ทุกคนนั่งกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย จูเหมยลี่ผัดหน่อไม้กับไก่ใส่พริก สามชั้นตุ๋นผักกาดดอง น้ำแกงกระดูกหมูต้มใส่รากบัวที่อุตส่าห์ให้จางรั่วสุยไปขุดมาให้เมื่อเช้านี้ เขายังถามว่ากินได้หรือ นางหุงข้าวขาว และมีน้ำเก็กฮวยใส่น้ำผึ้งอีกด้วย
ทุกคนกินกันอย่างอร่อย อย่าว่าแต่ชาวบ้านที่มาทำงานเลย แม้แต่เจ้าหน้าที่ทางการที่เงินเดือนคนละหนึ่งตำลึงครึ่งยังไม่เคยได้กินอะไรอร่อยเช่นนี้เลย
"นี่ๆอาซ้ออาหารเหล่านี้ที่ท่านทำภัตราคารในเมืองยังไม่มีเลยนะขอรับ อร่อยยิ่งนัก"
"จริงด้วย หน่อไม้ที่ปกติทั้งขมแต่ท่านกลับทำเสียอร่อยจนวางตะเกียบไม่ลง"
"อืม จริงด้วยนี่เสี่ยวลี่เอ๊ย อาหารเหล่านี้เจ้าบอกว่าเป็นสิ่งที่ชาวบ้านเดินผ่านทุกวัน ถ้าเช่นนั้นเจ้าช่วยบอกกล่าวแก่ชาวบ้านได้หรือไม่ ปู่เองก็ไม่อยากให้มีเด็กหรือคนแก่บ้านไหนต้องมาอดตายและถูกเอาไปทิ้งบนเขาอีก"
จูเก่อคังเอ่ยแก่จูเหมยลี่ หากนับกันแล้วจูเก่อคังถือว่าเป็นปู่ใหญ่ของนาง เพราะเขากับปู่ของนางเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน จูเหมยลี่เห็นว่าชายชราผู้นี้ปฏิบัติดีต่อชาวบ้านนัก อีกทั้งพยายามหาทางให้ชาวบ้านมีอาหาร ขอร้องให้ทางการผ่อนผันภาษี
ปีนี้หลายๆบ้านต้องยอมให้บุตรชายหลานชายไปเกณฑ์ทหาร เพราะชายแดนไม่สงบแล้ว หากใครยอมไปบ้านนั้นจะถูกยกเลิกการเก็บภาษี
อีกเดือนครึ่งหลายๆหมู่บ้านที่จิ่วโจวคงเหลือเพียงคนแก่ สตรีและเด็ก ชายหนุ่มชายที่อายุสิบหกปีขึ้นไป จนถึงสี่สิบล้วนอาสาไปกองทัพเพื่อแลกกับข้าวสารกับข้าวสาลีอย่างละสองกระสอบ เงินเดือนทหารเดือนละสองตำลึง เฮ้อความอดอยากหิวโหยนั้นช่างน่ากลัวจริงๆ
"ท่านปู่ใหญ่เจ้าคะ ข้าจะพาพวกเขาไปหาอาหารหลังจากซ่อมแซมบ้านเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ อีกไม่นานหลายๆบ้านล้วนไร้บุรุษ ตอนที่พวกผู้ชายยังอยู่ก็ช่วยกันหาเสบียงให้พ่อแม่ลูกเมียได้มีกินก็ดีเหมือนกัน สามีข้าเองก็จะขึ้นเขาล่าสัตว์ หาเงินเก็บไว้ให้ข้ากับลูกเผื่อยามเจ็บป่วยจะได้ไม่ต้องมองดูบุตรสาวทรมาน"
"เฮ้อ นี่นายพรานเซียว ท่านมีวาสนานักเสี่ยวลี่นางเป็นเด็กดีเหลือเกิน ใช่ไหมพวกเรา"
"นั่นนะสิ เมื่อก่อนอยู่แต่ในแปลงนา ใครจะรู้พอแต่งงานแล้วงามเยี่ยงนางฟ้า อีกทั้งยังทำอาหารเก่งอีกด้วย วาสนานายพรานเซียวยิ่งนัก"
