นางอยากอยู่ให้สงบสุขเพียงหนึ่งวันเกรงว่าคงขอมากไปท่านเทพว่างงานทั้งหลายจึงใจร้ายใจดำต่อนางเช่นนี้ ยิ่งคิดมู่หรงเจินจูนางก็ให้เหนื่อยใจเสียนัก
คนเราหนึ่งวันทำงานเหนื่อยยากนั้นนางล้วนไม่ท้อถอยแต่การต่อกรกับเพลิงริษยาของเหล่าภรรยาทั้งหลายของบิดามู่หรงเจินจูนางยิ่งเห็นยิ่งเผชิญกลับยิ่งท้อใจ
“เสี่ยวถิง แจ้งกับคุณหนูใหญ่ของเจ้าว่าท่านฮูหยินใหญ่ผู้เฒ่าเรียกไปพบที่เรือนไป๋เหลียน”
เป็นตู้ชิงสุ่ยท่านแม่3ของมู่หรงเจินจูนั่นเอง จางเสี่ยวถิงสีหน้าไม่ดีเอาเสียเลย หากเป็นเช่นนี้เรื่องเมื่อช่วงบ่ายย่อมต้องถึงหูฮูหยินผู้เฒ่าอย่างแน่นอน อดีตคุณหนูของนางร่างกายอ่อนแอวันทั้งวันแทบไม่เคยออกจากเรือนยังถูกใส่ความจนถูกลงทัณฑ์ไม่เว้นแต่คราวนี้...
'บอกนางไปว่าอีกครู่ข้าจะตามไป'
มู่หรงเจินจูเขียนลงในกระดาน หันไปให้เห็นกันทุกคน
"ต้องไปเดี๋ยวนี้"
ตู้ชิงตวาดเน้นย้ำสีหน้าสาแก่ใจอย่างยิ่ง เห็นแล้วเด็กสาวก็ให้อ่อนใจ นางอยู่ในส่วนของตนเอง เงินสักอีแปะก็ไม่คิดเบียดเบียนคนเหล่านี้ไยจึงต้องมาวุ่นวายริษยากันด้วย
...นี่หรือไม่คนจะเกลียดยืนเฉยๆ ก็ถูกเกลียด...
"มาแล้วหรือนังตัวดี"
...เฮ้อ...
'จะเอาดราม่าไปไหนชีวิตใหม่ของข้า'
พบก้าวถึงหน้าเรือนไป๋เหลียนก็พบกับสตรีวัย65หนาวนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยใบหน้าตึงเสียยิ่งกว่าถูกร้อยไหมมาอย่างไรอย่างนั้น
ดูก็รู้ว่าคง"เอ็นดู"หลานเช่นนางจนเข้าเส้นเลือดใหญ่อย่างแน่นอน...ดีจริงๆ ...
ตุ๊บ!
โครม!
กายเล็กทรุดลงหัวเข่ากระแทกพื้นจนเจ็บจี๊ดคาดว่าคงถูกก้อนกรวดที่โรยอยู่โดยรอบหน้าเรือนบาดเข้าเนื้อส่วนนั้นจนได้เลือดเสียแล้ว
"ทำผิดแล้วยังมีหน้ามายื่นค้ำศีรษะผู้อาวุโสช่างไร้การอบรมสิ้นดี"
'ด่าตัวเองหรือไงเล่าท่านผู้เฒ่าข้าเป็นหลานท่านหากไร้การอบรมก็เป็นท่านมิใช่หรือที่ไร้ค่า'
แน่นอนว่ามู่หรงเจินจูนางเถียงในใจขืนออกเสียงนางคงตายแน่
"ทำไม? ...มองเช่นนั้นเจ้าแค้นฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ใช่หรือไม่"
เป็นเหวินเซียนเซียนที่เติมเชื้อไฟโทสะ
...ทำงานเป็นทีมเชียว...
"อาต๋า โบยนาง"
ฮ๊ะ?!
