ปกรณ์ตื่นขึ้นแถวแนวชายป่าตอนเช้าตรู่หลังจากที่เมื่อคืนโดนนางพรายมาทวงขอรางวัลเพิ่มอีกจนร่างกายเหนื่อยอ่อน เขายันกายลุกขึ้นมองไปรอบข้างไม่เห็นนางพรายสาวอยู่เสียแล้ว
ฟ้ายังไม่สว่างดีนักมีเสียงไก่ป่าขันเจื้อยแจ้วรับอรุณยามเช้า เสียงเดินสวบสาบดังมาไม่ไกลนัก ปกรณ์นึกอายที่มานอนกลางป่าแบบนี้จึงหมอบหลบลอบมองไปยังที่มาของเสียง ร่างของใครบางคนเดินโอนเอนไปมาเห็นเป็นเงาดำทะมึนแต่กลิ่นที่โสตนาสิกไดัรับจะว่าหอมก็ไม่เชิงกลิ่นมันชวนเวียนหัวคลื่นไส้ ปกรณ์จ้องมองร่างประหลาดจนเดินหายลับเข้าไปในป่าแต่เหมือนเขาตกอยู่ในภวังค์มนต์สะกด ตาของชายหนุ่มหน่วงหนักปรือจะหลับลงอีก
"ไอ้กรณ์ ไอ้กรณ์"นรินทร์กับทรงยศออกตามหาปกรณ์เพราะพวกเขาจะออกเดินทางในช่วงเช้าตะโกนร้องเรียก
"ผมอยู่นี่พี่"ปกรณ์สะดุ้งตื่นขานรับ ทั้งสองแหวกดงหญ้าเข้ามาหาชายหนุ่ม
"เอ็งมานอนอะไรตรงนี่ว่ะ"ปกรณ์ยิ้มแห้งๆเมื่อถูกนรินทร์ต่อว่า
"เอ้า ลุกได้แล้วฉันจะออกเดินทางแต่เช้าส่วนแกต้องเฝ้าพวกอูเซอด้วย"ทรงยศเสริมขึ้นยื่นมือไปดึงปกรณ์ให้ลุกขึ้น
"เมื่อกี้ฉันเห็นอะไรแปลกด้วยล่ะ"ปกรณ์ทบทวนความทรงจำเมื่อครู่
"เห็นอะไร"นรินทร์ถามแบบไม่ใส่ใจนัก
"ไม่รู้สิเป็นเงาดำๆเดินหายไปในป่า"
"เอ็งชอบมาทำบัดสีในป่าโดนเจ้าป่าเจ้าเขาหลอกเอามั้ง"นรินทร์พูดติดตลก ปกรณ์จึงไม่สงสัยอีก
พิมพลอยจัดกระเป๋าเสื้อผ้าให้นรินทร์เรียบร้อย ชายหนุ่มหน้าเศร้าสร้อยถึงเขาไม่อยากไปแต่ด้วยภาระหน้าที่จึงต้องจำยอม
"คุณต้องดูแลตัวเองดีๆนะผมจะไปไม่นานทางนี้จะฝากปกรณ์ให้ดูแลอีกแรง"นายทหารหนุ่มว่าพลางหอมแก้มใสคลอเคลียไปมา
"ค่ะ รีบเถอะ คนอื่นๆเขารออยู่”พิมพลอยดันไหล่คนตัวโตออก ไม่คิดว่าเขาจะขี้อ้อนขนาดนี้
ทรงยศและลดา ยืนรอนรินทร์อยู่ที่หน้าบ้านพัก นรินทร์สั่งความกับปกรณ์ไว้สองสามเรื่องที่สำคัญและไม่ลืมสั่งให้ดูแลยอดดวงใจของเขาด้วย
"งันพวกเราออกเดินทางเลยนะเดี๋ยวจะถึงในตัวเมืองค่ำต้องต่อรถเข้ากรุงเทพอีก"ลดาเร่งเพราะระยะทางที่จากหมู่บ้านไปต้องใช้เวลานานถ้ามีรถก็2-3ชั่วโมงได้แต่ต้องเดินเท้าร่วมๆแล้วรวม10ชั่วโมง
"ไป งันผมไปก่อนนะ"นรินทร์หันมาบอกภรรยาสาวจับมือลาอย่างอาลัย
"ทำยังกะจะไปนาน รีบเถอะค่ะมัวชักช้าอยู่ได้"พิมพลอยเอ็ดชายหนุ่มเบาๆเขาตัดใจปล่อยมือหญิงสาวเดินนำพรรคพวกเข้าป่าไป
