"ชอบแอร์เย็นมากมั้ย"
"ไม่ค่ะ"
เมื่อทั้งสามคนมานั่งอยู่บนรถคันเดียวกันปราบเซียนก็ไม่ลืมที่จะถามความเห็นของคนที่นั่งอยู่ตรงเบาะข้างคนขับโดยที่บนตักเจ้าสาวมีลูกน้อยนั่งอยู่
มือเรียวเอื้อมไปปรับอุณหภูมิแอร์ในรถให้อยู่ในองศาที่พอดีเขาเป็นชอบแอร์เย็นจัด แต่ว่าตอนนี้มีลูกกับเมียนั่งอยู่ด้วย เกรงว่าหากเปิดในอุณหภูมิที่เขาต้องการจะทำให้ลูกสาวหรือแม่ของลูกไม่สบายเอาได้
"คุณอาเต๋าล่ะคะปะปี๊"
น้องข้าวจ้าวถามหาเลขาของเขาซึ่งปกติเด็กน้อยจะเห็นว่าเวลาปะปี๊ไปไหนจะมีคุณอาเต๋าคอยตามไปด้วยตลอด แต่ครั้งนี้ไม่มี ด้วยความสงสัยและเป็นคนช่างสังเกตเด็กน้อยจึงได้ถามออกไป
"ปะปี๊ให้ทำงานอยู่ที่นี่ค่ะ"
"แล้วเราจะไปไหนคะ"
"ไปบริษัทคุณตาไงคะ ต้องพาคุณมี๊ไปเรียนรู้งาน"
"น้องข้าวเรียนด้วยได้ไหมคะปะปี๊"
"น้องข้าวต้องเรียนหนังสือก่อนนะคะ ไปวิ่งเล่นได้ แต่ศึกษาเอกสารกับมี๊ไม่ได้หรอกค่ะ น้องข้าวต้องโตเป็นผู้ใหญ่ก่อน"
"น้องข้าวอยากเรียนหนังสือค่ะ"
สองคนพ่อแม่หันมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย เจ้าสาวเลือกโรงเรียนไว้ให้ลูกเรียบร้อยแล้ว เป็นโรงเรียนของรุ่นพี่ที่รู้จักของเธอเอง รออีกประมาณเดือนกว่า ๆ ก็จะเปิดเทอม น้องข้าวก็จะได้เริ่มไปโรงเรียนจริงจังสักที เพราะที่ผ่านมามีแต่เธอคนเดียวที่คอยสอนลูก
"เดี๋ยวปะปี๊จะหาโรงเรียนให้นะคะ"
"เจ้ามีที่ที่จะให้ลูกเรียนแล้วค่ะ"
"โรงเรียนของคุณลุงสิงห์ค่ะ"
ปราบเซียนหน้าตึง สาเหตุแรกคือเจ้าสาวทำอะไรไม่ปรึกษาเขา ส่วนสาเหตุที่สองก็คือคำว่า "ลุงสิงห์" ที่ลูกพูดออกมาเมื่อครู่ ทำให้ปราบเซียนนึกสงสัยอยู่ไม่น้อย ลุงสิงห์ต้องเป็นผู้ชายอย่างแน่นอน ใครกันนะ เขาต้องรู้ให้ได้ว่าลุงสิงห์ที่ลูกสาวพูดถึงมีความเกี่ยวพันอะไรกันกับเจ้าสาว
"ทำไมคุณไม่ถามเซียนบ้าง"
"ทำไมต้องถามล่ะคะ"
ปราบเซียนแสดงที่หน้าไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะเขาเองก็เป็นผู้ปกครองของน้องข้าวจ้าวเหมือนกันยังไงล่ะ
"น้องข้าวก็ลูกเซียนเหมือนกันนะ เซียนมีสิทธิ์ที่จะเลือกโรงเรียนให้ลูกเหมือนกัน"
เจ้าสาวหันมามองหน้าเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง เธอกำลังปรามเขาเพราะปราบเซียนเริ่มเสียงดัง หากเขาจะทะเลาะกับเธอต้องไม่ใช่ต่อหน้าลูก
ปราบเซียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาอารมณ์ร้อนอีกแล้ว ไม่ชอบเหมือนกันที่ตนเองเป็นแบบนี้ เพราะมันเป็นนิสัยที่ไม่น่ารักเอาเสียเลย ยิ่งอยู่ต่อหน้าลูกปราบเซียนยิ่งต้องใจเย็นให้มากกว่านี้
"น้องข้าวไปเล่นด้านหลังได้มั้ยคะมี๊"
"ได้ค่ะ"
ลูกน้อยผละออกจากตักเจ้าสาวแล้วพาตัวเองไปที่เบาะหลังโดยที่ตรงนั้นมีตุ๊กตาเจ้าหญิงนอนแอ้งแม้งอยู่ รวมถึงสมุดวาดภาพระบายสีของน้องข้าวจ้าวด้วย
รถเขาไม่เคยได้บรรทุกอะไรแบบนี้มาก่อนปราบเซียนจึงไม่ค่อยชิน แต่หลังจากนี้คงจะมีของเล่นและของใช้ของลูกอยู่บนนี้มากขึ้น ก็น่ารักไปอีกแบบเหมือนกัน
"ทำไมปะปี๊ต้องขับแล้วจอดด้วยคะ น้องข้าวเวียนหั๊วเวียนหัว"
ปราบเซียนส่งยิ้มให้ลูกสาว ถามได้ตรงประเด็นมากลูกสาว ทำไมน่ะเหรอก็เพราะว่ารถติดยังไงล่ะ ติดทั้งไฟแดง ติดทั้งคนที่เดินข้ามไปข้ามมา แถมถ้าวันไหนโชคร้ายติดขบวนอะไรสักอย่างยิ่งหัวร้อนเข้าไปอีก คนพวกนั้นคิดว่ามีแค่ตัวเองหรือไงที่รีบร้อนเป็น
"ติดไฟแดงค่ะ"
"ที่ที่น้องข้าวจากมาไม่เป็นแบบนี้เลยค่ะ สะดวกมาก ๆ เวลานั่งรถน้องข้าวไม่ต้องรอเลย"
เด็กคนนี้ฉลาดมาก รู้จักคิด รู้จักเปรียบเทียบ จะให้ที่นี่เหมือนที่นั่นได้อย่างไรกัน ความเจริญหรือแม้แต่สิ่งอำนวยความสะดวกมันต่างกันมาก แต่ความจริงแค่พูดชื่อประเทศก็ต่างกันลิบลับแล้ว พูดได้เลยว่าต่างกันราวกับสวรรค์และนรก
ต้องขอบคุณเจ้าสาวที่เลี้ยงลูกมาได้ดีขนาดนี้
มือข้างซ้ายละจากพวงมาลัยแล้วยื่นมาจับมือของคนที่นั่งอยู่ที่เบาะข้าง ๆ อย่างที่อีกคนไม่ทันได้ตั้งตัว เจ้าสาวชักมือกลับแต่ปราบเซียนก็จับไว้แน่น คนตัวเล็กถลึงตาใส่เมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ปราบเซียนจะมาทำแบบนี้ต่อหน้าลูกไม่ได้นะ ไม่ใช่แค่การจับมือเธอ แต่เป็นการขับรถมือเดียวต่างหาก
"ขับสองมือค่ะ"
