ตอนที่ ๔ วังเหมวัฒน์ (๔๐%)

1767 คำ
ปานยิหวานั่งรถผ่านเข้าซุ้มประตูวังที่ประดับตัวอักษรที่อ่านได้ว่า วังเหมวัฒน์ หล่อนค่อนข้างรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที กับความสูงของรั้วเหล็ดดัดสีเขียวเข้มและกำแพงที่ราวกับจะกั้นตัววังและโลกภายนอกออกจากกันได้อย่างเด็ดขาดอย่างไรอย่างนั้น บรรยากาศภายในวัง นับตั้งแต่ที่รถคันนี้เคลื่อนผ่านก็ดูร่มรื่นไปด้วย พรรณไม้ต่าง ๆ อันมีทั้งแบบไม้ยืนต้นและไม้พุ่มล้อมรอบซึ่งก็ทำให้วุงนี้น่าอยู่ไม่น้อย  แต่ว่าแม้บรรยากาศภายในนี้จะน่าอยู่เพราะพรรณไม้   แล้วอัธยาศัยใจคอของคนที่นี่เล่า จะทำให้วังนี้น่าอยู่ด้วยหรือเปล่า  หล่อนไม่กล้าคาดหวังเลย ดวงตาคู่หวานค่อย ๆ ลดมองร่างเล็ก ๆ ของหลานสาวตัวน้อยที่เกาะตรงกระจกรถ เจ้าตัวดูตื่นเต้นขึ้น "นี่คือบ้านลุงช้างหรือคะ"  เด็กน้อยละสายตาจากภายนอกกลับมามองคุณอาสาวของตน  ปานยิหวาพยักหน้าแล้วลูบศีรษะของเจ้าตัวน้อยไปด้วย "ใช่แล้วจ๊ะ  และจะเป็นบ้านของหนูปลาด้วยนะ" "บ้านของอายิหวาด้วย"  หลานสาวรีบบอกด้วยความซื่อ ปานยิหวาส่ายหน้าน้อย ๆ  ก็แค่ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นหรอก  พอถึงเวลาที่เหมาะสม  หล่อนก็ต้องจากไป  และครั้นนึกเวลาที่ตัวเองจะต้องจากหลานรักไปแล้ว หญิงสาวจึงอดใจหายขึ้นมาไม่ได้  หล่อนจึงค่อย ๆ ดึงตัวหลานสาวตัวน้อยมาแนบอก  ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันกับรถที่หล่อนนั่งได้มาหยุดอยู่ตรงมุขหน้าของตึกใหญ่ "ถึงแล้วครับ" คนครับรถที่ชื่อเนียมได้หันมารายงาน ปานยิหวาจึงพยักหน้าทราบ  พร้อมกับจูงมือหลานรักให้ลงจากรถไปด้วยกัน ปานยิหวาพาหลานสาวก้าวลงจากรถ มองตึกใหญ่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก  ตัวตึกใหญ่หลังนี้สีเขียวอ่อนทรงยุโรป มีหลังคาทรงปั้นหยา ด้านข้างตึกทางซ้ายมือมีโดมสูง  ประตูหน้าต่างช่องลมล้อม  โดยเหนือหน้าต่างประตูขึ้นไปจะมีการประดับด้วยปูนปั้นลวดลายเถาดอกไม้ทุกบาน ถือว่าเป็นตึกที่มีความสวยงามไม่น้อย  ผู้ที่สร้างจะต้องชอบงานที่ประณีตแน่ ๆ  ตัวตึกจึงมีรายละเอียดให้เห็นอยู่เช่นนี้ "ผมจะขนข้าวของขึ้นไปเก็บไว้ที่ห้องนอนของคุณนกยูงนะครับ" เสียงของลุงเนียมคนขับรถ ปลุกปานยิหวาออกจากภวังค์การชื่นชมตึกใหญ่ตรงหน้า "คุณจะขึ้นไปพักก่อนมั้ยคะ"  เสียงของหญิงรับใช้อีกคนที่เดินมาสมทบถามขึ้น หล่อนมองหลานสาวตัวน้อยที่ยืนกอดน้องเน่าและกำลังสบตาหล่อนเป๋ง  ก่อนที่จะมาถึง หลานตัวน้อยก็ได้หลับบนรถมาแล้ว จึงไม่มีท่าทางอ่อนเพลีย  หล่อนจึงตัดสินใจบอกหญิงสาวคนดังกล่าวว่า "ยังดีกว่าค่ะ ขอฉันและหลานเดินเล่นก่อนดีกว่า นั่งรถมาตั้งนานได้ยืดเส้นยืดสายสักหน่อยก็ดี" "ค่ะ ถ้าเรียบร้อยก็เรียกอิฉันได้ อิฉันนั่งทำงานแถว ๆ นี้แหละค่ะ จะได้พาคุณและคุณหนูไปส่งที่ห้อง หรือบอกคนอื่น ๆ ก็ได้ ก่อนที่คุณและคุณหนูจะมา คุณช้างก็แจ้งคนที่นี่ให้รู้กันแล้ว เพราะห้องบนตึกมีหลายห้อง กลัวคุณจะหลง" ปานยิหวาเงยหน้ามองดูบนตึกตรงหน้าอีกครั้ง   ก็คงจะจริง เพราะความใหญ่โตของตัวตึก คงทำให้มีห้องอยู่ไม่น้อย "ขอบใจจ้ะ" หล่อนกล่าวกับหญิงรับใช้ที่อายุน่าจะมากกว่าหล่อนไม่กี่ปี จากนั้นปานยิหวาจึงเดินจูงมือหลานสาวตัวน้อยไปเดินเล่นรอบ ๆ ต่อไป... . ปานยิหวาเดินจูงหลานสาวเดินดูรอบ ๆ ตัววังหากกะด้วยสายตาคงบอกไม่ได้เหมือนกันว่ากี่ไร่ เพราะพื้นที่ดูก็กว้างขวางมาก ตลอดทางที่เดินย้อนกลับมาตามถนนที่หล่อนนั่งรถเข้ามาเมื่อครู่ พอได้สักครึ่งทางหล่อนก็หยุด แล้วค่อย ๆ หมุนตัวกลับไปมองด้านหลังอีกครั้ง เพื่อจะได้เห็นภาพในมุมที่กว้างขึ้น ตอนนี้ตัวตึกใหญ่ได้ถูกขนาบด้านซ้ายขวาด้วยเรือนหลังอื่น ๆ ที่อยู่ลดหลั่นกันไป โดยทางขวามือ หากให้เดาจากที่เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าออก คงเป็นเรือนของบริวารที่สร้างด้วยไม้ ส่วนทางซ้ายมือ มีเรือนอีกหลังที่ซ่อนอยู่ภายใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ หล่อนเห็นตัวเรือนไม่ชัด จึงอยากจะชวนเจ้าตัวเล็กไปดูให้ใกล้กว่านี้ "ไปทางนั้นดีกว่าจ้ะ หนูปลา เพราะทางนี้คงเป็นเรือนคนรับใช้ หากเราไปจะทำให้พวกเขาแตกตื่นไม่เป็นอันทำการทำงานกัน" "ค่ะ อายิหวา" เจ้าตัวเล็กรับคำ จากนั้นคนทั้งสองจึงเดินตรงไปยังเรือนหลังนั้น ครั้นเดินเข้าไปใกล้ เรือนครึ่งไม้ครึ่งปูนทรงขนมปังขิงจึงเผยออกจากกลุ่มแมกไม้ โดยตัวเรือนสีเหลืองตัดกับขอบสีน้ำตาลเข้ม  ตามบันได กรอบหน้าต่าง