ไม่พูดไม่จาก็จะโบยนางเลยหรือ คนพวกนี้มีแค้นใดกับนางกันเล่านางก็แค่เด็ก14เท่านั้นย่อมไม่เคยไปสร้างความเดือดร้อนให้เรือนของผู้ใดมาก่อน ไยจึงคิดแต่จะลงโทษนางโรคจิตกันหรืออย่างไร?
มู่หรงเจินจูพยายามจะส่งภาษามือว่านางขอความเมตตาก็นางยังไม่รู้เลยสักนิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าเรียกนางมาโบยด้วยเหตุผลใด ต่อให้เมื่อช่วงปลายยามอู่นางไปต่อยตีกับคนของหอสุราจันทราเร้น ก็จริงทว่าจะตีก็ตีจะโบยก็โบยมิบอกเหตุผลมันใช้ได้ที่ไหนกัน!
"ไม่ต้องมาขอร้องยามเจ้าไปสร้างเรื่องขายหน้าไยจึงไม่คิดนังเด็กกาลกิณี นังดวงพิฆาตสายเลือด คนเช่นเจ้ามิสมควรอยู่รอด หากเจ้าไม่ชิงคลอดออกมาก่อนหลานคนแรกของข้าก็ต้องเป็นชาย นังตัวซวย! "
ฮูหยินผู้เฒ่ามู่หรงระเบิดถ้อยคำหยาบคายออกมาอย่างไม่คิดรักษากิริยา ด้วยผูกใจเจ็บมานานนับแต่เด็กน้อยตรงหน้ากำเนิดจวนสกุลมู่หรงที่เคยรุ่งเรืองบุตรชายคนโตเป็นถึงอัครมหาเสนาบดีตั้งแต่ยังหนุ่มบุตรชายคนรองก็เป็นแม่ทัพแดนใต้ยิ่งใหญ่ทั้งบุ๋นและบู๊ทว่ายามมู่หรงเจินจูคลอดบุตรคนรองนางกลับพ่ายศึก สิ้นชีพเสียที่ชายแดน
แถมฝ่ายมารดาของเด็กน้อยยังเกิดเรื่องลดทอนอำนาจของบุตรชายคนโตของนางจนสิ้น จากเป็นขุนนางใหญ่ถึงยังคงตำแหน่งเดิม แต่กลับต้องทำหน้าที่ผู้ตรวจการแทนพระองค์ในหนึ่งหนาว จะอยู่ติดเรือนก็ไม่กี่วัน
ทุกวันนี้หลานชายแท้ๆ ที่เกิดจากมู่หรงเยี่ยนบุตรชายตนเองมีเพียงหนึ่ง เช่นนี้นางจึงรู้สึกพ่ายแพ้ต่อฮูหยินผู้เฒ่ารองอย่างยิ่งและความแค้นเคืองทั้งหลายจึงทุ่มเทให้ร่างเล็กจิ๋วตรงหน้าไปทั้งหมด
"พี่สาว...เอ่อ...อาเจินนางยังเด็กอาจทำไปโดนไม่รู้ความ...พี่สาวก็อย่าโมโหมากไปเลยนะเจ้าค่ะ"
ขวับ
ฮูหยินผู้เฒ่ารองกว่าจะเอ่ยจบก็ต้องยกผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อบนใบหน้าที่ยังคงความงดงามเอาไว้อย่างมากด้วยสงสารเด็กน้อยตรงหน้า เท่าที่ฟังมา คุณหนูใหญ่ก็หาใช่ฝ่ายผิด ออกจะถูกรังแกอย่างไม่ไว้หน้าตระกูลมู่หรงอีกด้วยหากคิดเอาผิดก็ควรเป็นคนพวกนั้นหาใช่เด็กสาวตรงหน้า
"เจ้าหุบปากเสียจิ่นเหลียน ในจวนนี้เจ้ามีสิทธิ์พูดมากหรืออย่างไร ไปให้พ้น! "
คนถูกตวาดถึงกับใบหน้าซีดขาว ด้วยรู้ดีนางไร้ปากและไร้เสียงในจวนนี้ที่สุด เพราะนางก็เพียงบุตรสาวของนายอำเภอเล็กๆ ถึงจะเป็นฮูหยินรอง แต่ไฉนเลยจะสู้แรงของฮูหยินผู้เฒ่า ฉางอี้เสียนไปได้ก็นางเป็นถึงท่านหญิงแห่งเฉิงหวางทั้งคนทั้งอำนาจนางย่อมมีล้นฝ่ามือ
"โบย! "
ตุ๊บ...ตุ๊บ...ตุ๊บ...ตุ๊บ...