เจ้าสาวกัดฟันพูด และปราบเซียนก็ทำตามโดยทันที ไม่ได้กลัวเจ้าสาวหรอกนะ แต่แค่ไม่อยากเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่ลูกก็เท่านั้น แม้ว่าน้องข้าวจ้าวจะเอาแต่สนใจตุ๊กตาเจ้าหญิงในอ้อมกอดอยู่ที่เบาะหลังก็ตาม
"ปะปี๊ขา"
"ขาคนเก่ง"
"คุณเจ้าหญิงทำไมไม่มีชุดเลยคะ"
"นั่นไงคะชุด ที่อยู่บนตัวคุณเจ้าหญิงไง"
"น้องข้าวว่ามันน้อยไป"
"แค่นั้นก็พอแล้วค่ะ คุณเจ้าหญิงเป็นตุ๊กตา ชุดเสื้อผ้าไม่จำเป็นหรอกค่ะ"
เจ้าสาวพูดแทรกขึ้น
"จริงเหรอคะมี๊"
"จริงค่ะ"
"เดี๋ยวตอนเย็นเราค่อยซื้อเพิ่มก็ได้ค่ะ"
"เย้"
เจ้าสาวหันขวับมาส่งสายตาเชือดเฉือนราวจะกินเลือดกินเนื้อให้ปราบเซียน เธออุตส่าห์คุยกับลูกรู้เรื่องแล้วแท้ ๆ ให้ตายสิ ทุกคนจะสปอยล์น้องข้าวจ้าวไปถึงไหน
"มี๊ว่าแค่นี้ก็พอแล้วนะคะ"
"แต่ปะปี๊บอกว่าจะซื้อให้นะคะ"
คราวนี้เป็นฝ่ายปราบเซียนบ้างที่ส่งสายตายียวนกวนประสาทกลับมาให้ ซึ่งนั่นก็ทำให้เจ้าสาวกัดฟันกรอดด้วยความแค้นเคือง ก็แน่นอนสิพ่อกับลูกเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
"น้องข้าวหิวน้ำจังค่ะ"
รถทั้งคันเงียบได้เพียงครู่เดียวก็มีเสียงของเด็กน้อยที่หิวน้ำพูดขึ้นมาทำลายความเงียบ
"มีน้ำมั้ยคะ"
ปราบเซียนส่ายหน้า ให้ตายสิ เขาบกพร่องต่อหน้าที่อีกแล้ว รถคันละหลายล้านไม่มีแม้แต่น้ำสักขวดเอาไว้ให้ลูกสาวดื่ม
เจ้าสาวยิ้มเยาะเมื่อปราบเซียนตอบมาแบบนั้น เธอรู้อยู่แล้วว่าเขาคงไม่ได้เตรียมไว้ ปราบเซียนคงเคยชินกับการอยู่คนเดียว แต่ต่อไปนี้ไม่ใช่แล้ว ถ้าเขาอยากดูแลลูกก็ต้องรู้จักใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้มากกว่านี้
"คราวหลังเตรียมไว้ด้วยนะคะ"
"อ่า...ได้สิ"
ปราบเซียนรับคำ คราวหลังเขาคงต้องใส่ใจรายละเอียดมากขึ้นกว่านี้ เพราะผู้ใหญ่อดทนต่อความหิวได้ ระยะเวลาแค่ไม่กี่สิบนาทีที่ต้องเดินทางจากบริษัทเขาไปบริษัทเจ้าสาว หากหิวน้ำผู้ใหญ่ย่อมทนได้ แต่นี่เป็นน้องข้าวเจ้าซึ่งยังเด็ก ยังไงก็ไม่ทางทนได้แน่นอน และเขาเองก็ไม่อยากให้ลูกหิว
"แวะร้านข้างทางดีมั้ยคุณ"
"น้องข้าวหยิบกระเป๋าสีม่วงใบนั้นมาให้มี๊หน่อยลูก"
