ปานยิหวานั่งรถผ่านเข้าซุ้มประตูวังที่ประดับตัวอักษรที่อ่านได้ว่า
วังเหมวัฒน์
หล่อนค่อนข้างรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที กับความสูงของรั้วเหล็ดดัดสีเขียวเข้มและกำแพงที่ราวกับจะกั้นตัววังและโลกภายนอกออกจากกันได้อย่างเด็ดขาดอย่างไรอย่างนั้น
บรรยากาศภายในวัง นับตั้งแต่ที่รถคันนี้เคลื่อนผ่านก็ดูร่มรื่นไปด้วย พรรณไม้ต่าง ๆ อันมีทั้งแบบไม้ยืนต้นและไม้พุ่มล้อมรอบซึ่งก็ทำให้วุงนี้น่าอยู่ไม่น้อย แต่ว่าแม้บรรยากาศภายในนี้จะน่าอยู่เพราะพรรณไม้ แล้วอัธยาศัยใจคอของคนที่นี่เล่า จะทำให้วังนี้น่าอยู่ด้วยหรือเปล่า หล่อนไม่กล้าคาดหวังเลย
ดวงตาคู่หวานค่อย ๆ ลดมองร่างเล็ก ๆ ของหลานสาวตัวน้อยที่เกาะตรงกระจกรถ เจ้าตัวดูตื่นเต้นขึ้น
"นี่คือบ้านลุงช้างหรือคะ" เด็กน้อยละสายตาจากภายนอกกลับมามองคุณอาสาวของตน ปานยิหวาพยักหน้าแล้วลูบศีรษะของเจ้าตัวน้อยไปด้วย
"ใช่แล้วจ๊ะ และจะเป็นบ้านของหนูปลาด้วยนะ"
"บ้านของอายิหวาด้วย" หลานสาวรีบบอกด้วยความซื่อ ปานยิหวาส่ายหน้าน้อย ๆ ก็แค่ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นหรอก พอถึงเวลาที่เหมาะสม หล่อนก็ต้องจากไป และครั้นนึกเวลาที่ตัวเองจะต้องจากหลานรักไปแล้ว หญิงสาวจึงอดใจหายขึ้นมาไม่ได้ หล่อนจึงค่อย ๆ ดึงตัวหลานสาวตัวน้อยมาแนบอก ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันกับรถที่หล่อนนั่งได้มาหยุดอยู่ตรงมุขหน้าของตึกใหญ่
"ถึงแล้วครับ" คนครับรถที่ชื่อเนียมได้หันมารายงาน
ปานยิหวาจึงพยักหน้าทราบ พร้อมกับจูงมือหลานรักให้ลงจากรถไปด้วยกัน
ปานยิหวาพาหลานสาวก้าวลงจากรถ มองตึกใหญ่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก ตัวตึกใหญ่หลังนี้สีเขียวอ่อนทรงยุโรป มีหลังคาทรงปั้นหยา ด้านข้างตึกทางซ้ายมือมีโดมสูง ประตูหน้าต่างช่องลมล้อม โดยเหนือหน้าต่างประตูขึ้นไปจะมีการประดับด้วยปูนปั้นลวดลายเถาดอกไม้ทุกบาน
ถือว่าเป็นตึกที่มีความสวยงามไม่น้อย ผู้ที่สร้างจะต้องชอบงานที่ประณีตแน่ ๆ ตัวตึกจึงมีรายละเอียดให้เห็นอยู่เช่นนี้
"ผมจะขนข้าวของขึ้นไปเก็บไว้ที่ห้องนอนของคุณนกยูงนะครับ" เสียงของลุงเนียมคนขับรถ ปลุกปานยิหวาออกจากภวังค์การชื่นชมตึกใหญ่ตรงหน้า
