หลังตื่นนอนตอนเช้าฟ่านเหยาเหยาก็เดินไปรับสำรับเช้าอย่างอารมณ์ดี สำรับเช้าวันนี้เป็นอาหารง่ายๆ เป็นโจ๊กเม็ดบัวกับผัดผัก หลังจากรับสำรับเช้าเสร็จ นางก็เตรียมตัวจะออกไปดูเหล่ากิจการของนางเพราะวันนี้เป็นวันครบกำหนดตรวจบัญชี โดยปกตินางสามารถให้ผู้ดูแลกิจการแต่ละแห่งส่งบัญชีมาตรวจที่ในจวนได้ แต่วันนี้นางอยากออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก เพราะรู้สึกเบื่อๆ ที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในจวน จึงได้ไปขออนุญาตเหยียนเชี่ยหลงเพื่อออกจากจวน โดยปกติตอนเขาไม่อยู่นางอยากไปไหนอยากทำอะไรก็ไม่ต้องไปขอใคร เพราะเขาให้สิทธิ์ในการดูแลตัวจวนเต็มที่กับนาง แต่เพราะเขากลับมาแล้ว นางจึงต้องมาขออนุญาตจากบุรุษผู้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของนางผู้นี้
“ท่านแม่ทัพเหยียน วันนี้ข้ามีธุระจะต้องไปจัดการ จึงได้มาขออนุญาตท่าน ได้โปรดมอบป้ายออกจวนให้ข้าด้วย” หลังจากเดินเข้ามาก็เห็นเขารับสำรับเช้าพร้อมกับอนุคนโปรดของเขาอยู่ ช่างรักกันดีเสียจริง หึ!!!
“วันนี้ข้าไม่มีกิจใดต้องทำ เดี๋ยวข้าจะออกไปเป็นเพื่อนเจ้าแล้วกัน”
“ข้าไม่รบกวนท่านหรอก ข้าเพียงจะซื้อของแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น”
“ไม่ถือเป็นการรบกวนหรอก ข้าเต็มใจ”
“ข้าจะซื้อของและไปแวะดูกิจการโรงเตี้ยมสักพัก เกรงว่าจะทำให้เสียเวลาอันมีค่าของท่านแม่ทัพเสียเปล่า”
“ท่านพี่น้องอยากจะซื้อของสักอย่างสองอย่างพอดี ถ้าหากว่าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป น้องก็อยากไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ” อนุหลี่ชิงชิงพูดออกมาก่อนที่หลุบตาลงต่ำอย่างเจียมตัว
“เอาไว้วันหน้าเดี๋ยวเจ้าค่อยไปซื้อ ถ้าหากจำเป็นต้องใช้ ก็ให้บ่าวรับใช้ในจวนออกไปซื้อมาให้ก่อน เพราะเจ้าเพิ่งหายป่วยไม่ควรออกไปต้องลมข้างนอก”เหยียน
เชี่ยหลงกล่าวโดยไม่มองหน้านาง แต่กลับจดจ้องไปที่ ฟ่านเหยาเหยาแทน
หลี่ชิงชิงได้แต่กัดฟันข่มความไม่พอใจไว้ แล้วกล่าวออกไปอย่างน่าสงสาร
“เอาอย่างนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ท่านพี่กับฮูหยินจะได้ใช้เวลาร่วมกัน”
“พี่ทานเสร็จพอดีรอพี่สักประเดี๋ยว พี่ขอไปแต่งตัวแล้วจะตามเจ้าไปที่รถม้า หรือว่าเจ้าอยากไปแต่งตัวให้พี่พี่ก็ไม่ว่า” เขากล่าวเย้านาง หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนเขาก็กลับไปคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป็นเขาที่ผิดสัญญากับนางจริง เป็นเขาที่คิดว่านางจะรับได้เพราะอย่างไรนางก็แต่งกับเขาแล้ว ทุกอย่างมันเกิดจากเขาทั้งสิ้น เขาหวาดกลัวว่าจะเสียนางไป เขาคงยอมรับไม่ได้ และจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด เขารักนาง และจะทำทุกอย่างตามที่สัญญาไว้ แต่ในเมื่อเขารับหลี่ชิงชิงเข้ามาแล้ว ถ้านางไม่ชอบหลังจากนี้ เขาก็จะไม่เแตะต้องสตรีคนใดอีกนอกจากนาง
เขาจะต้องทำให้นางอภัยให้เขาให้ได้...