เสียงไม้ฟาดลงบนเนื้อหนังดังสะท้อนเข้าไปในหัวใจของฮูหยินผู้เฒ่ารองจนสุดท้ายก็มิอาจทนดูทนฟังต่อไปได้ก้าวหลบจากไปเสียก็ได้เพียงหวังว่าบิดาของนางจะกลับมาทันได้ปกป้องลูกสาวผู้อาภัพเท่านั้น
สองแขนเล็กถูกกดเอาไว้จนนางรู้สึกว่ากระดูกข้อมือคงใกล้แตกหักแล้ว ทุกไม้ที่ฟาดลงมาช่างหนักหนาอย่างยิ่งมู่หรงเจินจูไม่รู้ว่านางผิดบาปอันใดจึงต้องมาพบเจอความอยุติธรรมถึงเพียงนี้
"สาดน้ำลงไป"
...ซ่า..
พอนางเหมือนจะวูบไปเพราะจุกแน่นและปวดร้าวที่แผนหลังเกินทน น้ำเย็นจัดก็ถูกสาดลงมา ดวงตากลมโตมองทุกผู้ที่ยืนดูชมนางถูกโบยยังบนมุขหน้าเรือนด้วยความรู้สึกหลากหลาย
แต่ที่เด่นชัดที่สุดก็คือนางไม่อยากยุ่งเกี่ยวไม่อยากนับญาติกับคนเหล่านี้อีกแล้ว ริมฝีปากเล็กเม้มแน่น ไม้ยังถูกหวดลงมาอย่างเป็นจังหวะ เจ็บจนแทบขาดใจแต่นางกลับไม่ปริปากร้อง ออกมาสักแอะเดียว
ด้วยรู้ยิ่งนางร่ำร้องขอความเมตตาไปคนพวกนั้นก็มีแต่สาแก่ใจ ความสงสารความเห็นใจล้วนไม่มี ที่ผิดคงเป็นนาง...
นางคงสร้างกรรมมามากจะกี่ภพกี่ชาตินางจึงต้องพบเจอแต่ความเลวร้ายเช่นนี้
...ซ่า...