"คุณจะขึ้นไปพักก่อนมั้ยคะ" เสียงของหญิงรับใช้อีกคนที่เดินมาสมทบถามขึ้น
หล่อนมองหลานสาวตัวน้อยที่ยืนกอดน้องเน่าและกำลังสบตาหล่อนเป๋ง ก่อนที่จะมาถึง หลานตัวน้อยก็ได้หลับบนรถมาแล้ว จึงไม่มีท่าทางอ่อนเพลีย หล่อนจึงตัดสินใจบอกหญิงสาวคนดังกล่าวว่า
"ยังดีกว่าค่ะ ขอฉันและหลานเดินเล่นก่อนดีกว่า นั่งรถมาตั้งนานได้ยืดเส้นยืดสายสักหน่อยก็ดี"
"ค่ะ ถ้าเรียบร้อยก็เรียกอิฉันได้ อิฉันนั่งทำงานแถว ๆ นี้แหละค่ะ จะได้พาคุณและคุณหนูไปส่งที่ห้อง หรือบอกคนอื่น ๆ ก็ได้ ก่อนที่คุณและคุณหนูจะมา คุณช้างก็แจ้งคนที่นี่ให้รู้กันแล้ว เพราะห้องบนตึกมีหลายห้อง กลัวคุณจะหลง"
ปานยิหวาเงยหน้ามองดูบนตึกตรงหน้าอีกครั้ง ก็คงจะจริง เพราะความใหญ่โตของตัวตึก คงทำให้มีห้องอยู่ไม่น้อย
"ขอบใจจ้ะ" หล่อนกล่าวกับหญิงรับใช้ที่อายุน่าจะมากกว่าหล่อนไม่กี่ปี จากนั้นปานยิหวาจึงเดินจูงมือหลานสาวตัวน้อยไปเดินเล่นรอบ ๆ ต่อไป...
.
ปานยิหวาเดินจูงหลานสาวเดินดูรอบ ๆ ตัววังหากกะด้วยสายตาคงบอกไม่ได้เหมือนกันว่ากี่ไร่ เพราะพื้นที่ดูก็กว้างขวางมาก ตลอดทางที่เดินย้อนกลับมาตามถนนที่หล่อนนั่งรถเข้ามาเมื่อครู่ พอได้สักครึ่งทางหล่อนก็หยุด แล้วค่อย ๆ หมุนตัวกลับไปมองด้านหลังอีกครั้ง เพื่อจะได้เห็นภาพในมุมที่กว้างขึ้น
ตอนนี้ตัวตึกใหญ่ได้ถูกขนาบด้านซ้ายขวาด้วยเรือนหลังอื่น ๆ ที่อยู่ลดหลั่นกันไป โดยทางขวามือ หากให้เดาจากที่เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าออก คงเป็นเรือนของบริวารที่สร้างด้วยไม้ ส่วนทางซ้ายมือ มีเรือนอีกหลังที่ซ่อนอยู่ภายใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ หล่อนเห็นตัวเรือนไม่ชัด จึงอยากจะชวนเจ้าตัวเล็กไปดูให้ใกล้กว่านี้
"ไปทางนั้นดีกว่าจ้ะ หนูปลา เพราะทางนี้คงเป็นเรือนคนรับใช้ หากเราไปจะทำให้พวกเขาแตกตื่นไม่เป็นอันทำการทำงานกัน"
"ค่ะ อายิหวา" เจ้าตัวเล็กรับคำ
จากนั้นคนทั้งสองจึงเดินตรงไปยังเรือนหลังนั้น ครั้นเดินเข้าไปใกล้ เรือนครึ่งไม้ครึ่งปูนทรงขนมปังขิงจึงเผยออกจากกลุ่มแมกไม้ โดยตัวเรือนสีเหลืองตัดกับขอบสีน้ำตาลเข้ม ตามบันได กรอบหน้าต่าง ตลอดจนเชิงชายที่เป็นไม้จะได้รับการฉลุให้มีลวดลายงดงาม