ตลอดจนเชิงชายที่เป็นไม้จะได้รับการฉลุให้มีลวดลายงดงาม หญิงสาวเดินหยุงตรงหน้า ไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้มากกว่านี้ เพราะทั้งประตูหน้าต่างมีการปิดสนิทบ่งบอกว่าคงไม่มีใครอยู่อาศัย เรือนหลังนี้ออกจะสวย ทำไมถึงไม่มีคนอยู่ หรือบางทีแรกเริ่ม เรือนนี้น่าจะใช้เป็นเรือนรับรองแขกก็ได้ หล่อนนึกขึ้นเอง ปานยิหวาไม่กล้าจูงหลานสาวเข้ามือเดินเข้าไปดูอีก พอได้สำรวจทางสายตาคร่าว ๆ ก็ชวนหลานสาวเดินกลับทางเดิม ตลอดทางที่เดินกลับ หล่อนพยายามนึกถึงเรื่องราวความเป็นมาของวังนี้ตลอดจนเจ้าของวังคนเดิมนั้นชื่ออะไร แต่ก็นึกไม่ออก เพราะหล่อนไม่ถนัดเรื่องพวกนี้ ไม่เหมือนกับอรจิรา เพื่อนสนิทของหล่อน รายนั้นรู้เรื่องของคนชนชั้นสูงเป็นอย่างดี ทำให้ปานยิหวานึกอยากจะไปหาอรจิราเสียเดี๋ยวนี้เลย แต่ก็ติดอยู่ที่ว่า ยังไปไม่ได้ เพราะตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว  ไม่เหมาะที่จะพาหลานตัวน้อยออกไปตะลอน ๆ ที่ไหนอีก และตอนที่ทราบว่าพี่สะใภ้หล่อนนามสกุลเหมวัฒน์นั้น หล่อนก็ไม่เฉลียวใจว่าจะเป็นเหมวัฒน์ที่อาศัยในวังนี้ เพราะพูดกันตามเป็นความจริง แม้ คำว่าเหมวัฒน์จะเป็นตระกูลใหญ่ แต่ยิ่งใหญ่สายของตระกูล หรือที่เรียกว่า สาแหรก ก็ยิ่งแตกแขนงออกไปมาก ทำให้เกิดความหลากหลายจนยากจะระบุความเข้มข้นของสายเลือดได้อีก ทว่า พี่สะใภ้หล่อนนามสกุลนี้ ที่หล่อนเคยถาม อีกฝ่ายก็แค่บอกว่า 'ตอนนี้พี่ก็เป็นหินจักรคนหนึ่งแล้ว  ไม่สำคัญอีกแล้วว่าพี่จะเป็นใคร  มาจากไหน หวาก็อย่าไปให้ความสำคัญอีกเลยนะ' หญิงเดินจูงมือหลานสาวกลับมายืนอยู่จุดเดิมที่หล่อนได้ยืนอยู่ก่อนหน้า แล้วมองไปยังตึกที่ใหญ่โตตึกนั้นอีกครั้ง  ความกระจ้อยร่อยของตัวหล่อนที่เทียบกับตึกใหญ่ตรงหน้า ทำให้หล่อนนึกถึงนวนิยายเรื่องดังเรื่องหนึ่งขึ้นมาทันที "เหมือนพจมาน  ที่ได้ถือชะลอม กับกระเป๋าใบใหญ่ มายืนอยู่ตรงหน้าบ้านทรายทองอย่างไรอย่างนั้น ผิดกันแต่ว่าที่เราถือคือแขนเล็ก ๆ ของหนูปลา เหมือนเราเป็นพจมาน แห่งบ้านทรายทองเลยแหะ"  หล่อนพึมพำยาวอย่างคนครึ้มอกครึ้มใจ  ทว่า... "แห่ง...