น้ำถังที่4ถูกสาดลงมาพร้อมกับที่หิมะบางเบาเริ่มโปรยปราย ยามนี้มู่หรงเจินจูชาหนึบไปหมดทั้งกาย ถึงดวงตายังเปิดอยู่แต่สตินางมันเลือนไปจนแทบไม่เหลือ
"หยุดนะ! "
กายสูงใหญ่เร่งโถมใช่แผนหลังของตนเองรับไม้เสียเอง
"ทำอันใดกัน! "
มู่หรงเยี่ยนไม่เคยรู้สึกโกรธแค้นโชคชะตาตนเองเท่าวันนี้มาก่อน
"เจินเอ๋อร์...เจินเอ๋อร์ของท่านพ่อ ตื่นไว้นะลูกเจ้าต้องตื่นไว้"
เขาไม่อาจระเบิดความโกรธแค้นออกไปได้เพราะที่สั่งลงมือคงจะเป็นใครไปมิได้นอกจากมารดาของตนเอง ความเป็นลูกมันบีบรัดให้เขาต้องกลืนทุกสิ่งลงไป แล้วเร่งอุ่มกายบอบช้ำของลูกน้อยกลับไปยังเรือนของตนเอง
"ลู่หลานตามท่านหมอโหวมาที่เรือนไป่เหอเดี๋ยวนี้"
ก้าวเท้าไปก็สั่งความคนสนิทให้เร่งตามท่านหมอประจำจวนมาโดยเร็ว
"เจินเอ๋อร์ลูกพ่อ...อย่าเพิ่งหลับ อยู่คุยกับท่านพ่อก่อน...อย่าหลับ"
บอบช้ำถึงเพียงนี้หากหลับเขาเกรงว่านางอาจไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย สติอันน้อยนิดของมู่หรงเจินจูที่ยังเหลือรับรู้ว่ายามนี้บุรุษหนุ่มใหญ่ที่ปกตินางเห็นแต่เพียงความสุขุมใจเย็น ยามที่ใบหน้านั้นแสนจะร้อนใจ
ดวงตาทั้งคู่ก็แดงก่ำ มือเล็กอันหยาบกระด้างเพราะทำแต่งานหนักยกขึ้นแตะไปยังใบหน้าของบิดานางในชาตินี้ นิ้วเล็กนั้นค่อยๆ เช็ดน้ำตาบุรุษที่ไหลรินช้าๆ
"ท่าน...พ่อ..."
เพราะสตินางใกล้มืดมนแต่ความคิดว่าไม่อยากเห็นน้ำตาของผู้ให้กำเนิดมันถาโถมนางจึงหลงลืมคำตักเตือนของท่านน้าโจวหลิงฟางที่ให้ปกปิดเรื่องที่นางพูดได้แม้แต่กับบิดาก็อย่าได้เผยไปจนสิ้น
"เจินเอ๋อร์...เจ้า...เจ้าพูดได้..."
มู่หรงเยี่ยยามนี้เขาแยกไม่ออกแล้วว่าตนเองจะดีใจหรือจะหวาดกลัวกันแน่
"คุณหนู! "
โจวหลิงฟางที่เพิ่งฝ่าคนของฮูหยินผู้เฒ่าเข้ามาจนถึงเรือนท่านอัครมหาเสนาบดีได้ก็พุ่งกายเข้าไปหาคุณหนูของตนอย่างแตกตื่น
"คุณหนู...นายท่าน"
เห็นสภาพของนายตัวน้อยโจวหลิงฟางก็เข่าอ่อน นางคลาดสายตาไม่ถึงครึ่งชั่วยามยอดดวงใจก็แตกยับจนแทบดับสูญ นางได้เพียงโกรธแค้นตนเอง
"มาช่วยกันปลดอาภรณ์ให้เจินเอ๋อร์เร็วเข้ายามท่านหมอโหวมาถึงจะได้เร่งรักษา"
มู่หรงเยี่ยนนั้นได้สติขึ้นมาก่อนจึงเร่งคนสนิทของภรรยาที่ตายจากให้ดูแลช่วยถอดเสื้อและทำความสะอาดแผลกับเลือดที่แผนหลังออกรอการรักษาจากท่านหมอ
ซึ่งในขณะที่สองแม่ลูกโจวหลิงฟางและจางเสี่ยวถิงช่วยกันเช็ดคราบเลือดให้กับมู่หรงเจินจูเขาก็แยกออกไปเพื่อพูดคุยกับจางเสียนอีที่เขาแน่ใจว่าคนของภรรยาผู้นี้คงรู้ดีที่บุตรสาวของเขานางพูดได้