หญิงสาวเดินหยุงตรงหน้า ไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้มากกว่านี้ เพราะทั้งประตูหน้าต่างมีการปิดสนิทบ่งบอกว่าคงไม่มีใครอยู่อาศัย
เรือนหลังนี้ออกจะสวย ทำไมถึงไม่มีคนอยู่ หรือบางทีแรกเริ่ม เรือนนี้น่าจะใช้เป็นเรือนรับรองแขกก็ได้
หล่อนนึกขึ้นเอง
ปานยิหวาไม่กล้าจูงหลานสาวเข้ามือเดินเข้าไปดูอีก พอได้สำรวจทางสายตาคร่าว ๆ ก็ชวนหลานสาวเดินกลับทางเดิม ตลอดทางที่เดินกลับ หล่อนพยายามนึกถึงเรื่องราวความเป็นมาของวังนี้ตลอดจนเจ้าของวังคนเดิมนั้นชื่ออะไร แต่ก็นึกไม่ออก เพราะหล่อนไม่ถนัดเรื่องพวกนี้ ไม่เหมือนกับอรจิรา เพื่อนสนิทของหล่อน รายนั้นรู้เรื่องของคนชนชั้นสูงเป็นอย่างดี
ทำให้ปานยิหวานึกอยากจะไปหาอรจิราเสียเดี๋ยวนี้เลย แต่ก็ติดอยู่ที่ว่า ยังไปไม่ได้ เพราะตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ไม่เหมาะที่จะพาหลานตัวน้อยออกไปตะลอน ๆ ที่ไหนอีก
และตอนที่ทราบว่าพี่สะใภ้หล่อนนามสกุลเหมวัฒน์นั้น หล่อนก็ไม่เฉลียวใจว่าจะเป็นเหมวัฒน์ที่อาศัยในวังนี้ เพราะพูดกันตามเป็นความจริง แม้ คำว่าเหมวัฒน์จะเป็นตระกูลใหญ่ แต่ยิ่งใหญ่สายของตระกูล หรือที่เรียกว่า
สาแหรก
ก็ยิ่งแตกแขนงออกไปมาก ทำให้เกิดความหลากหลายจนยากจะระบุความเข้มข้นของสายเลือดได้อีก
ทว่า พี่สะใภ้หล่อนนามสกุลนี้ ที่หล่อนเคยถาม อีกฝ่ายก็แค่บอกว่า
'ตอนนี้พี่ก็เป็นหินจักรคนหนึ่งแล้ว ไม่สำคัญอีกแล้วว่าพี่จะเป็นใคร มาจากไหน หวาก็อย่าไปให้ความสำคัญอีกเลยนะ'
หญิงเดินจูงมือหลานสาวกลับมายืนอยู่จุดเดิมที่หล่อนได้ยืนอยู่ก่อนหน้า แล้วมองไปยังตึกที่ใหญ่โตตึกนั้นอีกครั้ง ความกระจ้อยร่อยของตัวหล่อนที่เทียบกับตึกใหญ่ตรงหน้า ทำให้หล่อนนึกถึงนวนิยายเรื่องดังเรื่องหนึ่งขึ้นมาทันที
"เหมือนพจมาน ที่ได้ถือชะลอม กับกระเป๋าใบใหญ่ มายืนอยู่ตรงหน้าบ้านทรายทองอย่างไรอย่างนั้น ผิดกันแต่ว่าที่เราถือคือแขนเล็ก ๆ ของหนูปลา เหมือนเราเป็นพจมาน แห่งบ้านทรายทองเลยแหะ" หล่อนพึมพำยาวอย่างคนครึ้มอกครึ้มใจ ทว่า...
"แห่ง...บ้านอะไรนะ..."
เสียงทุ้มได้กระซิบถามขึ้นมาทำให้หญิงตกใจจนต้องรีบหันหลังกลับทันที
"คุณ..."