พิมพลอยถอนหายใจเบาๆรู้สึกเหมือนคนที่คอยดูแลปกป้องตอนนี้ไม่อยู่เสียแล้ว หญิงสาวเองก็ใจหายจากการลา ปกรณ์เองเมื่อเขาต้องอยู่คนเดียวภาวะผู้นำก็ฉายชัด เขาเกณฑ์คนไปทำถนนต่อจากนรินทร์ที่ยังทำไม่เสร็จ ชายหนุ่มช่วยงานชาวบ้านอย่างเต็มที่ไม่เกี่ยงงอนและขยันขันแข็ง
พวกของนรินทร์เดินตัดป่าเข้าสู่ทางรถวิ่งที่เป็นถนนลูกรังถึงจะล้อมหน่อยแต่ก็สะดวกในการเดินสำหรับสตรีที่ตั้งครรภ์อย่างลดา
"ผู้หมวดครับได้ยินเสียงอะไรไหมครับ"ทรงยศรีบถามหลังจากที่พวกเขาเดินกันมาห้าชั่วโมงกว่าแล้วจึงหยุดพัก
"เสียงรถนิ สงสัยเป็นรถของชาวบ้านหมู่บ้านอื่นผ่านมารีบไปเรียกเร็ว"นรินทร์ดีใจรีบผุดลุกขึ้นเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ผ่านหลายหมู่บ้านแต่นานๆจะมีรถผ่านมา นี่ถือว่าเป็นโชคดีของพวกเขา
"พวกผมขอติดรถไปด้วยได้ไหมครับ"
"ได้ๆพวกนายทหารจะไปไหนกันหรอ"ลุงชาวบ้านที่ขับรถกระบะตอนเดียวรุ่นเก่าเอ่ยถาม
"จะไปในเมืองครับ"
"พอดีเลยฉันก็จะไปในเมือง จะไปแจ้งตายให้คนในหมู่บ้านสักหน่อย ช่วงมีคนในหมู่บ้านตายประหลาดกันหลายคนวันนี้ก็ศพที่หกแล้ว"
"ตายประหลาดตายยังไงครับ"นรินทร์หูผึ่งนึกสังหรณ์ใจแปลกๆ
"ก็ผู้หญิงในหมู่บ้านฉันน่ะสิมาตายพร้อมๆกันวันล่ะคนเลยนะ ศพก็คล้ายกับถูกข่มขืนช่วงล่างฉีกขาดแต่จับไอ้ฆาตกรไม่ได้สักที่ นี่ก็ว่าจะไปแจ้งตำรวจให้เขามาช่วยดูด้วย"ลุงแกถอนหายใจเฮือกใหญ่ปลงสังเวช
"ขอโทษนะครับ หมู่บ้านคุณน้าอยู่ไกลจากที่นี่หรือเปล่าครับ"นรินทร์ถามอย่างร้อนใจ
"อยู่ไม่ไกลหรอกหนุ่มข้ามห้วยฝั่งโน้นไปก็ถึง"นายทหารหนุ่มมองตามทางที่ไปตรงกันข้ามกับหมู่บ้านที่พิมพลอยอยู่
"ไอ้ผีร้ายมันเปลี่ยนที่หากินไกลถึงโน้นเลยหรอ"นรินทร์พึมพำใจเขาตกไปอยู่ที่ตาตุ่มนึกห่วงคนที่จากมา
"ยศ นายไปจัดการเรื่องนั้นกับลดาแทนฉันให้เรียบร้อยนะฉันเป็นห่วงพิมพลอย"
"แต่ ผู้หมวดครับ งานนี้สำคัญมาก"ทรงยศขัดขึ้นเขารู้ดีว่าสำหรับนรินทร์เรื่องงานต้องมาก่อนแต่ครั้งนี้ดูต่างออกไป
"ยศฉันเชื่อว่านายทำได้ ฉันฝากด้วยนะ"นายทหารหนุ่มตบไหล่ทรงยศ ลดายิ้มอย่างเข้าใจ นรินทร์ส่งทรงยศกับลดาขึ้นรถเรียบร้อยจนรถวิ่งหายลับตาไป ชายหนุ่มเดินตัดเข้าป่ากลับไปทางเดิม ภาวนาให้ถึงหมู่บ้านก่อนพลบค่ำแต่ระยะทางอย่างน้อยๆก็สี่ชั่วโมง
แดดบ่ายที่ร้อนแรงสาดส่องลงมาทำให้นายทหารหนุ่มปาดเม็ดเหงื่อที่หยดลงมา ปกรณ์ช่วยชาวบ้านสร้างสะพานข้ามลำธารเพื่อเป็นถนนออกสู่ภายนอกได้ง่ายยิ่งขึ้น อากาศตอนกลางวันช่างร้อนอบอ้าวแม้แต่ลมสักนิดก็ไม่มีพัดมา ชายหนุ่มตักน้ำในกระติกเก่าๆกลั้วคอดับกระหาย ชาวบ้านต่างทำงานกันอย่างแข็งขัน ปกรณ์เองก็ไม่ยอมแพ้กระโดดลงไปช่วยชาวบ้านวางคานเสาสะพานในลำธาร