ฟ่านเหยาเหยาถึงกับไปไม่ถูก เขาเป็นอะไรของเขาหลังจากเรื่องเมื่อคืนเขาควรจะโกรธนางสิถึงจะถูก แล้วนี่ทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงไม่โกรธมิหนำซ้ำดูเหมือนจะมาทำดีกับนางด้วย
เมื่อหลี่ชิงชิงได้ยินเช่นนั้นก็รีบกล่าวออกไป “ท่านพี่ให้น้องไปแต่งตัวให้ท่านดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้องหรอก เจ้ารับสำรับให้เสร็จเถิด” พูดจบเขาก็รีบจับข้อมือของฟ่านเหยาเหยาเดินออกไปท่ามกลางความรู้สึกงุนงงสับสน และยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงทำให้นางเดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย
เมื่อเขาบังคับให้นางแต่งตัวให้ตัวเองจนแล้วเสร็จ ก็เดินทางออกจากจวนไปทันที ทิ้งไว้เพียงสายตาที่เคียดแค้นชิงชังของหลี่ชิงชิงที่มองตามรถม้าไปจนลับตา ขนาดเขาเชื่อว่าฟ่านเหยาเหยาเป็นคนวางยาพิษนางเขายังไม่ทำอะไร มิหนำซ้ำยังเอาอกเอาใจฟ่านเหยาเหยามากกว่าเดิมเสียอีก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“เจ้าจะไปที่ใดบ้างหรือพี่จะได้พาเจ้าไปถูก”
“เหลาอาหารซินอู๋ก่อนเจ้าค่ะ” เหลาอาหารซินอู๋ถือเป็นเหลาอาหารที่ขึ้นชื่อติดอันดับในเมืองหลวง เนื่องจากว่าเหลาอาหารแห่งนี้มีทั้งอาหารรสเลิศ และอาหารแปลกใหม่ ที่เปลี่ยนเมนูทุกๆ หนึ่งเดือน จนทำให้เหล่าผู้มีฐานะในเมืองหลวงต้องแตะเท้าเข้ามาลิ้มรสอาหารแปลกใหม่เหล่านี้อยู่บ่อยครั้ง หากผู้ใดต้องการที่จะมารับประทานอาหารที่เหลาอาหารซินอู๋ต้องมีการจองโต๊ะล่วงหน้ากันเป็นเดือนๆ เลยทีเดียว
“จะว่าไปพี่ก็ไม่ได้เข้ามาลองชิมอาหารในเหลาอาหารของเจ้านานแล้ว วันนี้ถือว่าเป็นโอกาสดียิ่งนัก”
ฟ่านเหยาเหยายังคงไม่สามารถกล่าวความใดกับเขาออกไปได้ เพราะนางไม่สามารถเข้าใจได้จริงๆ ว่าเขากำลังต้องการทำสิ่งใดอยู่ ถึงได้มีท่าทีแปลกประหลาดและดูเหมือนว่าจะเอาอกเอาใจนางมากกว่าปกติเช่นนี้ มิใช่ว่ายาที่นางให้เขากินไปเมื่อคืน มันทำให้สมองของเขาเลอะเลือนไปแล้วเช่นนั้นหรือ
ในตอนนี้จึงทำให้นางจ้องมองไปที่ใบหน้าของเขาเหมือนกับจ้องมองสิ่งแปลกประหลาด อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเองอยู่อย่างนั้น
“เจ้าลองแนะนำอาหารที่ขึ้นชื่อในเดือนนี้ให้พี่ได้ลองชิมได้หรือไม่”
และยังคงมีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมา ฟ่านเหยาเหยาไม่มีทีท่าว่าจะตอบคำถามใดๆ ของเขาเลย แต่ดูเหมือนว่าความเงียบของนางจะไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกังวลใจใดๆ เพราะเขายังคงเอื้อนเอ่ยถ้อยคำต่างๆ มากมายออกมาคล้ายกับว่าจะไม่ใส่ใจ ในท่าทีของนางเลยแม้แต่น้อย