เจ้าสาวไม่ตอบคำถามของเขา แต่เลือกที่จะคุยกับน้องข้าวแทน
"นี่ค่ะมี๊"
"ขอบใจมากค่ะ ลูกสาวคุณมี๊เก่งที่สุดเลย"
สองแม่ลูกยิ้มให้กัน เจ้าสาวยิ้มเพราะต้องการให้กำลังใจเนื่องจากลูกสาวทำตามคำสั่งได้สำเร็จ ส่วนน้องข้าวก็ยิ้มเพราะได้รับคำชม
เจ้าสาวเปิดกระเป๋า น้ำขวดเล็ก ๆ ถูกนำออกมาเปิดฝาและยื่นให้กับลูกสาว ปราบเซียนลอบมองดูการกระทำนั้น สมกับเป็นคุณแม่ เจ้าสาวรู้จักวางแผนทุกอย่าง ใส่ใจทุกรายละเอียดของลูกน้อย ช่างน่านับถือเสียจริง
รถเลี้ยวเข้ามาจอดยังลานจอดรถของบริษัทตอนประมาณเกือบเที่ยงทั้งสามคนลงความเห็นว่าต้องรับประทานอาหารเที่ยงก่อน ซึ่งสถานที่ที่ทั้งสามคนเลือกจะไปฝากท้องไว้นั่นก็คือโรงอาหารของบริษัท ปราบเซียนเองก็อยากรู้ว่าที่นี่เอารัดเอาเปรียบพนักงานหรือไม่ เริ่มจากสวัสดิการอาหารก่อนเป็นอันดับแรก หากพนักงานมีความสุขกับการรับประทานอาหาร งานก็ย่อมออกมาดี เขาอยากปรับเปลี่ยนทุกอย่างให้ดี ก่อนที่ชื่อเจ้าของบริษัทจะถูกเปลี่ยนเป็นชื่อของเจ้าสาว
หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จก็เป็นเวลานอนของลูกสาว ปราบเซียนเองก็เพิ่งรู้ว่าน้องข้าวยังต้องนอนกลางวันอยู่ เจ้าสาวจัดแจงให้ลูกน้อยนอนบนโซฟาด้วยท่าที่สบาย จากนั้นก็ห่มผ้าให้พร้อมกับมีขวดนมขวดเล็กในปาก น้องข้าวจ้าวยังดื่มนมจากขวดอยู่ แต่ก็แค่เฉพาะเวลานอนกลางวันเท่านั้นแหละนะตอนกลางคืนจะเป็นการดื่มนมอุ่น ๆ จากแก้วแทน
ลูกน้อยค่อย ๆ หลับตาลงในขณะที่ขวดนมยังคาอยู่ที่ปาก ไม่อยากจะคิดว่าตอนที่เป็นทารกน้องข้าวจ้าวจะน่ารักน่าเอ็นดูเพียงใด
แต่อีกอย่างที่ตามมาก็คือตอนน้องข้าวจ้าวยังเป็นทารกคงมีบางช่วงที่งอแงหรือเจ็บป่วย เจ้าสาวเก่งมากที่เลี้ยงลูกน้อยได้ดีขนาดนี้ นี่เขาชมเจ้าสาวไปกี่ครั้งแล้วนะวันนี้
"มองอะไร"
ปราบเซียนหลุดจากภวังค์เมื่อถูกตั้งคำถาม จากนั้นก็ส่งยิ้มอบอุ่นและจริงใจไปให้เจ้าสาวจนคนมองอดไม่ได้ที่จะแอบสงสัยในตัวเขา เป็นบ้าอะไรอีกล่ะเนี่ยจู่ ๆ ก็ยิ้มซะงั้น
"คุณเก่งจังเจ้าสาว"
"อะไรนะ"
"คุณเก่งมากรู้ตัวบ้างมั้ย"
"..."
