ทางด้านคนที่ถูกบิดาตัดหนทางจะถูกแม่สื่อมาทาบทามตั้งแต่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่นนั้นกลับไม่ทุกข์ร้อนสิ่งใดเท่ากับตอนนั้นผักต้นอวบอ้วนของตนกำลังถูกกดราคาเกินจริง
“ท่านลุง…ราคานี้มันกดขี่ขูดเลือดกันไปหรือไม่”
คนที่พยายามจะไม่เปิดปากพูดสุดจะทน ผักกาดขาวกับผักหางหงส์ขาวอวบเนื้อแน่นฉ่ำน้ำแต่กลับถูกต่อว่ากล่าวหาว่าผักของนางนั้นแช่น้ำหวังโกงตาชั่ง
…บิดามันเถิด…
ตาลุงผู้นี้เห็นนางเป็นเด็ก2ขวบหรือไรจึงมาเฉไฉหน้าไม่อายเช่นนี้
“จะขายก็ขายไม่ขายก็ขนกลับไปทั้งหมดนี้ข้าจ่ายได้2อีแปะก็นับว่ามากโขแล้วนังเด็กไม่รู้ความบิดามิสั่งสอน”
…เอ๊าลุง! …
ด่าแต่นางยังพอทำใจด่าไปถึงบิดานี่ไม่รู้จักฤทธิ์ไอ้ต้าวเจินเสียแล้ว
“2อีแปะกับผัก3ตะเข่ง…ท่านลุง….สมองท่านมันไหล…ไม่รวมกัน…ที่หัว…แม่เท้า…หมดแล้วใช่หรือไม่”
จางเสี่ยวถิงถึงกับลุ้นจนเหงื่อตกกว่าคุณหนูของนางจะเถียงพบ
…โถ…
‘คุณหนูของบ่าว คงสุดจะทนแล้วจริงๆ’
ในใจก็โมโหเจ้าเถ้าแก่หน้าเลือดนี่อย่างยิ่งทำเอาคนพูดติดอ่างโมโหเดือดด่าจนเหนื่อยนับว่าเป็นคนชั่วช้าโดยสันดานจริงแท้
“นังเด็กโสโครก ออกไปเลยนะออกไป๊…พวกเจ้าน่ะเอาผักพวกนี้โยนออกไปด้วย”
เพราะมีแม่ค้าอีกเจ้านำผักที่ราคาถูกมาขายให้กับเขาแล้ว ซึ่งก็ใช่ใครที่ไหนเป็นน้องภรรยาของหัวหน้าพ่อครัวใหญ่เช่นเขา เช่นนี้ย่อมดีกว่าไหนจะได้ส่วนแบ่งจากฝ่ายน้องภรรยาไหนจะรวบกินเอาเงินส่วนเกินของค่าผักที่เขาแจ้งยอดไปกับเถ้าแก่เนี้ยก่อนหน้าไปแล้ว
ใครจะโง่ยอมจ่ายซื้อผักที่เขาไร้ผลประโยชน์กัน
…โครม! ...
…โครม! ...
…โครม! ...
ผักทั้งสามเข่งสุดท้ายของวันนี้ถูกคนงานชายของหอสุราจันทราเร้นที่ติดตามหัวหน้าพ่อครัวเฒ่าจับโยนทุ่มลงพื้นอย่างไร้ค่า ทั้งที่เด็กสาวกับ3พ่อแม่ลูกรดน้ำใส่ปุ๋ยดูแลพวกมันอย่างดีเป็นเวลาร่วม45วันแต่กลับเละเทะเสียหายไปต่อหน้า มู่หรงเจินจูที่ปกติใจเย็นยิ่งกว่าธารน้ำแข็งทว่ายามนี้นางกลับร้อนดังน้ำเดือด
…ไม่ซื้อก็คือไม่ซื้อพูดจากันด้วยดีก็รู้เรื่องแล้ว…
นี่สั่งนางตัดผักมาส่งให้กลับยกเลิกนั่นก็ว่าน่าชิงชังไร้สัจจะแล้วแทนที่เป็นคนโตจะพูดขออภัยกันด้วยดีนางก็เข้าใจได้แต่นี้ไม่ซื้อแถมยังมาด่าทอว่าผักของนางไม่ดี เช่นนี้ที่จะนำไปขายให้แก่ผู้อื่นก็ยากแล้ว แถมยังมาทุ่มข้าวของนางเละเทะเสียหาย นอกจากขายไม่ได้ยังมารังแกพวกนางอีกช่างเป็นมนุษย์ลุงแห่งเทียนหนิงจริงแท้
“ท่านลุง…ท่านทำเกินไป…แล้วนะ!”
