หญิงสาวค่อย ๆ เปิดประตูออกจากห้องนอนของมารดา โดยที่ในมือถือสิ่งของบางอย่างที่แอบเข้าไปค้นหาจากห้องนอนของท่าน ติดมือมาด้วย พอปิดประตูลงเรียบร้อย จึงเดินตรงไปยังคนทั้งสามที่ยังนอนรับสายลมเย็น ๆ ตรงเฉลียงบ้าน พร้อมกับทอดมองท้องฟ้ายามค่ำคืนไปด้วย
เสียงบทเพลงสุนทราภรณ์ที่ดังคลอกับสายลมพลิ้วไหวเอื่อย ๆ ยามค่ำคืน บ่งบอกให้รู้ว่าคงมาจากวิทยุที่บิดาหล่อนชอบนำมาเปิดฟังข่าวสารบ้านเมือง หรือไม่ก็ฟังเพลง
พูดถึงวิทยุ แม้สมัยนี้จะมีกระแสไฟฟ้าตามบ้านเรือนมากขึ้นแล้ว แต่ยังถือเป็นสิ่งแปลกใหม่ในชนบทจึงมีเพียงบางหลังที่เปิดไฟสว่างจ้าเท่านั้น ซึ่งผิดกันกับบ้านหลังนี้เนื่องจาก มารดาหล่อนให้เหตุผลว่า ไม่ค่อยชินกับแสงไฟจ้าเช่นกลางวันอย่างนั้น ทำให้ท่านรู้สึกร้อนรุ่มนอนไม่ค่อยหลับ ท่านจึงนิยมใช้แสงไฟจากจากตะเกียงเจ้าพายุอยู่
และอีกอย่างบิดาหล่อนเคยบอกว่า ถ้าจะออกมารับลมตรงเฉลียงบ้าน ควรจะใช้ตะเกียงไฟเจ้าพายุดีกว่า เผื่อจะได้มองเห็นแสงจากดวงเดือนและดาวที่จับตัวกันเป็นแพยาวไปบนนภากาศอย่างชัดเจนขึ้น ซึ่งตัวหล่อนเองก็เห็นตามนั้น
ปกติตรงเฉลียงบ้านกลางคืนนอกจากจะมีให้มารดาหล่อนพักผ่อนหย่อนกายในยามค่ำคืนแล้ว บางวันถ้าหากงานในตอนกลางวันคั่งค้าง ท่านมักจะนำมาทำต่อที่นี่อีกด้วย
แต่คงไม่ใช่คืนนี้ เพราะดูเหมือนท่านจะมีหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่กำลังทำอยู่นั่นคือ การเอาตักเป็นหมอนนุ่ม ๆ ให้กับเจ้าปลาน้อยได้หนุนนอนนั่นเอง
หล่อนสืบเท้าเข้าไปหาคนทั้งสามพลางนั่งลงใกล้มารดา ผมยาวประบ่าหล่อนไม่ได้ปล่อยสยายเพียงแค่รวบต่ำ จึงเผยเห็นใบหน้าเรียวรูปไข่ของหล่อนได้ดีขึ้น
ปานยิหวายิ้ม ขณะทอดสายตามองหลานรักที่กำลังหลับอย่างเป็นสุขตรงหน้า พลางให้นึกถึงความวิเศษอย่างหนึ่งที่ติดตัวเจ้าปลาน้อยมานั่นก็คือ
หนูปลาของพวกหล่อนไม่ใช่เด็กเลี้ยงยากอะไรเลย แกเป็นเด็กเลี้ยงง่ายมาตั้งแต่เกิด จะมีร้องไห้จ้า ก็แทบนับครั้งได้ ซึ่งก็เป็นเฉพาะเวลาที่เกิดป่วยไข้ หรือไม่สบายตัวเท่านั้น
บัดนี้กำลังมีมืออวบของมารดาลูบลงศีรษะหลาน ตามด้วยคำพูดของเจ้าของมืออีก "วันนี้ไปเล่นกับปู่มาเหงื่อเหนอะหนะเชียว แม่เลยสระผมให้อีก ทั้งที่เมื่อวานก็เพิ่งสระไป"