"คุณเก่งที่สุดเลยที่สามารถเลี้ยงน้องข้าวมาคนเดียวได้"
เจ้าสาวหันมามองหน้าอีกคนด้วยความสงสัย นึกอยากจะชมก็ชมกันโต้ง ๆ แบบนี้เลยหรือ แล้วเธอต้องรู้สึกอย่างไรกับคำชมของเขาดีล่ะ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
บทสนทนาจบลงเพียงเท่านั้นเมื่อเลขาของเจ้าสัวเข้ามาบอกว่าขณะนี้จวนเจียนจะได้เวลาประชุมแล้ว ปราบเซียนจะถูกแนะนำตัวกับหัวหน้าของแผนกทุกแผนกในบริษัท ว่าเขาคือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของที่นี่ ต่อจากนี้ไปการตัดสินใจของปราบเซียนจะถือเป็นที่สุด
และเจ้าสาวจะถูกเปิดตัวในฐานะผู้ช่วยเลขาของเจ้าสัว ความจริงท่านเองก็อยากวางมือ แต่ในเมื่อลูกสาวที่จะรับไม้ต่อยังไม่ประสีประสาในเรื่องนี้ ท่านจึงต้องอยู่เพื่อฝึกซ้อมเจ้าสาวก่อนสักปีสองปี เพื่อให้มีประสบการณ์ อยากขอให้ปราบเซียนช่วยสอนเพราะอย่างไรเสียก็เปรียบเสมือนสามีภรรยา แต่ก็เกรงใจปราบเซียนเพราะงานเขาก็มีเยอะเหลือเกิน
จากนี้ต่อไปปราบเซียนขอให้เจ้าสัวและทุกคนในบริษัทเปิดใจยอมรับ หากมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และขอให้ทุกคนเตรียมความพร้อมเพื่อที่จะพัฒนาบริษัทไปพร้อม ๆ กัน
"ขอบคุณทุกคนไว้ล่วงหน้าที่ให้ความร่วมมือในการพัฒนาบริษัท การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น ต่อไปนี้หวังว่าทุกคนจะได้ทำงานอย่างมีความสุข"
ปราบเซียนค้อมหัวให้กับทุกคนในที่ประชุม และทุกคนก็ลุกขึ้นค้อมหัวให้กับเขาเช่นเดียวกัน
หลังจากที่ใช้เวลาประชุมเกือบสองชั่วโมง เมื่อประชุมเสร็จปราบเซียนถูกพูดถึงในหัวข้อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกล
ทุกคนรู้จักดีอยู่แล้วว่าปราบเซียนเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง ประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์อันดับต้น ๆ และมีสาขาอยู่เกือบทั่วทุกมุมโลก ฝีมือด้านธุรกิจย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
"คุณไม่กลับไปบริษัทคุณเหรอ"
"ไม่อะ เดี๋ยวรอน้องข้าวตื่นแล้วเราไปห้างกันเลย"
"ใครจะไปกับคุณไม่ทราบ"
"รอ...น้องข้าวตื่น"
ปราบเซียนยักคิ้วยียวนกวนประสาท ส่วนเจ้าสาวก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เชื่อเขาเลยถ้าน้องข้าวตื่นมาก็ต้องดี๊ด๊าอยากไปกับเขาแน่นอน
ร่างสูงก้าวเท้ายาว ๆ ตรงไปหาเด็กตัวเล็กที่นอนหลับใหลอยู่บนโซฟา ปราบเซียนถอดสูทออกแล้วกองไว้แถวนั้นอย่างไม่สนใจไยดี เจ้าสาวจิ๊ปากขัดใจที่เขาไม่ยอมไปหาที่แขวนให้เรียบร้อย ในห้องทำงานของเจ้าสัวห้องนี้ใช่ว่าจะไม่มีที่แขวน สูทของเขาคงตัวละหลายบาทปราบเซียนคงไม่บ้าบอตัดสูทมาใช้แค่ครั้งเดียวแล้วทิ้งหรอกนะ เห็นแล้วขัดหูขัดตาไปหมด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องเดินไปหยิบเสื้อสูทของเขาไปแขวนให้
"น้องข้าวเหมือนคุณมากเลย"
ปราบเซียนที่ตอนนี้นั่งแหมะอยู่บนพื้นห้องและกำลังจ้องมองหน้าลูกสาวหันมากระซิบกระซาบกับเธอ แม้จะอยู่ห่างกันเกือบสามเมตรแต่เธอก็ได้ยินชัดเจน