เพราะพูดติดอ่างจะเถียงจะโวยวายก็ทำไม่ได้ดังใจโมโหจนจุกหัวอกสุดท้ายเลยน้ำตาไหล นางเพิ่งรู้ซึ้งว่าแค้นแทบกระอักเป็นเช่นไรก็วันนี้
“เฮ๊อะ! ...เกลียดที่สุดก็พวกโง่เง่าบีบน้ำตา เอาสิ! แค้นข้ามากหรือนังหนูหากแค้นข้ามากก็ไปตามบิดาเจ้ามาสิ…แต่ขอเตือนสักหน่อยหากบิดาเจ้ามิใหญ่โตพอก็อย่าบังอาจมาวุ่นวายกับข้า”
คนแก่นิสัยแย่กล่าวไปเท้าก็กระทืบผักกาดขาวที่กระเด็นตกไปใกล้กับเท้าของเขาไป
“นี่ไอ้เฒ่า! ...ทำเกินไปแล้วนะ!”
จางเสี่ยวถิงถึงจะเป็นสตรีตัวเล็กๆ แต่ก็ใช่จะยินดีถูกคนพาลสันดานหยาบรังแกเช่นกัน นางถกแขนเสื้อพร้อมต่อยตีกับบุรุษฉกรรจ์ถึง3อย่างหน้ามืดตามัว
ชาวบ้านจากที่ไม่สนใจเพราะคิดว่าเป็นการวิวาทกันตามประสาพ่อค้าแม่ค้าในตลอดเมื่อแลเห็นว่าเป็นเพียงเด็กหนึ่งคนกับหญิงสาวหนึ่งคนกำลังเผชิญหน้ากับบุรุษวัยฉกรรจ์ร่างกายกำยำสูงใหญ่ถึง3คนกับตาเฒ่าคนหนึ่งก็เกิดสนใจต่างว่างงานมาร่วมดูชม
“พวกเจ้ากล้าหรือหึ! ...นังหนูอยากมีเรื่องกับคนของหอสุราจันทราเร้นจงกลับไปถามบิดาของเจ้าก่อนดีหรือไม่ หากเกิดเรื่องยามนั้นจะมาร้องไห้เอาอีกว่าข้ารังแกเด็กรังแกยาจก”
‘หน่อยหากบิดาข้ามาจริงคงเป็นเจ้าที่จะกลัวจนฉี่ราดไอ้เฒ่าสารเลว!’
…พลัก! ..
คนเถียงไม่ทันเปิดงานอย่างไม่เกี่ยงขนาด กำปั้นเล็กแต่หนักซัดเข้าที่ท้องของชายสูงวัย หัวหน้าพ่อครัวนามจงเจิ้งถึงกับตาเหลือกตัวงอทันที
...โผล๊ะ! ..
มู่หรงเจินจูเต๊ะเสยไม่ปรานี ยิ่งตาลุงตัวอวบอ้วน ยิ่งเต๊ะดีไม่เจ็บเท้า
โครม!
ตาเฒ่ามากเล่ห์จอมโลภทั้งจุกทั้งมึน ทิ้งกายสูงใหญ่อวบอ้วนลงนอนจนฝุ่นกระจาย แต่เด็กสาวกลับไม่อ้อมมืออ้อมเท้า นางทั้งเต๊ะทั้งกระทืบ อย่างไม่เห็นแก่คนชรา ก็ไอ้คนชรามันอยาก หาเรื่องข่มเหงกันก่อน นางก็ศิษย์มีครู หาใช่เด็กบ้านนอก เหยียบขี้เป็ดไม่ฝ่อสักหน่อย ปู่ในชาติเก่าเป็นถึงกำนันเสือเก่า หลานสาวจะไม่ได้เชื้อสายก็เกินไปแล้ว
"คุณหนูระวัง!! "
จางเสี่ยวถิงนางกรีดร้องเมื่อเจ้าคนตัวโตหน้าตาโหดเหี้ยม พุ่งเข้าหากายเล็กของผู้เป็นนายด้วยกิริยาหมายมุ่งหมายเอาชีวิต พร้อมมีดสั้นเล่มคมวาววับ
...พลั๊ก...
...ตุ๊บ...
...โครม...