"เจ้ามีสิ่งใดที่ปิดบังข้ากันแน่เสียนอี"
คนตัวใหญ่ใบหน้าดุดันถอนหายใจเสียงหนัก ตัดสินใจว่าสุดท้ายคนผู้นี้ก็ยังเป็นบิดาของนายน้อยของเขา หากคิดร้ายคนผู้นี้ก็คงอยู่ในลำดับท้ายสุด
"คุณหนูใหญ่นั้นนับจากหลายเดือนก่อนที่นางถูกฮูหยินรองรังแกรอดชีวิตมาได้นางก็พูดออกมาเอง ข้าน้อยก็สุดจะรู้ว่าเป็นด้วยเหตุอันใด ส่วนที่ต้องปิดบังก็อย่างที่นายท่านพบเห็นและรู้แจ้ง ใจจวนนี้มีผู้ใดรักและเอ็นดูหวังดีต่อคุณหนูของพวกข้าน้อยบ้าง"
ฟังความจากจางเสียนอี้แล้วมู่หรงเยี่ยนก็มีความคิดว่าบางทีเขาคงต้องทำบางอย่างเสียแล้ว ในอดีตเพราะมู่หรงเจินจูนางยังเด็กแถมร่างกายก็อ่อนแอในหนึ่งเดือนนางต้องดื่มยาแทบทุกวัน
เขาจึงไม่อาจส่งนางออกไปไกลจากจวนแห่งนี้ได้ ทว่ายามนี้ลูกสาวของเขานางเริ่มโตแล้ว ร่างกายก็ดูจะแข็งแรงไม่เจ็บไข้ หากยังช้าอยู่นางคงถูกทั้งมารดาของเขาและเหล่าภรรยาทั้ง3รังแกจนตายเป็นแน่
"ข้ามีที่ดินยังอำเภอหนานซานกับบ้านอีกหนึ่งหลัง เช่นไรข้าจะทำเรื่องส่งเจ้าไปเป็นมือปราบประจำการที่นั่น"
ส่งนางไปเสียให้ไกลคงพอจะรักษาชีวิตลูกสาวเอาไว้ได้ต่อให้ที่นั่นลำบากเพราะเป็นบ้านป่าบ้านไร่ แต่ผู้ใดจะรู้ได้วันนี้เขามาทันช่วยลูกได้แล้วคราวหน้าเขาจะกลับมาทันได้อีก
"แต่ว่า...นายท่านผู้เฒ่ากับฮูหยิน..."
จางเสียนอีเข้าใจที่มู่หรงเยี่ยนตั้งใจหากทว่าต่อให้ยามนี้บุรุษตรงหน้าจะเป็นผู้นำตระกูลแต่การตัดสินใจเด็ดขาดก็ยังต้องผ่านท่านผู้เฒ่าทั้งสองอยู่ดี เขาจึงเกรงยิ่งนักว่าทุกสิ่งจะไม่ง่าย
"ข้าจะยอมแต่งภรรยาคนที่4 นั่นคงพอแลกกับอิสระของเจินเอ๋อร์"
นั่นหมายความว่าตำแหน่งฮูหยินเอกของท่านอัครมหาเสนาบดีแห่งเทียนหนิงที่ว่างมาตลอด14หนาวจะมีคนได้ขึ้นมานั่งเสียแล้ว
แต่หากมันจะช่วยบุตรเขาให้รอดปลอดภัยถึงต้องผิดคำสัตย์ที่เคยให้ไว้กับท่านตาของมู่หรงเจินจู เขาก็ยอม
"ขอบคุณนายท่านที่เมตตาคุณหนูของข้าน้อยถึงเพียงนี้"
จางเสียนอีไม่ใช่คนโง่ที่จะดูไม่ออกว่าบุรุษตรงหน้าเขาต้องแบกอันใดไว้บนหัวไหล่แกร่งนั้นบ้าง คำว่า"ผู้นำตระกูล"อาจฟังดูยิ่งใหญ่ทว่าความยิ่งนี้ก็แลกมาด้วยอิสรเสรี แม้แต่สตรีร่วมหมอนหรือบุตรที่จะกำเนิดก็มิอาจกำหนดหรือเลือกให้ตนเองได้
นี้คือทุกข์สาหัสที่บุรุษแห่งเทียนหนิงต้องแบกรับ มิอาจละเว้นแม้แต่องค์ฮ่องเต้เลยทีเดียว...