ผู้เป็นปู่ที่ถูกเอ่ยถึง ก็ค่อย ๆ ยันกายจากหมอน แล้วลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิ เพื่อถามบุตรสาวที่เหลือเพียงคนเดียวต่อ "ว่าอย่างไร เราตัดสินใจได้หรือยังลูก"
หล่อนรู้ความหมายจากคำถามของบิดา จึงพยักหน้าช้า ๆ พร้อมกับเอื้อมมือไปลูบศีรษะเจ้าตัวเล็กที่นอนอย่างเป็นสุขก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาบิดาและมารดา และตอบว่า
"ก็คงต้องไปค่ะ ดีเสียอีก อยู่ทางโน้นเวลาหวาจะส่งงานอะไรก็ว่องไวกว่าอยู่ทางนี้ และ...เวลารับเงินก็ได้รับเร็วกว่าด้วย" ตอบพลางยิ้มแต้ขึ้นยามพูดถึงเรื่องค่าตอบแทนจากการทำงานอย่างหนึ่งของหล่อน
"ก็ดีแล้วลูก" บิดาหล่อนพยักหน้า "พ่อกับแม่คุยกันอยู่ว่า อยากให้ลูกตัดสินใจเช่นนี้มากกว่า"
"แม่และพ่อทำใจได้แล้วหรือคะ"
"ทำไม่ได้ก็ต้องทำ" ตอบพลางถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ "แต่พอหวาบอกว่าจะไปดูแลหลานด้วย ก็พากันสบายใจขึ้นมาก มีสายตาของหวาคอยดูหลาน ก็เท่ากับพ่อแม่ได้เห็นหลานตลอด"
ปานยิหวาดีใจที่การตัดสินใจของหล่อนในครั้งนี้ เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกของบิดาและมารดาเสียครึ่งหนึ่งแล้ว
"ว่าแต่ ในมือนั่นอะไร" บิดาหล่อนถาม พลางมองดูของในมือที่เป็นกระดาษแผ่นบาง ๆ อยู่สองแผ่นที่คล้ายรูปถ่าย
หล่อนยิ้มก่อนจะหงายรูปถ่ายสองใบให้คนทั้งคู่ดู "หวาอยากได้รูปของพ่อและแม่ติดตัวไปด้วย จึงไปค้นหาในห้อง นี่ยังไงล่ะคะรูปแม่สมัยสาว ๆ สวยเชียว"
หล่อนเอ่ยพลางชูรูปถ่ายใบนั้นของผู้เป็นแม่เมื่อสมัยสาว ๆ ขึ้นมาให้คนทั้งสองดู ซึ่งสมัยมารดาหล่อนยังสาว ถือว่าเป็นสาวสวยทีเดียว แถมยังแต่งตัวสดใสด้วยชุดกระโปรงเลยเข่าลายดอกทั้งตัว ตอนนั้นท่านไว้ผมยาวแล้วรวบยกสูงมีรอยยิ้มละไมประดับบนใบหน้าอิ่มอีก เสียดายที่รูปถ่ายสมัยนี้ยังเป็นสีขาวดำ หล่อนเลยไม่ทราบว่าชุดกระโปรงที่มารดาหล่อนใส่อยู่สีอะไร
จากนั้นจึงวางรูปใบแรกลง แล้วหยิบรูปอีกใบขึ้นมา ในรูปเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดเครื่องแบบทหารอากาศและกำลังยืนใกล้กับเครื่องบินรบลำหนึ่ง!
"รูปของคุณพ่อมีโก้เก๋อยู่หลายใบ ทำไมไม่นำมาประดับไว้ตามผนังบ้านบ้างคะ หวาจะได้อวดคนได้หน่อยว่ามีพ่อเป็นถึง..."