บ้านอะไรนะ..." เสียงทุ้มได้กระซิบถามขึ้นมาทำให้หญิงตกใจจนต้องรีบหันหลังกลับทันที "คุณ..." ดวงตาคมมองร่างบอบบางที่อยู่ในเครื่องแต่งกายที่ผิดไปจากที่เคยจอ ร่างระหงบนรองเท้าส้นสูงกระโปรงสีเขียวอ่อน ตัดกับเสื้อสีขาวแขนตุ๊กตาคอบัว หล่อนดูสวยผิดไปจากสาวชาวบ้านลิบลับที หม่อมหลวงหนุ่มยิ้มให้หล่อนเล็กน้อย แล้วก็ไม่ได้สนใจท่าทางตกใจของหล่อนอีก กลับไปสนใจคนตัวเล็กตรงหน้ามากกว่า "คุณ...มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ!" เขาเพียงแค่ยิ้ม ไม่ยอมตอบคำถามของคนที่ยังตะลึงงันอยู่ ก่อนจะย่อตัวลงไปถามร่างเล็กที่หล่อนจูงมืออยู่  แววตาที่ทอดมองเด็กน้อยตรงหน้า มีแต่ความรักและความเอ็นดูอย่างท่วมท้น "หนูปลา เหนื่อยมั้ยลูก" มือหนาวางบนศีรษะน้อย แล้วลูบเบา ๆ คนตัวเล็กส่ายหน้า "ไม่เลยค่ะ" "มา มาขอลุงอุ้มหน่อย" "คุณ...เข้ามายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย" ปานยิหวามองคนตรงหน้าที่กำลังอุ้มหลานสาวตัวน้อยขึ้นมา เขาได้ยินหล่อนพูดเพ้อเจ้ออะไรไปบ้างนะ ดวงตาหวานมองคนร่างสูงในสูทสีน้ำตาลเข้มอย่างไม่ไว้วางใจ  เขาเห็นสายตาอันไม่วางใจจากหล่อนแน่ ๆ แต่ก็ทำท่าเฉยเสียราวกับไม่รู้ไม่เห็น "คุณล่ะนั่งรถมา รู้สึกเหนื่ยมั้ย" หญิงสาวส่ายหน้า "ไม่หรอกค่ะ ชินแล้ว" "หืม?" คิ้วเข้มของเขาขมวดขึ้นเล็กน้อย  หญิงสาวตอบแล้วก็เบือนหน้าหนีไม่รู้ไม่ชี้ เพราะหล่อนก็มักจะชินกับการไป ๆ มา ๆ อยู่บ่อย ๆ ด้วยเรื่องงาน "ลุงช้างคิดถึง...ที่สุด" ปานยิหวาหันกลับมามองคนที่เอ่ยคำว่า 'คิดถึงที่สุด' พลอยวางหน้าไม่ถูกขึ้นมาทันที ปากบอกว่าคิดถึงหลาน แต่สายตากับจ้องหล่อนเอา ๆ "จะไปอาบน้ำอาบท่าที่ห้องก่อนมั้ย เดี๋ยวเย็นนี้ประมาณหนึ่งทุ่ม ผมจะได้แนะนำให้คุณและหนูปลารู้จักคนอื่น ๆ ที่อยู่นี่" "ก็ดีค่ะ" จากนั้น หม่อมหลวงหนุ่มก็อุ้มหลานสาวตัวน้อยออกเดินนำหน้าหล่อนไป  ปานยิหวาจึงเดินตาม ขณะเดียวกันก็ยังแคลงใจในตัวเขา  เขาเข้ามายืนอยู่ด้านหลังหล่อนตั้งแต่เมื่อไหร่  ได้ยินหล่อนพูดเพ้อเจ้ออะไรไปบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ คนอะไร...มาก็ไม่ให้สุ้มให้เสียง  แถมเราพยายามจะถามว่าได้ยินอะไรไปบ้าง  ก็ทำท่าเมินเฉยกับคำถามเราเสียนี่... หญิงสาวเดินตามหลังพร้อมกับบ่นในใจตามไปด้วย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม