ซึ่งครั้งนี้ก็ได้รับเป็นการมองค้อนกลับมา
"ให้มันจริงเถอะ"
"ว่าแต่แม่รู้จักคุณเจ้าได้ไงเหรอ"
"แม่ไปทานข้าวร้านหนูเจ้าบ่อยตอนไปอังกฤษ"
"อ๋อ"
ปราบเซียนรู้อยู่แล้วว่าเจ้าสาวขายร้านอาหารทิ้งไปก่อนที่จะกลับมาอยู่ที่นี่ถาวร ลืมไปเลยว่าเจ้าสาวเคยมีร้านอาหาร และเขาเองก็ไม่ได้ถามความคิดเห็นของเจ้าสาวเลยสักนิด ว่าอยากจะเรียนรู้การบริหารเพื่อในวันข้างหน้าจะได้ก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารของบริษัทอย่างเต็มตัว หรือเจ้าสาวอยากที่จะมีร้านอาหารเล็ก ๆ เป็นของตัวเองเพียงเท่านั้น
"เซียนต้องไปบริษัทคุณเจ้าต่อ"
"อืม จะไปก็ไป แต่อย่าลืมว่าเย็นนี้ต้องเคลียร์กับแม่ ทุกประเด็น"
"รู้แล้วน่าแม่"
"ปราบเซียนไม่ได้รังแกหนูเจ้าใช่ไหมลูก"
"ไม่ค่ะคุณป้า"
ปราบเซียนทำหน้ายุ่ง เขาเนี่ยนะจะรังแกเจ้าสาว มีแต่เจ้าสาวล่ะสิไม่ว่าที่วัน ๆ จ้องแต่จะรังแกเขา
"มีแต่เจ้าสาวนั่นแหละที่รังแกเซียน"
"ดีมากเลยหนูเจ้า แม่รอคนที่ปราบปราบเซียนให้ราบคาบอยู่หมัดมานานแล้ว"
ดูเอาเถิดแม่เขา ไม่ทันไรก็เข้าข้างเจ้าสาวเสียแล้ว ดูเหมือนว่าเขากำลังจะตกกระป๋องล่ะ มีแววเป็นหมาหัวเน่าตั้งแต่วันแรกที่คนเป็นแม่ได้เจอกับลูกเมียเขาเลย นี่เซียนเป็นลูกแม่นะ