"พวกสวะเอ๊ย...แม้แต่เด็กก็ไม่ละเว้นคิดลอบกัดต้องชั่วช้าเพียงใดกันถึงทำได้ลง"
คุณชายในอาภรณ์สีขาวเจิดจรัสจนยามแรกที่มู่หรงเจินจูหันไปมองคราวแรกถึงกับแสบตา สบถดุดันผิดหน้าตา
"อาเหล่ย เสิ่นจั๋ว จัดการเจ้าพวกนี้ให้เรียบร้อย...เป็นเช่นไรบ้างเจ้าหนูบาดเจ็บหรือไม่"
คนตัวโตทรุดกายนั่งลงทับส้นเท้าจับจ้อง"เจ้าหนู"ที่ตัวเล็กกระจิ๋วแต่หัวใจห้าวหาญหน้าดูถึงกับกล้าต่อยตีกับบุรุษวัยฉกรรจ์ถึง3คน กับชายสูงวัยตัวโต อีกหนึ่งแบบไม่ถอย
"เจ็บตรงใดเล่าเจ้า นิ่งเลยจุกหรือไร"
เมื่อครู่เขาเข้าขวางทางคมมีดจึงพลั้งมือผลักเจ้าหนูแรงไปกายเล็กๆ เลยกระเด็นมานั่งจุกหน้าเขียว เสียไกลพอประมาณ
"คุณหนู...คุณหนูของพี่เสี่ยวถิง เป็นเช่นไรบ้าง เจ็บตรงใดบ้าง"
คิ้วเรียวสวยราวสตรีขมวดยับยุ่งในยามที่แม่นางน้อยที่เขาเข้าในแต่แรกว่าคงเป็นพี่สาวของเด็กชายตรงหน้า เรียกคนที่เขาเข้าใจแต่แรกว่าเป็นเด็กชาย ด้วยคำว่า"คุณหนู" ตกลงเด็กคนนี้เป็นผู้หญิงเช่นนั้นหรือ?!
'ข้าไม่เป็นไร'
มู่หรงเจินจูแสดงท่าทางที่คาดว่า จางเสี่ยวถิงจะเข้าใจ นั่นยิ่งทำให้ใบหน้าสวยหวานมากกว่าจะเป็นบุรุษของคุณชายรูปงามที่นั่งทับส้นเท้ายับยุ่ง ตกลงเด็กผู้นี้นางพูดไม่ได้เช่นนั้นหรือ?
"เอ่อ...ขอบคุณ...คุณชายที่ช่วยเหลือเจ้าค่ะ"
เป็นจางเสี่ยวถิงที่สติกลับมาจึงเอ่ยขอบคุณบุรุษตรงหน้าเพราะเมื่อครู่หากไม่ได้เขากับคนของเขาเข้าช่วยเหลือคุณหนูของนางอาจสิ้นชื่อไปแล้วเป็นแน่
"มิเป็นไร ว่าแต่คุณหนูของเจ้านางพูดไม่ได้หรือ หรือเพียงตกใจจึงไม่พูด"
ดวงตากลมโตคือจุดเดียวที่สะดุดตาให้เขาจับจ้องเพลิน เด็กคนนี้ช่างมีดวงตางดงามเสียจริง
"เสี่ยวถิง! ...คุณหนู! "
กายสูงใหญ่กำยำของจางเสียนอี้แหวกทางจากชาวบ้านที่ยังมุงดูเหตุการณ์ระทึกเนืองแน่นทว่าเมื่อครู่กลับไร้คนยื่นมือเข้าช่วยเหลือหนึ่งเด็กกับหนึ่งสตรีอ่อนแอแม้สักคนเดียว
จางเสี่ยนอีใบหน้าซีดขาวตื่นตระหนกใจเขาหายตั้งแต่ได้ฟังว่าบุตรสาวเกิดเรื่อง ทุกคนในตลาดแห่งนี้รู้จักจางเสี่ยวถิงว่าเป็นลูกของท่านมือปราบจาง แต่ทุกคนไม่รู้ว่าเด็กน้อยที่ติดตามจางเสี่ยวถิงไปมาทุกวันเป็นผู้ใด คิดเพียงว่าเด็กน้อยเป็นลูกหลานของบ่าวในจวนมู่หรงเท่านั้น หาได้รู้แท้จริงเด็กตัวเล็กแต่งกายแยกชายหญิงไม่ถูกแท้จริงเป็นถึงบุตรีคนโตของอัครมหาเสนาบดีแห่งเทียนหนิงเลยทีเดียว
หนุ่มใหญ่วัย45หนาวทรุดลงนั่งยองๆ มือหยาบกระด้างจับไปที่ข้อเท้าดูทะนุถนอม สายตาคมดุคู่นั้นกังวลจนเห็นได้ชัด
"คุณหนูขอรับเป็นอันใดหรือไม่"
จางเสียนอีนั้นสนใจแต่เพียงนายน้อยของตนเท่านั้นส่วนคุณชายรูปงามด้านข้างเขาไม่ทันได้สนใจ จึงไม่รู้เลยมาตนเองนั้นกำลังถูกหนุ่มรุ่นลูกจับจ้องทุกกิริยาอยู่
เด็กผู้นี้หากดูให้ดีจึงพบนางหาใช่เด็กน้อยยากจนวิ่งไปมาในตลาดแห่งนี้ถึงเสื้อผ้าเก่ามอซอแต่บางสิ่งบอกแก่คนที่พบเจอบุตรีจากสกุลขุนนางใหญ่โตมาร่วม21หนาวว่านางไม่ธรรมดา
'ท่านอาข้าไม่เป็นอันใด'
มู่หรงเจินจู นางบอกด้วยภาษากายแก่จางเสียนอีกด้วยท่าทางจากนั้นจึงขยับกายลุกขึ้น เสียเลยจะได้ไม่ต้องถูกถามเพิ่มอีก จากนั้นนางก็หันไปโค้งกายขอบคุณ"พี่ชาย"ที่ใบหน้างดงามดังกับ"พี่สาว"ที่เข้ามาช่วยไม่ให้นางต้องตายลงไปอีกครั้ง
"มิทราบว่าแม่นางน้อยเป็นคุณหนูจากตระกูลใดกัน"
เมื่อหลี่หยวนเซินแน่ใจว่าคนตรงหน้าเป็นสตรี จึงอยากทราบขึ้นมาทันทีว่าจวนใดสกุลใดปล่อยให้บุตรสาวตัวเล็กนิดเดียวมาต่อยตีกับบุรุษดังนักเลงใหญ่เช่นนี้
"ขอขอบคุณ คุณชายท่านนี้อย่างยิ่ง นี่คือบุตรสาวคนเล็กของข้าเอง นางพูดไม่ได้ต้องขออภัยด้วยหากลูกสาวทั้งสองของข้านั้นเผลอไม่ล่วงเกินคุณชายเข้า"
จางเสียนอีตัดสินใจจะไม่เปิดเผยฐานะอันแท้จริงของมู่หรงเจินจูเพราะหากรู้ไปถึงหูของฮูหยินผู้เฒ่ามูหรงคุณหนูใหญ่จะต้องถูกเรียกไปเอาโทษที่บังอาจสร้างความอับอายขายหน้าที่มาขายผักแถมยังต่อยตีกับบุรุษอีก
ซึ่งเขาไม่ยินดีให้มันเกิดขึ้น
"เกรงใจไปแล้ว...ท่านอาเกรงใจไปแล้ว...พบเห็นคนถูกรังแกยืนดูชมมิช่วยเหลือก็ใจดำเกินคนไปแล้ว เอาเถิดหากบุตรสาวทั้ง2ของท่านอาปลอดภัยเปิ่งกงจื่อก็สบายใจ เช่นนั้นก็ลากันตรงนี้...ขอตัว"
เมื่อเห็นว่าบุรุษตรงหน้าจงใจบิดเบือนความจริงต่อให้เขารู้ทันหลี่หยวนเซินก็ไม่ขัด คาดว่าคงมีความจำเป็น เช่นเขาทุกวันนี้ก็มิเคยเผยตัวตนแท้จริงยามออกมานอกวังหลวง
"ขอบคุณอีกครั้ง มิทราบว่าคุณชายมาจากตระกูลใดกันคราวหน้าหากมีโอกาสแทนคุณข้าจะไม่รีรอ"
ถึงเขาจะเป็นเพียงมือปราบปลายแถวแต่เรื่องบุญคุณจางเสียนอีไม่เคยละเลย
" เปิ่นกงจื่อแซ่ หลิว นามว่าหลาง"
กล่าวแล้วก็ก้มศีรษะใหญ่ผู้อาวุโสวัยกว่า จากนั้นก็เดินจากไปอย่างสงบ จางเสียนอีโค้งกายตอบกลับไป ส่วนจางเสี่ยวถิงนั้นมองตาม"คนงาม"จนลับสายตา
"หากเขามีร่างกายอ้อนแอ้นกว่านี้น้ำเสียงหวานพลิ้วกว่าข้าต้องคิดว่าเขาเป็นหญิงงามสะท้านปฐพีเป็นแน่เจ้าค่ะท่านพ่ออุ๊ย! "
คนกำลังเคลิบเคลิ้มหันกลับมาพบเข้ากับสายตาดุดันของบิดาก็สะดุ้งสุดตัว