“เจ้ายังจำอาหารที่พี่ชอบทานได้อยู่หรือไม่” เขาชวนนางคุยไปเรื่อยๆ แต่มีแค่เพียงความเงียบเป็นคำตอบจากนางเท่านั้น
ในที่สุดเมื่อทนไม่ไหวนางจึงกล่าวกับเขาแบบจริงจัง
“ท่านแม่ทัพท่านมาทำดีกับข้าเช่นนี้ ท่านต้องการอะไรหรือ ข้าว่าเรามาเปิดอกคุยกันดีหรือไม่”
“เหยาเอ๋อร์ ตั้งแต่พี่กลับมา เจ้าก็ไม่ยอมเรียกพี่แบบสนิทสนม ทำไมเจ้าไม่เรียกพี่ว่าท่านพี่เหมือนแต่ก่อนเล่า”
“มีคนเรียกท่านแบบนั้นแล้ว ไยข้าจะต้องทำตามคนอื่น”
“งั้นจากนี้ไป ข้าจะให้นางเรียกข้าว่านายท่านดีหรือไม่”
“ไม่จำเป็น เจ้าค่ะ”
“แต่ข้าว่ามันจำเป็นมากเลยนะ เจ้าไม่คิดหรือเป็นสามีภรรยากัน ก็ต้องเรียกให้สนิทสนม หากคนอื่นมาได้ยินเข้าจะคิดว่าพี่รังแกเจ้าได้ ใช่หรือไม่ฟูเหริน [1] ”
“มันเกี่ยวอันใดกันเจ้าคะในเมื่อข้าพอใจจะเรียกท่านเช่นนี้”
“หลังจากวันนี้ไปพี่จะชดเชยให้เจ้าดีหรือไม่ พี่ขอโทษพี่ผิดสัญญากับเจ้าก่อน หลังจากนี้พี่จะไม่แตะต้องนาง จะย้ายนางไปอยู่ที่เรือนหลัง ไม่ข้องเกี่ยวกันอีกขอแค่เจ้าพอใจ พี่จะยอมทำทุกอย่าง ดีหรือไม่”
นางสบนัยต์ตาเขานิ่งงัน นี่เขาคิดว่าเขาทำแค่นี้แล้วทุกอย่างมันจะจบหรือ นี่เขานอกใจนาง ความรู้สึกที่สูญเสียไปเล่าใครจะรับผิดชอบ
“ท่านแม่ทัพอย่าทำให้มันเป็นเรื่องยากเลยเจ้าค่ะ เรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้น มันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว จะย้อนกลับคืนไปก็คงไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องที่ท่านรับนางเป็นอนุภรรยาก็ยิ่งย้อนคืนไม่ได้เช่นเดียวกัน โดยส่วนตัวข้านั้น แก้วที่มันแตกไปแล้ว ถึงเอามาต่อก็ไม่สามารถใช้งานได้ดังเดิม”
“แล้วเจ้าจะให้พี่ทำเยี่ยงไร ครั้นจะให้พี่ทอดทิ้งนางพี่ก็ทำไม่ได้ บิดานางเสียชีวิตเพื่อช่วยชีวิตพี่ พี่คงทำได้เพียงย้ายนางไปอยู่ที่เรือนหลังก็เท่านั้น” เขามองสบตานางเนิ่นนาน ก่อนที่จะกล่าวต่อ ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่สบายใจ
“เจ้าจะให้โอกาสพี่สักครั้งได้หรือไม่” ไม่พูดเปล่าเขายังดึงมือนางขึ้นมากุมไว้ และส่งสายตาขอความเห็นใจจากนาง
“เจ้าได้โปรดให้โอกาสพี่สักครั้งเถิด”ทั้งสองคนต่างมองสบตากัน
นางยอมรับว่า นางรอที่จะได้ยินเขากล่าวประโยคนี้มาเนิ่นนาน แต่เหตุใดเมื่อได้ยินมันแล้ว นางถึงได้ไม่รู้สึกซาบซึ้งใจเลย ใบหน้าของนางยังคงราบเรียบไม่แสดงความรู้สึกใดๆ
“ถึงแม้ว่าท่านจะคิดว่าข้าเป็นคนที่ทำร้ายนางมาตลอด และยังมีใจคอโหดเหี้ยมชอบทำร้ายตบตีนางท่านก็ไม่รังเกียจหรือ”