เหล่าชาวบ้านต่างก็ยกยอปอปั้นจูเหมยลี่ ส่วนสตรีที่มาช่วยกันขุดหน่อไม้เมื่อช่วงเช้า ในตอนบ่ายจะช่วยกันปอกเปลือกแล้วนำมาดองเก็บไว้ พวกนางต้องกลับไปเอาไหที่บ้านตนเอง และจะทำเสบียงให้บรรดาบุรุษของพวกนางนำไปชายแดนด้วย ว่ากันว่าที่นั่นอาหารการกินอัตคัตยิ่งนัก
เมื่อมื้ออาหารผ่านไปทุกคนก็เริ่มทำงานของตนเองอีกครั้ง จูเหมยลี่ที่อยู่ในครัวต้มหน่อไม้เพื่อที่จะทำหน่อไม้แห้งก็เอ่ยกับจางลู่เหลียนที่ทั้งวันเอาแต่ซึมเหม่อเบาๆ
"พี่ลู่เหลียน ท่านพี่เล่าให้ข้าฟังแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าไม่อยากปากมากแต่ขอพูดสักหน่อยเถอะ ท่านจะโกรธพี่ชายท่านที่ไม่แก้แค้นไม่ทวงความเป็นธรรมให้กับบิดามารดาท่านนั้นข้าคิดว่าไม่ถูกต้อง"
"ทำไมล่ะลี่เอ๋อร์ เขาขี้ขลาดถึงเพียงนั้น ยอมทิ้งทุกอย่างแล้วหนีมา ทำไมข้าจะไม่มีสิทธิ์โกรธเขากัน"
จางลู่เหลือนน้ำตาคลอจนจูเหมยลี่อ่อนใจ
"ว่ากันว่าตระกูลหานเป็นตระกูลอันดับสามของเมืองหลวงจริงหรือ ตระกูลยิ่งใหญ่มากเท่าไๆหร่คนก็ยิ่งมากนัก ตระกูลหานไม่ได้มีแค่บิดาท่าน แต่ยังมีท่านอาทั้งหลายของท่าน ไหนจะบรรดาสะใภ้ ลูกพี่ลูกน้อง บิดาท่านจากไปแล้ว ดั่งคำที่ว่าคนจากไปชาก็เย็นชืด พี่ชายท่านตอนนั้นอายุเพียงสิบเจ็ดเป็นแค่ทั่นฮวาน้อย แม้จะเป็นคนที่มีสิธิ์เป็นผู้นำตระกูลแล้วอย่างไร คนมากมายจ้องตำแหน่งผู้นำตระกูลของเขาอยู่ ท่านอายุเท่าไหร่กันแค่เด็กเก้าขวบ พี่รั่วสุ่ยต้องปกป้องน้องสาว อีกทั้งยังต้องคอยระวังตัวเองไม่ให้ถูกคนทำร้าย เขาไม่สามารถปกป้องท่านได้ตลอดเวลา ท่านคือจุดอ่อนของเขารู้ตัวหรือไม่ เขารักท่านมากกว่าบุตรสองคนเสียอีก"
"ลี่เอ๋อร์ข้าๆ ฮือๆๆข้าแค่คิดถึงท่านแม่กับท่านพ่อ ข้าเกลียดสกุลหานฮือๆๆๆ"
จางลู่เหลียนกอดจูเหมยลี่ร้องไห้อยู่นานในที่สุดก็เหลือเพียงเสียงสะอื้น เยี่ยอวี่ที่ได้ยินก็มองหน้าสามีอย่างขอโทษ ที่ผ่านมานางเข้าใจว่าสามีทำเกินไปไม่ห่วงนางกับลูกรักแต่น้องสาวตนเอง แต่ตอนนี้นางเข้าใจแล้ว
"พี่ลู่เหลียน ท่านพี่ของข้าอยากให้ข้ากับผิงผิงได้มีชีวิตสุขสบาย เขาไม่อยากสอบขุนนางจึงอาสาไปกองทัพที่ชายแดนเพื่อหาโอกาสสร้างผลงาน พี่ชายท่านก็คงคิดเช่นเดียวกัน ท่านรักคุณชายคังหรือเปล่าข้าจะไม่ถามเพราะพวกท่านเจอกันแค่สามวัน แต่ถ้าท่านคิดจะใช้เขาเป็นสะพานกลับเมืองหลวงเพื่อแก้แค้นท่านเลิกคิดเถอะ แต่งกับเขาท่านต้องเจอมรสุมยิ่งกว่ามารดาท่านเสียอีก มิสู้ท่านเรียนรู้ชีวิตให้ดีรอพี่ชายท่านประสบความสำเร็จกลับมาค่อยไปแก้แค้นไม่ดีกว่าหรือ ถึงเวลานั้นหากท่านยังมีใจให้คังหยุนจริงๆ ก็ไม่ต้องคอยดูสีหน้าคนในจวนคังว่าคิดเช่นไร มีพี่ชายสนับสนุนจะกลัวอันใด คนเราหากในมือไร้อำนาจจะต่อกรกับใครก็ลำบากเลิกโกรธพี่ชายท่านได้แล้ว ปรึกษาหารือกันดีๆว่าจะใช้ชีวิตกับพี่สะใภ้กับหลานๆอย่างไรตอนที่เขาไม่อยู่"