"กลับบ้าน...ข้ามีเรื่องต้องชำระความกับเจ้า เสี่ยวถิง"
สาวน้อยวัย17หนาวถึงกับใบหน้าซีดสลด เดินตามติดบิดาคอตกรู้เลยว่าจะโดนอบรมอันใดบ้าง มู่หรงเจินจูนั้นไม่ได้สนใจกับบุรุษโฉมงามหรือสนใจผู้คนโอบรอบนางสนใจแต่เพียงผักทั้ง3ตะเข่งที่เสียหาย เพราะสำหรับพวกนาง4ชีวิตยังท้ายจวนมันมีค่ามาก ยิ่งคิดนางก็ยิ่งเสียดาย สุดท้ายจึงกระตุกแขนเสื้อของจางเสียนอีกด้วยตัดในทิ้งผักทั้งหมดไม่ลง
'ท่านอา...ช่วยกันเอาผักกลับไปด้วยเถิด'
อย่างน้อยเอาไปเลี้ยงเป็ดเลี้ยงสุกรที่เพิ่งคลอดลูกมาใหม่12ตัวนั่นก็ได้ ทิ้งไว้ที่ตลอดสุดท้ายก็เน่าเสียไร้ค่ามิสมกับที่พวกตนทุ่มเทดูแลรดน้ำพรวนดินมา45วัน
ทุกการกระทำเหล่านั้นหลี่่หยวนเซินยืนมองดูจากชั้นที่2ของโรงเตี๊ยมซุ่ยเหลียง ก่อนจะหรี่ดวงตาคมสวยหวานซึ้งอย่างคนใช้ความคิด
"ท่านอ๋อง"
อู๋เหล่ย ที่เพิ่งกลับมาจากส่งอันธพาล3คนกับหัวหน้าพ่อครัวแห่งหอสุราจันทราเร้น โค้งกายอยู่ด้านหลังของผู้เป็นนาย แล้วถอยออกไปยืนรอรับคำสั่งสงบนิ่งตามนิสัยแข็งทื่อ
"ติดตามสืบดูว่าสามคนนั้นแท้จริงคือผู้ใด จากนั้นก็คิดราคาผักที่เสียหายส่งคืนไปให้พวกเขา ส่วนเจ้าหัวหน้าพ่อครัวผู้นั้นก็กำจัดเสีย ข้าไม่ชอบเลี้ยงคนทรยศ"
กิจการหอสุรานั้นแน่นอนว่ามีเขาอยู่เบื้องหลังส่วน จินเพ่ยก็แค่คนดูแล แล้วเมื่อครู่รู้เห็นว่ามีการยักยอกโกงกินอยู่ใต้จมูกเขาหรือจะละเว้น
"พ่ะย่ะค่ะ"
กายสูงใหญ่กลับหายลับไปเร็วเสียจนน่าตกใจ แต่สำหรับท่านอ๋อง5และหวงเสิ่นจั๋วนั้นคุ้นชินกับองครักษ์เงาฝีมือฉกาศเช่าอู๋เหล่ยดีจึงไ ม่ใส่ใจ
"นำสมุดบัญชีทั้งหมดเข้ามา คืนนี้ข้าจะค้างที่นี่"
คำสั่งเช่นนี้หมายความว่าท่านอ๋อง5จะไม่พบใครอีกแม้แต่เขาที่เป็นองครักษ์ข้างกาย หวงเสิ่นจั๋วโค้งกายรับคำสั่งหายไปครู่ใหญ่ก็กลับมาพร้อมคนงานชายสองคนผู้หนึ่งหอบบัญชีเล่มหนากว่า10เล่มทับซ้อน อีกผู้ประคองชุดกาน้ำชาที่ท่านอ๋อง5ใช้ประจำ ทุกคนวางสิ่งของที่นำมาเรียบร้อยก็เดินเรียงกันออกไปโดยมีหวงเสิ่นจั๋วเดินปิดท้าย เขาปิดประตูเรียบร้อยก็นั่งตรงเก้าอี้ประจำของตนเองไม่ขยับไปที่ใดอีก ปล่อยให้ผู้เป็นนายทำงานของเขาไปอย่างสงบ
ส่วนทางด้านมู่หรงเจินจูที่เพิ่งไปต่อยตีกับนักเลงมายังไม่ทันได้พักดื่มน้ำให้หายเหนื่อยเรื่องก็พุ่งมาหาเด็กสาวอย่างไม่เว้นช่วง เพียงแลเห็นชายกระโปรงหรูหรากรุยกราย เด็กสาวก็ถอนหายใจระอารอเลยทีเดียว
...สวรรค์ระหว่างเรามีแค้นส่วนตัวกันหนักใช่หรือไม่จึงหางานมาให้ข้าไม่หยุดหายใจบ้างเลย? ...