ดวงตาคมมองร่างบอบบางที่อยู่ในเครื่องแต่งกายที่ผิดไปจากที่เคยจอ ร่างระหงบนรองเท้าส้นสูงกระโปรงสีเขียวอ่อน ตัดกับเสื้อสีขาวแขนตุ๊กตาคอบัว หล่อนดูสวยผิดไปจากสาวชาวบ้านลิบลับที หม่อมหลวงหนุ่มยิ้มให้หล่อนเล็กน้อย แล้วก็ไม่ได้สนใจท่าทางตกใจของหล่อนอีก กลับไปสนใจคนตัวเล็กตรงหน้ามากกว่า
"คุณ...มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ!"
เขาเพียงแค่ยิ้ม ไม่ยอมตอบคำถามของคนที่ยังตะลึงงันอยู่ ก่อนจะย่อตัวลงไปถามร่างเล็กที่หล่อนจูงมืออยู่ แววตาที่ทอดมองเด็กน้อยตรงหน้า มีแต่ความรักและความเอ็นดูอย่างท่วมท้น
"หนูปลา เหนื่อยมั้ยลูก" มือหนาวางบนศีรษะน้อย แล้วลูบเบา ๆ
คนตัวเล็กส่ายหน้า "ไม่เลยค่ะ"
"มา มาขอลุงอุ้มหน่อย"
"คุณ...เข้ามายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย"
ปานยิหวามองคนตรงหน้าที่กำลังอุ้มหลานสาวตัวน้อยขึ้นมา เขาได้ยินหล่อนพูดเพ้อเจ้ออะไรไปบ้างนะ ดวงตาหวานมองคนร่างสูงในสูทสีน้ำตาลเข้มอย่างไม่ไว้วางใจ เขาเห็นสายตาอันไม่วางใจจากหล่อนแน่ ๆ แต่ก็ทำท่าเฉยเสียราวกับไม่รู้ไม่เห็น
"คุณล่ะนั่งรถมา รู้สึกเหนื่ยมั้ย"
หญิงสาวส่ายหน้า "ไม่หรอกค่ะ ชินแล้ว"
"หืม?" คิ้วเข้มของเขาขมวดขึ้นเล็กน้อย หญิงสาวตอบแล้วก็เบือนหน้าหนีไม่รู้ไม่ชี้ เพราะหล่อนก็มักจะชินกับการไป ๆ มา ๆ อยู่บ่อย ๆ ด้วยเรื่องงาน
"ลุงช้างคิดถึง...ที่สุด"
ปานยิหวาหันกลับมามองคนที่เอ่ยคำว่า 'คิดถึงที่สุด' พลอยวางหน้าไม่ถูกขึ้นมาทันที ปากบอกว่าคิดถึงหลาน แต่สายตากับจ้องหล่อนเอา ๆ
"จะไปอาบน้ำอาบท่าที่ห้องก่อนมั้ย เดี๋ยวเย็นนี้ประมาณหนึ่งทุ่ม ผมจะได้แนะนำให้คุณและหนูปลารู้จักคนอื่น ๆ ที่อยู่นี่"
"ก็ดีค่ะ"
จากนั้น หม่อมหลวงหนุ่มก็อุ้มหลานสาวตัวน้อยออกเดินนำหน้าหล่อนไป ปานยิหวาจึงเดินตาม ขณะเดียวกันก็ยังแคลงใจในตัวเขา เขาเข้ามายืนอยู่ด้านหลังหล่อนตั้งแต่เมื่อไหร่ ได้ยินหล่อนพูดเพ้อเจ้ออะไรไปบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้
คนอะไร...มาก็ไม่ให้สุ้มให้เสียง แถมเราพยายามจะถามว่าได้ยินอะไรไปบ้าง ก็ทำท่าเมินเฉยกับคำถามเราเสียนี่...
หญิงสาวเดินตามหลังพร้อมกับบ่นในใจตามไปด้วย