“ไม่เลยพี่เข้าใจที่เจ้าทำไป พี่จะโทษเจ้าได้เช่นไร ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นความผิดของพี่เอง พี่ไม่ดีเอง หากพี่ไม่รับนางเป็นอนุทำให้เจ้าร้อนใจจนกลายเป็นเช่นนี้ได้หรือ พี่รักเจ้า พี่เชื่อว่าสิ่งที่เจ้าทำลงไปนั้น ก็เพราะว่าเจ้ารักพี่เช่นกัน”
“ข้าขอบอกท่านไว้ตรงนี้เลยว่าข้าไม่เคยไปตบตีนางก่อน ทุกครั้งเป็นนางต่างหากที่เข้ามายั่วยุข้า และบีบให้ข้าต้องลงมือ ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ แต่ในทุกครั้งนางจะเสแสร้งว่านางเป็นคนอ่อนแอ แต่พอนางอยู่กับข้าแค่สองคน นางมักจะยั่วยุให้ข้าต้องลงมือ ที่จริงแล้วนางมักจะแสดงให้บ่าวไพร่ในจวนเห็นว่านางนั้นอ่อนแอ โดนข้ารังแกอยู่ร่ำไป แต่ไฉนเลยนางจะเป็นฝ่ายมีบาดแผลเพียงผู้เดียว ข้าเองก็มีบาดแผลเวลาปะมือกับนาง แต่ในเมื่อนางต้องการให้ทุกคนมองว่าข้านั้นโหดร้าย ข้าจึงปล่อยเลยตามเลยเพราะคิดว่าท่านต้องเชื่อข้า แต่ท่านก็ต้องทำให้ข้าผิดหวังอยู่ร่ำไป เพราะท่านเชื่อแต่นางที่แสดงให้เห็นว่านางนั้นอ่อนแอ ส่วนข้านั้นคงเป็นนางปีศาจร้ายสำหรับท่าน”
“ไยเจ้าไม่เคยบอกเรื่องนี้กับพี่เลย”
“ท่านเคยรับฟังในสิ่งที่ข้าพูดหรือ? เพียงแค่นางอ้าปาก ท่านก็เชื่อนางจนหมดสิ้น เพียงเท่านี้ท่านจะให้ข้าทนมองหน้าท่านกับนางเวลาอยู่ด้วยกันได้หรือ”
“เป็นข้าที่ผิดต่อเจ้า”
“หลังจากนี้ไปพี่สัญญาว่าไม่ทำให้เจ้าเสียใจอีกแล้ว” เหยียนเชี่ยหลงไม่พูดเปล่าพร้อมกับดึงนางเข้ามาในอ้อนกอดอย่างรักใคร่ ไม่ว่านางจะพูดอะไร เขาพร้อมที่จะเชื่อนางหมดใจ
อ้อมกอดที่อบอุ่นนี้นางก็เคยเฝ้าถวิลหามันมาเนิ่นนานแต่เหตุใด เมื่อได้ครอบครองแล้ว นางถึงได้รู้สึกเคว้งคว้างมากกว่าเดิม ในใจของฟ่านเหยาเหยา เกิดความรู้สึกสับสนขึ้นมา ว่าแท้ที่จริงแล้วนางยังหลงเหลือความรู้สึกดีๆ ให้กับบุรุษผู้นี้อยู่อีกหรือไม่เหตุไฉนมันถึงได้ว่างเปล่า ได้ถึงเพียงนี้…
ด้วยความใกล้ชิดขนาดนี้ทำให้นางรู้สึกถึงหัวใจที่กำลังเต้นกระหน่ำอย่างดีใจของเขา แต่ในขณะที่บุรุษผู้นั้นกำลังเคลิบเคลิ้มกับความรู้สึกเป็นสุขนี้อยู่ นางก็ได้ผลักอกของเขาออก และหันหลังจากไป นั่งทำงานของตนเอง โดยไม่ได้กล่าวความใด เพื่อที่จะเป็นการตอบรับหรือปฏิเสธว่านางจะสามารถให้อภัยเขาได้อยู่หรือไม่
เหยียนเชี่ยหลงเอง ในใจพลันรู้สึกวูบโหวง เมื่อเห็นถึงท่าทีที่ไร้ซึ่งเยื่อใยนั้นของนาง ความเฉยชาเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดมากกว่านางร้องโวยวายหรือทุบตีเขาเสียอีก…
[1] ฟูเหริน=ฮูหยินหรือภรรยา