พอครบกำหนดวันที่หม่อมหลวงหนุ่มได้บอกเอาไว้
ปานยิหวาและหลานสาวตัวน้อย จึงเตรียมตัวกันให้พร้อมตั้งแต่เช้าตรู่ วันนี้หล่อนจับหลานสาวตัวน้อยมาแต่งเนื้อแต่งตัวให้สวยสมด้วยชุดกระโปรงจีบรอบลายดอกไม้สีแดง ผมนุ่มยาวของหลานรักก็ถูกหล่อนจับมาถักเปียเอาไว้ทั้งสองข้าง พร้อมกับผูกโบว์สีแดงเพื่อให้เข้ากันกับชุดที่สวมใส่ ส่วนตัวหล่อนนั้นก็หยิบกระโปรงยาวเลยเข่าสีเขียวอ่อนมาสวม เอวขอดคาดเข็มขัดสีเขียวเข้มเพื่อให้เข้ากันกับสีของกระโปรง และพิ่มโทนหวานไปอีกนิด ด้วยเสื้อคอบัวแขนตุ๊กตา
และขณะที่กำลังสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองและหลานสาวตัวน้อย ผู้เป็นแม่ก็ได้เปิดประตูห้องเข้ามาพบ ถึงกับต้องตะลึงน้อย ๆ ไปด้วย
"หวา เรียบร้อยหรือยังลูก โอ้โห! สวยทั้งคู่เลยนะลูก"
"เรียบร้อยแล้วค่ะแม่" ตอบพร้อมกับหันไปมอง พลางอธิบาย "หวาอยากให้หลานแต่งเนื้อแต่งตัวให้เหมาะสมหน่อย ไม่อยากให้พวกทางโน้นต้องมาดูถูกว่าเราเป็นพวกบ้านนอกเข้ากรุง"
ผู้เป็นมารดาจึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย "ดีแล้วล่ะลูก คนในวังเหมวัฒน์มีอยู่หลายชีวิต เขาจะได้ไม่ดูถูกเราสองคนที่กำลังจะเข้าไปอยู่อาศัย อีกอย่างหนูปลาก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกสาวของนกยูงจึงถือว่ามีเชื้อสายจ้าวอยู่บ้าง... เมื่อได้มาอยู่กับเรา เราก็ไม่ได้เลี้ยงดูแบบชาวบ้านป่าเมืองเถื่อน จะแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างไร ก็ต้องให้เหมาะสมกับสถานที่จะไปอาศัยด้วย"
"คุณแม่ก็คงรู้จักกับคนที่วังนั่นอยู่ใช่มั้ยคะ" หล่อนลองเรียบ ๆ เคียง ๆ ถามดู เห็นท่านหยุดตรึกตรองไปสักนิด
ผู้เป็นแม่เอง...ด้วยเพราะไม่อยากโกหก ขณะเดียวกันก็ยังไม่อยากให้ลูกสาวมาซักเพิ่มจึงตอบเพียงแค่ "ก็...รู้จักบ้างเป็นบางคน"
"หวาว่าแล้วเชียว คุณแม่ทำอะไรอยู่ ก่อนที่จะมาอยู่ที่นี่ คงได้พบคนในระดับสูงมาแล้วหลายคน หนึ่งในนั้นย่อมต้องมีคนจากวังเหมวัฒน์ด้วยล่ะ"
มารดาเพียงแค่ยิ้ม ที่บุตรสาวสามารถเดาได้ถูก ก่อนจะตัดบทเพียงแค่ว่า "พอเถอะ อย่าคิดไปไกลอะไรในตอนนี้เลย พ่อเขาสั่งให้แม่มาตามลงไปรอคุณช้างได้แล้ว เขาได้โทร.เลขมาบอกล่วงหน้าว่าจะมาถึงสาย ๆ นี่ก็สายแล้วไปรอเขา อย่าให้เขามารอเรามันจะไม่ดี"
ว่าแล้วหล่อนจึงก้มจับแขนหลานสาวให้เดินตามผู้เป็นแม่ออกจากห้อง แต่เจ้าตัวเล็กกลับขืนตัวเอาไว้ พลางเงยหน้าบอก "หนูปลาจะเอาน้องเน่าไปด้วย"
นั่นเอง ปานยิหวาจึงนึกขึ้นได้ ว่าแล้วจึงเดินไปหยิบน้องเน่า ตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวแรกที่พี่ชายหล่อนซื้อให้ลูก แล้วยื่นให้หลานรัก อีกฝ่ายก็รับไปถือด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วยอมให้อาสาวจับจูงมือเดินออกจากห้องนอนไป
.
"นี่มันอะไรกัน!"