"น่ารัก"
เจ้าสาวเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำนั้น อะไรของเขากันนะคิดจะชมก็ชมอีกแล้ว เธอไม่ได้เขินหรอกนะเพราะปกติก็ถูกชมแบบนี้บ่อย ๆ อยู่แล้ว แต่แปลกที่ใจกลับเต้นแรง สงสัยคงโมโหปราบเซียนที่เข้าใกล้ลูกตอนหลับมากเกินไปมั้ง คงกลัวว่าเขาจะทำน้องข้าวตื่นทั้งที่ยังนอนได้ไม่เต็มอิ่ม ด้วยเหตุนี้แหละมั้งใจเธอถึงเต้นตึกตักอยู่แบบนี้
"เดี๋ยวน้องข้าวก็ตื่นหรอก"
ปราบเซียนไม่สนทนาต่อ เขาทำเพียงยิ้มให้แล้วหันไปสนใจลูกน้อยที่นอนอย่างสบายใจเฉิบอยู่บนโซฟา
ร่างสูงเกยคางไว้กับเบาะนุ่มระดับเดียวกันกับใบหน้าของลูกสาว น้องข้าวยังหลับตาพริ้มผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอไม่มีทีท่าว่าจะตื่นสักนิดเดียว
"ลูกสาวปะปี๊น่ารักจัง"
มือเรียวยกขึ้นลูบเรือนผมนุ่มของลูกสาวอย่างรักใคร่เอ็นดู
"คุณอย่ากวนลูกสิ"
ปราบเซียนฟังคำโดยง่าย เขานำมือกลับมาวางรองที่คางไว้ดังเดิม จากนั้นก็เอาแต่จ้องหน้าลูกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก็แค่อยากสำรวจลูกสาวเท่านั้นแหละ อยากจินตนาการว่ากว่าที่แก้มย้วย ๆ นี่จะปรากฏขึ้นก่อนหน้านั้นใบหน้าน้องข้าวจ้าวเป็นอย่างไร ตั้งแต่แรกเกิด เริ่มมีผม ตอนมีฟันกระต่ายสองซี่คงน่ารักไม่น้อย
ตอนที่น้องข้าวยิ้มหรือหัวเราะครั้งแรก หรือแม้แต่ตอนที่เริ่มพูดได้ ลูกสาวของเขาจะเป็นอย่างไรบ้างนะ เจ้าสาวคงมีความสุขมาก ที่ได้เห็นเป็นคนแรก
"ขอบคุณนะเจ้าสาว"
"อะไรคะ"
"ขอบคุณที่เก็บน้องข้าวไว้ ขอบคุณที่คุณตั้งใจเลี้ยงน้องข้าวมาอย่างดี"
เจ้าสาวมองคนที่นั่งอยู่บนพื้นไม่วางตา อะไรของเขากันนะ ปราบเซียนเป็นคนที่คาดเดาได้ยากมาก ๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ผีเข้าผีออกอยู่ตลอดเวลา อย่างเมื่อครู่ที่อยู่ดี ๆ ก็ชม ทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังอยู่ในโหมดน่าหงุดหงิดอยู่เลย
ทำไมเธอถึงจะไม่เก็บไว้ล่ะ น้องข้าวเป็นลูกเธอทั้งคน อีกอย่างตอนที่ตั้งท้องเธอก็โตแล้ว เรียนจบแล้ว ไม่แน่เหมือนกันว่าถ้าหากเธอยังกำลังศึกษาอยู่น้องข้าวจะมีโอกาสได้ลืมตามาดูโลกหรือไม่ หากเรื่องเกิดเร็วกว่านั้นเธอกับปราบเซียนก็คงไม่ได้มามีพันธะร่วมกันแบบนี้ การเก็บน้องข้าวไว้เป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตของเจ้าสาว แต่การที่ต้องมาเจอกับพ่อของลูกอย่างปราบเซียนทุกวันเจ้าสาวคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะเลวร้าย
เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะเขาชอบทำให้เธอโมโหจนหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะบ่อย ๆ น่ะสิ โมโหที่เขาชอบหว่านล้อมน้องข้าวให้รู้เห็นเป็นใจไปกับเขา ส่วนเวลาที่อยู่กับเธอสองต่อสองหรือลับหลังลูก ปราบเซียนชอบทำให้เธอคิดอยากเริ่มเป็นฆาตกรอยู่ตลอดเวลา และเขาต้องเป็นเหยื่อรายแรกและรายสุดท้ายเนื่องจากชอบกวนประสาทอยู่เรื่อย สงสัยคงไม่อยากอายุยืน