"ลี่เอ๋อร์ ข้าคิดว่าข้ารักคังหยุน แต่ข้ากับเขาคงไปกันไม่ได้เขาสูงส่งเกินไป ตระกูลคังนอกจากเป็นตระกูลใหญ่แล้ว ยังเกี่ยวดองกับเชื้อพระวงศ์ ป้าของเขาเป็นกุ้ยเฟยที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด"
"หากเขารักท่านจริงย่อมต้องหาทางให้ได้อยู่กับท่าน แต่ว่าเขาจะสามารทำให้ท่านยืนได้มั่นคงไหมนั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องถามตนเอง"
จูเหมยลี่ที่ตักหน่อไม้ออกจากกระทะก็เตรียมยกไปข้างนอก แต่จางรั่วสุ่ยเข้ามาเขากำลังจะยกไปให้แทน จางลู่เหลียนเห็นพี่ชายเดินเข้ามาก็เดินไปหาแล้วกอดเขาร้องไห้ จางรั่วสุ่ยลูบหลังน้องสาวน้ำตาร่วง
"ฮือๆๆๆพี่ใหญ่ข้าขอโทษ ต่อไปข้าจะไม่เอาแต่ใจทำให้ท่านต้องเป็นห่วงต้องทุกข์ใจอีกแล้ว อาซ้อต่อไปข้าจะทำตัวดีๆรอพี่ใหญ่เอาตำแหน่งขุนพลมาฝากท่านให้ท่านๆได้เป็นฮูหยิน"
"ช่างเถอะๆ อย่าร้องไห้ลู่เหลียนของพี่เป็นดอกไม้แสนงาม อย่าร้องเดี๋ยวตาช้ำหมดดูสิแก้มเปรอะเปื้อนหมดแล้ว"
"นั่นสิอาเล็ก อาซ้อไม่เคยโกรธเจ้า หากไม่ได้ปิ่นเงินอันนั้นเด็กๆคงตายไปแล้วบุญคูณนั้นอาซ้อไม่เคยลืมเลย ยิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาเจ้าต้องทุกข์เพียงใดข้าก็ยิ่งทุกข์ใจแทนเจ้าพี่น้อง"
สามคนต่างขออภัยซึ่งกันและกัน จนจูเหมยลี่ต้องเป็นฝ่ายไปดูเด็กๆที่นั่งเล่นอยู่กับบรรดาสตรีในหมู่บ้าน เฮ้อชีวิตของจางรั่วสุยกับน้องสาวช่างซับซ้อนนัก
ว่าแต่ว่าเรื่องของเซียวจ้านเป่ยเล่า วันนี้เขาเพิ่งบอกกับนางว่าเขามีศัตรูแล้วศัตรูของเขาเป็นใครกัน จะตามล่าเขาไหมเขาจะปลอดภัยหรือไม่ จูเหมยลี่มองผู้ชายตรงหน้าที่เพิ่งบอกรักนางเมื่อเช้าก็ยิ้มให้ นางยังไม่ถึงขั้นรักเขาหรอก อดีตของคุฯพ่อกับคุณแม่ทำให้นางไม่เชื่อในความรัก แต่ถามว่ารู้สึกอย่างไรนางรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนไม่ดี รออีกสักพักเถอะ นางคงรักเขาได้ในไม่ช้า อยากให้เขาไปเป็นทหารกลับมาก่อนค่อยเรียนรู้กันมากว่านี้ มันเร็วเกินไปหากจากกันนานๆแล้วเขาเปลี่ยนใจ นางจะได้ไม่เจ็บปวด