"เฮ้ย!!นายทหารเป็นลม"เสียงใครคนหนึ่งในหมู่ชาวบ้านดังขึ้น คะฉิ่นที่อยู่ใกล้รีบช่วยกันนำร่างไร้สติของปกรณ์ขึ้นมาจากน้ำ
"เป็นอะไรมากไหมว่ะ ไอ้คะฉิ่น"
"ไม่รู้จ้ะพ่ออยู่ดีๆก็ล้มวูบไป"อูเลเดินเข้ามาดูอาการ ปกรณ์นายหน้าตาซีดเซียวจากที่ขาวอยู่แล้วกลายเป็นหน้าไม่มีสีเลือดเลย ตาเฒ่าก้มลงเอาหูแนบฟังเสียงหัวใจชายหนุ่มตามวิธีบ้านๆของแกแต่แล้วก็ต้องตกใจ
"ตายห่า!! หัวใจเต้นอ่อน ตัวเย็นเชียบเลย"อูเลประคองศีรษะชายหนุ่มขึ้นจับพลิกซ้ายพลิกขวาตบหน้าเบาๆเพื่อให้ได้สติแต่ร่างตรงหน้าก็ยังคงนอนนิ่ง
"พากลับบ้านเราก่อนเร็ว"
"เอ้า พ่อ นายทหารป่วยก็ต้องพาไปหาหมอพิมสิจะพากลับบ้านเราทำไม"
"ต่อให้หมอพิมก็รักษาไม่หาย มึงเห็นหน้านายทหารไหมพลังชีวิตอ่อนใกล้จะตายแล้วเพราะถูกนางพรายมันจับทำผัว"อูเลตวาดลั่น คะฉิ่นรีบหามปกรณ์กลับไปที่บ้านตน
"เกิดอะไรขึ้นจ๊ะเนี้ย"มะเมียะที่เพิ่งฟื้นจากการจับไข้ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจึงลงมาดู เห็นคะฉิ่นแบกปกรณ์มาว่างลงบนแคร่ไม้
"เอ็งอย่าเพิ่งถามไปเอาย่ามข้ามา"อูเลที่ตามมาร้องสั่ง มะเมียะรีบหยิบย่ามคู่ใจของตาเฒ่าส่งให้ อูเลรื้อค้นในภายในย่ามได้ใบไม้แห้งๆชนิดหนึ่ง ตาเฒ่าขยำเข้าปากเคี้ยวอมน้ำแล้วเป่าไปทั่วร่างชายหนุ่มพร้อมบริกรรมคาถา
"ว่ะ อีผีพรายนี่มันแรงจริง"อูเลหน้าเครียดเพราะไม่มีท่าทีว่าชายหนุ่มจะตื่นขึ้นเลยหรือดีขึ้นเลย
"ทำไงดีล่ะพ่อนายทหารท่าจะแย่แล้วตัวเย็นเจี๊ยบเลย"คะฉิ่นจับตัวปกรณ์ตัวก็รีบรายงาน
"สงสัยมันจะเอาไปอยู่ด้วยให้ได้ คืนนี้ข้าจะทำพิธีเรียกมันมา"อูเลขบกรามแน่นพยายามที่จะช่วยยื้อชีวิตของชายหนุ่ม
พิมพลอยนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง บ้านพักช่างเงียบเหงาเมื่อใครคนนั้นไม่อยู่ เธอมองออกไปนอกหน้าต่างมีเพียงนกที่ทำรังอยู่บนต้นไม้ใกล้ๆที่ส่งเสียงร้อง มนุษย์คนสุดท้ายที่เห็นวันนี้คงจะเป็นคะฉิ่นที่เอาปิ่นโตมาให้ตอนเที่ยงจากนั้นเธอก็ไม่เห็นใครคนไหนอีกเลย
"ทุกคนคงยุ่งๆอยู่"หญิงสาวรำพึงแต่ใจเผลอไปคิดถึงคนที่จากไปไกล แค่มีเขาเข้ามาในชีวิตเพียงไม่นานวันเดิมๆที่เคยเงียบเหงาของพิมพลอยก็เปลี่ยนไป เธอยิ้มเมื่อนึกถึงครั้งแรกที่เจอกันจากนั้นก็มีเรื่องต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ทำให้หัวใจดวงเล็กๆนี้สั่นไหว จากการที่ตั้งใจว่าจะไม่รักใครก็เผลอไปหลงรักคนตัวโตเข้าจนได้