เสียงแหววได้ดังขึ้น เมื่อร่างบอบร่างหนึ่งในชุดกระโปรงสีแดงฉูดฉาดก้าวออกจากตัวตึกใหญ่ ดวงตาเฉี่ยวทอดมองรถยนต์ที่จอดรออยู่ตรงมุขหน้าด้วยความไม่พอใจ เพราะนี่ไม่ใช่รถที่หล่อนใช้เป็นประจำ ว่าแล้วดวงตาคู่เฉี่ยวจึงหันไปถลึงดุใส่คนขับรถที่กำลังค้อมตัวรอรับหล่อนอยู่
"คือรถคันที่คุณเดือนใช้ คุณช้างให้เอาไปรับคุณหนูน่ะครับ" เสียงอธิบายสั่น ๆ อย่างหวาดกลัว
"คุณหนู? คุณหนูที่ไหนอีก!" ถามพลางก้าวลงจากบันได แล้วมองรถคันสีหม่นตรงหน้า
"ก็คุณหนู ลูกสาวคุณนกยูงอย่างไรเล่าครับ"
อีกฝ่ายเหมือนจะนึกได้ขึ้น จึงทำท่าตกใจประกอบ "อะไร! นี่มันจะกลับมาวันนี้แล้วหรือ"
"เบา ๆ หน่อยแม่เดือน!"
เสียงดุที่ดังตามหลัง ทำให้
เพียงเดือน
หมุนกายกลับไปมอง หล่อนจึงเห็นสตรีสาววัยสี่สิบต้น ๆ ลงจากบันไดมาด้วยมาดสง่างาม แขนข้างหนึ่งของเจ้าของน้ำเสียงเฉียบดุ ได้คล้องกระเป๋าถือสีแดงเลือดหมู ร่างระหงนุ่งกางเกงผ้าห้าส่วนสีขาว ตัดกับเสื้อสีแดงเลือดหมู ตอนนี้สายตาคู่นั้นกำลังมองไปยังรถคันดังกล่าว ก่อนจะเบือนหน้าไปถามคนขับรถต่อ
"รถที่ฉันและลูกใช้อยู่ทุกวัน ตาช้างให้เอาไปรับลูกของนกยูงหรือ"
"ครับ คุณระตี"
"งั้นก็ใช้คันนี้แหละ"
บอกเรียบ ๆ แต่ลูกสาวที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เหมือนจะไม่พอใจ "แต่คุณแม่คะ รถคันนี้มันเก่าคร่ำครึ ไม่โก้หรูอย่างรถคันนั้น ขืนเรานั่งคันนี้เข้าไปที่สมาคม คนอื่น ๆ ได้มองตายเลยค่ะ"
"เงียบแม่เดือน!" ผู้เป็นแม่เอ็ดขึ้นเป็นหนสอง พร้อมหันไปถลึงตาดุใส่ลูก แล้วยื่นหน้าไปเตือนสติอีกเบา ๆ "แกจะพูดมากให้บ่าวมันเอาไปพูดกันจนเข้าหูเจ้าของวังนี้หรือไง ขึ้นรถ!"
จากนั้นจึงเดินหน้าลูกสาวคนเล็ก ขึ้นไปนั่งในรถคันดังกล่าว
"แต่ คุณแม่ขา..." เพียงเดือนหงุดหงิดย่ำเท้าลงบนพื้นหินอ่อนที่ขัดจนขึ้นมันเงาวับ ด้วยรังเกียจเจ้ารถคันสับปะรังเคนี่เหลือทน พี่ช้างนี่ก็ช่างกระไร รถยนต์ของวังนี้มีอีกตั้งหลายคัน ใยต้องเจาะจงใช้รถคันที่หล่อนและมารดาใช้อยู่ตลอด จนคนอื่น ๆ ต่างก็เข้าใจกันทั่วแล้วว่า รถคันนั้นคือรถประจำตัวของหล่อนและมารดา
นี่อะไร แค่จะให้ไปรับเด็กและผู้หญิงที่จะมาจากบ้านนอกเพียงเท่านั้น ใยต้องเอารถคันที่หรูที่สุดของที่นี่ไปรับด้วยนะ!
"จะขึ้นหรือไม่ขึ้น แม่เดือน" มารดายื่นหน้าจากตัวรถออกมาขู่
ทำให้ลูกสาวคนเล็กทำท่าตระแหง่แง่งอนได้ไม่นาน จึงจำใจขึ้นไปในรถคันตรงหน้า นั่งลงเคียงคู่กับมารดาแต่โดยดี
"มัวแต่ร่ำไรอยู่นั่น รีบ ๆ ไป จะได้ทำธรุะเสร็จไว ๆ พอเสร็จแล้วเราจะได้รีบกลับมาต้อนรับหลานสาวตัวน้อย ลูกของแม่นกยูงอย่างไรล่ะ!"
