บทนำ
จักรยานคันกลางเก่ากลางใหม่ที่แล่นอยู่บนถนนลูกรังด้วยความเร็ว จากร่างเล็กบางร่างหนึ่ง ตอนนี้สายตาหล่อนจดจ่ออยู่แต่ทางข้างหน้า
"ยิหวา จะรีบไปไหนน่ะ! "
เสียงใครบางคนที่อยู่ข้างทางตะโกนถาม แต่แม้จะหยุดรถเพื่อพูดคุยหล่อนก็ยังไม่มีเวลา ที่ทำได้คือหันกลับไปด้านหลังเล็กน้อย แล้วตะโกนตอบ
"กลับบ้านจ้ะลุง! "
"ทำไมรีบร้อนอย่างนี้ ระวัง ๆ นะลูก"
หล่อนเหลียวมองไปดูเสียงตะโกนตามหลังอย่างเป็นห่วงนั้น หญิงสาวไม่สามารถเอ่ยขอบคุณหรือตอบคำถามได้ ว่า ทำไมถึงต้องรีบร้อนกลับบ้านเช่นนี้ เพราะหล่อนไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้อีกแล้ว
เสียงกระดิ่งจักรยานดังขึ้นติด ๆ กัน และแล้วหล่อนก็พาจักรยานคู่ชีพพุ่งเข้ามายังบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้หลังหนึ่ง ระหว่างที่กำลังเทียบจอดนั้น สายตาก็เห็นรถยนต์สีดำคันโต อย่างที่ผู้รากมากดีนิยมใช้บนถนนในเมืองกรุงอยู่หลายคน และรถคันนั้นก็ได้จอดเยื้องกับจักรยานของหล่อนไปไม่ห่าง
"นั่น มาแล้ว ยิหวา...ลูก"
หล่อรลงจากรถ แล้วปรี่เข้าไปหาบิดาและมารดาที่กำลังรอหล่อนกลับจากสวนด้วยสีหน้าไม่ดี
"พ่อจ้ะ แม่จ้ะ นี่เกิดอะไรขึ้น"
"เขา เขาจะมารับหลาน หลานเราไปแล้วนะ" ผู้เป็นแม่รีบบอกเสียงเครือ หญิงสาวจึงรีบมองหามองหา ใครบางคน ที่พ่อและแม่หล่อนหมายถึง
ดวงตาคมกริบนั้นมอง หญิงสาวร่างเล็กบางที่สวมเชิ้ตตัวโคร่งกับกางเกงยีนส์เก่า ๆ ตัวหนึ่ง หล่อนพยายามปลดหมวกสานที่ใช้กันอยู่ทั่วไปสำหรับชาวสวนออก ทันทีที่หมวกใบนั้นหลุดจากศีรษะ ทำให้เขาได้เห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้น จมูกโด่งเป็นสันของหล่อน รับกับริมฝีปากที่อิ่มนั้นได้อย่างน่ามอง
ส่วนผิวกายหล่อนที่เห็นเฉพาะที่โพล่พ้นมาจากเสื้อตัวโคร่ง ก็ทำให้เห็นว่าตัวหล่อนนั้นดูผิดกับชาวไร่ชาวสวน แถว ๆ นี้อยู่ไม่น้อย ผิวหล่อนขาวลออ เกลี้ยงเกลาจนยากจะบอกว่าเป็นชาวสวนจริง ๆ
"คุณ"
"ผมเป็นทนายของคุณ คชาธาร" เสียงห้าวแนะนำก่อน "...ที่เป็นพี่ชายของคุณนกยูง หรือคุณมยุรี"
"ค่ะ นั่นฉันรู้ พี่นกยูงคือพี่สะใภ้ฉันเอง แต่ที่ไม่เข้าใจคือ พวกคุณมีสิทธิ์อะไรที่จะมาพาหลานปลาของเราไปอยู่ด้วย" หล่อนพอรู้รายละเอียดเรื่องนี้คร่าว ๆ ก็ตอนที่เจ้าจุกเด็กบ้านใกล้เรือนเคียงขันอาสาไปตามหล่อนถึงที่สวนให้รีบกลับบ้าน ตอนนั้น เจ้าจุกบอกว่า
'พี่ยิหวา รีบกลับบ้านเลย มีคนเมืองกรุง จะมาพาตัวหนูปลาไปแล้ว! '
นั่นเองที่ทำให้หล่อนรีบร้อน จับจักรยานได้จึงปั่นกลับบ้านทันที
.
ชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้าถอนหายใจ ก่อนจะอธิบายว่า "สิทธิ์ตามที่คุณนกยูงได้ยกให้ทางเราดูแล"
ปานยิหวาเอียงคอมองผู้มาใหม่ด้วยความไม่เข้าใจ "ต้องมีอะไรผิดพลาดไปแน่ ๆ พี่นกยูงยกหนูปลาให้พวกคุณไปตั้งแต่เมื่อไหร่คะ"
"หลายเดือนแล้วครับ"
"ไม่จริง" หล่อนรีบปฏิเสธอย่างไม่เชื่อ ก่อนจะเดินตรงไปยังร่างหลานรักที่หลับตาพริ้มอยู่บนแคร่ตรงหน้า โดยแขนข้างหนึ่งของเจ้าตัวก็กอด เจ้าเน่า ตุ๊กตาคู่ใจเอาไว้ด้วย หลานรักของหล่อนกำลังนอนกลางวัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือ...
"ว่าแล้ว ว่าพวกคุณต้องไม่เชื่อ คุณคชาธาร หรือคุณช้าง จึงได้อนุญาตให้ผมนำนี่มาให้พวกคุณดู" เขากล่าว ก่อนจะล้วงเอาจดหมายฉบับหนึ่งที่ซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมา แล้วยื่นมาตรงหน้า "...นี่คือจดหมายฉบับสุดท้ายที่คุณนกยูงส่งไปให้คุณช้าง พร้อมกับข้อความที่บอกว่า หากคุณนกยูงเป็นอะไรไป ขอยกลูกสาวคนเดียวก็คือ หนูมัสยา ให้กับทางคุณช้างเป็นผู้ปกครองดูแลต่อไป"
หญิงสาวเดินตรงไปหยิบจดหมายที่เขาอ้างมาเปิดอ่านข้อความ จากนั้นใบหน้าสวยก็ค่อย ๆ ซีดลง
จดหมายฉบับนี้ระบุวันและเวลาเอาไว้แน่ชัด ถ้าเทียบกันแล้ว แสดงว่าพี่สะใภ้ของหล่อนได้ส่งไปหาพี่ชาย ก่อนที่ตัวเองจะประสบอุบัติเหตุพร้อมสามีหรือพี่ชายของหล่อนก่อนหน้าหนึ่งเดือน!
"เป็นไปไม่ได้" หญิงสาวพึมพำ "พี่นกยูงจะรู้ก่อนล่วงหน้าว่าตัวเองจะต้องเสียได้ยังไง"
ผู้เป็นแม่และพ่อ เดินตรงมาหาร่างลูกสาว ลูบเนื้อตัวหล่อนอย่างสงสารก่อนจะบอกว่า "แม่กับพ่อได้อ่านแล้วนะ ยิหวา เป็นลายมือของนกยูงจริง ๆ "
"เป็นไปไม่ได้ค่ะ" หล่อนหันไปส่ายหน้าให้กับบุพการี
แต่ท่านทั้งสองก็คงลำบากใจในเรื่องนี้ ก่อนจะบอกลูกสาวว่า "อาจจะเป็นลางสังหรณ์ ที่ทำให้นกยูงได้เขียนจดหมายไปหาพี่ชายเขาอย่างนั้นจริง ๆ " ผู้เป็นแม่เอ่ยเสียงเครือ
"พี่นกยูงจะ จะคิดว่าเราดูแลหนูปลา หลานสาวคนเดียวไม่ได้เชียวหรือคะ ถึงกับต้องยกลูกให้ทางนั้นดูแล ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้า ทางบ้านพี่นกยูงก็ไม่เคยใยดีพี่นกยูงและลูกมาก่อนเลย"
"เราไม่รู้เหตุผล ว่านกยูงเขาอาจจะมีเหตุผลอะไรที่บอกใครไม่ได้ แต่เจตจำนงค์ของคนตายเราต้องทำตามนะลูก" ผู้เป็นบิดาเอ่ยบ้าง
หญิงสาวถอนหายใจ พลางถอยร่นไปนั่งกับแคร่อย่างหมดแรง
"ไม่ได้ ยิหวาไม่ยอมให้หลานไปอยู่ไกลหูไกลตาแน่ ๆ ค่ะ ไม่มีทาง! "