ฟ้าภายนอกเริ่มมืดลงแล้ว ตัวหนังสือที่อ่านอยู่ในมือเริ่มจะมองไม่เห็น หญิงสาวพยุงตัวเองลุกขึ้นจุดตะเกียงน้ำมันเพื่อส่องสว่างขับไล่ความมืด มือเล็กดึงบานหน้าต่างมาปิดเพราะเมื่อตกเย็นลมหนาวก็เริ่มพัดผ่านเข้าแรงขึ้น พิมพลอยรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้จึงกินยาไว้แล้วล้มตัวลงนั่งบนเตียง
"ไอ้คะฉิ่นเอ็งไปบอกให้อีมะเมียะอยู่แต่ในห้องห้ามออกมาเด็ดขาด" อูเลสั่งเมื่อพระอาทิตย์สิ้นแสงลง ตาเฒ่าให้นำร่างของปกรณ์มาวางไว้ที่พื้นดิน กายชายหนุ่มถูกพันด้วยสายสินญ์ อูเลนั่งสงบใจบริกรรมคาถาเรียกนางพรายแล้วใช้ธูปปักลงดิน ควันธูปลอยคลุ้งก่อตัวเป็นรูปร่างสาวงามที่นุ่งน้อยห่มน้อยมีเพียงใบไม้ปิดกาย
"เรียกมาดีๆก็เป็นนิ เรียกหนูมามีอะไรหรือจ๊ะ"ปากจิ้มลิ้มสีสดเอื้อนเอ่ย ร่างนางพรายค่อยๆชัดขึ้น
"กูจะพูดกับมึงดีๆนะปล่อยพ่อหนุ่มนี้ไปเถอะอย่าได้สร้างบาปสร้างกรรมเลย คนกับผีมันอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก"อูเลพูดขึ้นอย่างใจเย็นใช้ไม้อ่อนเข้าสู้
"แต่เขาเป็นผัวหนู หนูรักเขาใครไม่เกี่ยวก็อย่ามายุ่ง"นางพรายตวาดขึ้นนัยน์ตาแดงกล่ำคล้ายโกรธจัด
"ว่ะ มึงรักเขาภาษาอะไรเห็นไหมว่าเขากำลังจะตาย ความรักของมึงคือฆ่าคนที่มึงรักหรอ"นางพรายนิ่งเงียบหน้าสลดลง ลอยวนไปใกล้ร่างชายหนุ่มเอื้อมมือจะไปจับแต่ต้องชักกลับเพราะความร้อนจากสายสินญ์
"ไม่ได้ หนูปล่อยเขาไปไม่ได้"นางพรายร่ำไห้หยาดน้ำตาใสๆหยดลงข้างแก้มเปล่งประกายวิบวับ
"ตัดใจซะ มึงก็รู้ว่าถ้าเขาตายไปมึงก็ไม่ได้อยู่กับเขาอยู่ดี เพราะเขายังไม่ถึงที่ตาย"อูเลจ้องอาการของนางพรายสาวที่เศร้าสร้อยพยายามหว่านล้อม
"ถ้าเขาตายไม่ใช่มึงหรอกหรือที่จะทุกข์ที่สุด"อูเลลั่นประโยคสุดท้ายยังไม่ทันจบดีนางพรายก็ลอยหายเข้าป่าไปตาเฒ่าถอนหายใจไม่รู้เรื่องนี้จะจบลงอย่างไร
พิมพลอยเผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่รู้สึกตัวอีกทีเพราะได้ยินเสียงดันประตูดังขึ้น หญิงสาวตกใจเล็กน้อยเธอมองลอดช่องที่แตกของฝาไม้กระดานหน้าบ้าน แสงจันทร์สาดส่องให้เห็นภายนอกชัดขึ้น เธอรู้สึกเบาใจที่เห็นเป็นคนรู้จักจึงค่อยๆพยุงกายลุกขึ้นเพื่อเลื่อนกลอนประตูออก
"อ้าว มาซะมืดเชียวมีอะไรหรืออาเช"