ผู้เป็นมารดายื่นหน้าไปกระซิบบอกบุตรสาวที่นั่งหน้าบึ้งใกล้ ๆ ขณะที่รถคันดังกล่าวก็ค่อย ๆ เคลื่อน ๆ ออกจากประตูวังไป
เหมือนเพียงเดือน จะเข้าใจความหมายจากนัยน์ตาทั้งสองของผู้เป็นแม่ หล่อนจึงพยักหน้าพลางลอบยิ้มกริ่มทันที "อ้อ! เข้าใจแล้วค่ะ คุณแม่"
ความจริงในใจมารดาของหล่อนก็ไม่ได้ยอมที่จะใช้รถคันนี้แต่โดยดีนั่นเอง แต่ท่านกำลังเก็บงำความไม่พอใจ แล้วเตรียมเอาไปลงกับ 'ต้นเหตุ' ของเรื่องนี้อย่างเต็มที่นั่นเอง!
.
ครั้นถึงเวลาที่เขากำหนดเอาไว้ ว่ารถจะมารับ ปานยิหวาจึงเห็นรถยนต์หรูคันสีครีมได้เคลื่อนเข้ามาจอดในบ้านอย่างช้า ๆ
คนที่ก้าวลงจากรถยนต์ไม่ใช่หม่อมหลวงหนุ่มดั่งที่หล่อนคิดเอาไว้แต่แรก แต่เป็นชายวัยค่อนคนรูปร่างท้วม อีกฝ่ายเดิมอ้อมรถมาแนะนำตัวต่อหล่อน บิดาและมารดาด้วยท่าทางนอบน้อมว่า
"ผมเป็นคนขับรถประจำวังเหมวัฒน์ คุณช้างติดงานจึงให้เป็นตัวแทนมารับคุณยิหวาและคุณหนูครับ"
หล่อนพยักหน้าอย่างเข้าใจ "เข้าใจแล้วค่ะ"
"แล้วกระเป๋า ข้าวของอยู่ตรงไหนครับ ผมจะได้ยกใส่ท้ายรถให้ครับ"
หล่อนจึงยิ้มเล็กน้อย พลางบอก "มีไม่กี่ใบเท่านั้นค่ะ ตรงนี้เอง" ตอบและชี้ไปยังกระเป๋าสามสี่ใบที่วางเรียงรายไม่ห่าง
จากนั้นชายคนขับรถและบิดาหล่อนจึงช่วยกันยกข้าวของใส่รถคันดังกล่าว พอเรียบร้อยหล่อนจึงหันมาบอกหลานสาวตัวน้อยว่า
"สวัสดีคุณปู่และคุณย่าสิคะ หนูปลา เราต้องไปแล้วนะ"
"สวัสดีค่าปู่ขา ย่าขา"
"ขอบุญรักษา ขอให้พระคุ้มครองนะลูก" ผู้เป็นย่าเอ่ยพลางก้มหอมแก้มหลานสาวซ้ายขวา แล้วผุดขึ้นมารับไหว้จากปานยิหวา
หญิงสาวไหว้บิดาและมารดาแล้วก็จูงมือหลานสาวตัวน้อยขึ้นไปนั่งบนรถตรงหน้า แล้วไม่นานรถยนต์คันดังกล่าวจึงค่อย ๆ เคลื่อนออกจากบริเวณบ้านหลังนี้ไป พร้อมกับมีสายตาแห่งความอาลัยรักจากบุพการีคู่นี้มองตามด้วย
"หากเราคิดถึงหลานและลูก..." เสียงห้าวเอ่ย พร้อมกับสัมผัสจากแขนข้างหนึ่งของเจ้าของเสียงที่วางลงบนบ่าข้างหนึ่งของตน เจ้าของบ่าจึงมองแขนข้างนั้นก่อนจะหันไปหน้ากลับมาสบตากับคนที่กำลังยืนเคียงข้างตนอยู่
"...เราค่อยไปเยี่ยมก็ได้ คุณช้างคงจะมีความปรารถนาดีต่อเรา หลานและลูกอยู่หรอก แม่ว่ามั้ย"
ผู้เป็นภรรยาเพียงแค่ยิ้มรับอย่างน้อย ๆ ก่อนจะตอบกลับว่า "ค่ะ คุณช้างคงไม่ใจร้ายที่จะห้ามเราไม่ให้ไปหาหลานและลูกยิหวาหรอก บางทีความปรารถนาดีอันนั้น อาจจะมีต่อ 'ลูกยิหวา' มากกว่าที่เราทั้งสองได้คิดเอาไว้ก็ได้ค่ะ"