มารดาอมยิ้มพลางส่ายหน้า ก่อนจะเหลือบมองดูใบหน้านิ่งสงบของผู้เป็นสามีเล็กน้อย แล้วเอ่ยแทนเจ้าตัว "นิสัยพ่อของเราเป็นอย่างไร หวาไม่รู้หรือ"
"รู้สิคะ ไม่ชอบเปิดเผยตัว ชอบความสงบ สมถะเป็นที่สุด จึงเหมือนกับคุณแม่อย่างไรล่ะคะ บอกไปใครจะเชื่อว่าเคยเป็นถึง..."
ผู้เป็นแม่ที่รู้ว่ากำลังโดนบุตรสาวกระเซ้าก็รีบตวัดมือข้างหนึ่งไปหวดลงบนต้นแขนกลมกลึงเบา ๆ หนึ่งที "หื้อ! พอเถอะ เรื่องสมัยก่อน พ่อและแม่ไม่อยากพูดถึงอีกแล้ว ให้คนที่นี่รู้กันแต่ว่า เป็นแม่อ่อน และพ่อนินทร์ก็พอแล้ว ว่าแต่คืนนี้ หวาไม่ทำงานหรือลูก"
ที่ถามอย่างนี้ เพราะปกติพอหัวค่ำมาหน่อย คนทั้งคู่มักจะได้ยินเสียงกดแป้นพิมพ์พิมพ์ดีดดังเล็ดลอดออกมาจากห้องนอนบุตรสาวแล้ว
"ทำค่ะแม่ อ้อ! พูดเรื่องทำงาน หวาเพิ่งโทร. เลขไปขอให้ยัยอรส่งเครื่องพิมพ์ดีดรุ่นใหม่มาให้ คงจะมาถึงอีกหลายวัน และพอมาถึงก็คงไม่ได้ใช้ที่นี่ ก็คงต้องหอบเอากลับไปใช้ที่โน่นด้วย นี่ถ้าหวารู้ว่าจะต้องได้ไปอยู่กรุงเทพฯ คงไม่ต้องให้ยัยอรลำบากและเสียเวลาส่งมาก็ได้"
"หวาอยู่ที่โน้นพูดไปก็เหมาะสมและลงตัวแล้ว งานก็ไม่ต้องคอยส่งทางไปรษณีย์ให้ยุ่งยาก"
"ก็ใช่สิคะ อะไรจะพอดีเป๊ะ" ปานยิหวาพูดไปเรื่อย ๆ ก่อนจะหลุบตามองหลานสาวที่เริ่มส่งเสียงกรนเบา ๆ ออกมา "อีกอย่าง ไม่กี่วันบอสก็จะกลับจากอังกฤษแล้ว พอดีเลยค่ะ ทำงานไป ดูหนูปลาไปด้วย"
หล่อนเอ่ย โดยไม่ได้จับสังเกตสายตาของบุพการีที่ทั้งสองคอยส่งสายตาเหลือบมองกันเป็นระยะ ๆ ก่อนที่ผู้เป็นสามีจะเอ่ยขึ้นมาว่า "หวาไม่คิดหรือลูกว่า เหมือนมีบางอย่างได้ขีดเส้นลิขิตชะตาชีวิตของคนเราเอาไว้แล้ว"
หล่อนค่อย ๆ ช้อนสายตาขึ้นมามองใบหน้าอันราบเรียบของบิดาและมารดา ที่ท่านพูด พูดราวกับต้องการสื่อบางเรื่องให้หล่อนรู้ และแล้ว ...ใบหน้าหล่อเหลาของหม่อมหลวงหนุ่มพร้อมกับรอยยิ้มนุ่ม ๆ ตรงมุมปากก็ผุดมาให้หล่อนนึกถึง
จู่ ๆ หัวใจหล่อนเริ่มเต้นแรง... ปานยิหวาจึงตัดบทเสียเองพร้อมกับก้มเก็บของตาม "ดึกแล้ว หวากลับไปทำงานที่ห้องนอนต่อดีกว่าค่ะ"
ก่อนจะไปก็ก้มจูบลงตรงหน้าผากของหลานสาวเสียหนึ่งที แล้วรีบลุกหนีไปอย่างทันใด อย่างต้องการหลีกหนีสายตาสองคู่ที่ทำราวกับได้มองทะลุเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจของหล่อนไปแล้วกระนั้น!