บทนำ((((ลูกชัง))))
แสงแดดของรุ่งอรุณสาดส่องผ่านผ้าม่านลูกไม้สีฟ้าอ่อน กระทบกายผอมเพรียวภายใต้ผ้าห่มผืนโต วันนี้เจ้าของห้องดูจะไม่เร่งร้อนกับชีวิตเหมือนเช่นปกติที่ผ่านมา
ดวงตาเรียวรีคล้ายเมล็ดถั่วอัลมอนด์ขยับเปิดขึ้นเพียงครู่ ก็ซุกลงไปกับหมอนนุ่มสีฟ้าอ่อนเช่นเดียวกับผ้าม่าน ด้วยกิริยาเกียจคร้านดังลูกแมวเหมียวขี้เซา
“เก้า...น้องเก้า...หนูตื่นหรือยังลูก”
เสียงนุ่มนวลเนิบช้าของหญิงสูงวัยดังขึ้นที่หน้าห้องสีฟ้าอ่อนหวานละมุนต่อสายตานั่นเอง’คนขี้เกียจ’จึงขยับกายเล็กน้อยให้รู้สึกถึงการตื่นนอนแล้วจริงๆ
“ขา...คุณป้าปราง...เก้าตื่นแล้วค่ะ”
สาวน้อยวัยสิบเจ็ดปีขยับกายบิดไปมาไล่ความเมื่อยขบที่นอนมาทั้งคืนอีกเล็กน้อยก็ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูให้ผู้เป็นป้า ญาติข้างมารดาเพียงคนเดียวที่ยินดีให้เธอมาพักอาศัยด้วยหลังจากบิดาของเด็กสาวเพิ่งวางแผนว่าจะแต่งงานใหม่ได้ราวสองเดือนที่ผ่านมา แล้วคุณว่าที่มารดาเลี้ยงยื่นคำขาดกับบิดาของเด็กสาวว่าหากเธอไม่ย้ายออกมาจะไม่ยินดีแต่งงานกับบิดาโดยเด็ดขาด
“ไปล้างหน้าล้างตาเสียลูกไป เสร็จแล้วก็ตามป้าลงไปใส่บาตรให้คุณยายกับคุณตากัน”
คุณนวลปราง วิริยะวัฒน์ หญิงสาวใหญ่วัยสี่สิบสองบอกกับหลานสาวผู้อาภัพที่เกิดมาจากความผิดพลาดระหว่างพ่อกับแม่ที่เกิดขึ้นในวัยเรียน ดังนั้นในขณะที่’ กัญญากร วิริยะวัฒน์’ หรือ’ น้องเก้า’ มีอายุสิบเจ็ดปีเต็ม บิดาและมารดายังมีอายุ เพียงสามสิบห้าด้วยกันทั้งคู่เท่านั้น
“ได้ค่ะคุณป้าปราง ขอเวลาเก้าไม่เกินห้านาที”
เด็กสาวที่สมควรจะสดใสสมวัยกลับเงียบขรึมอย่างกับคนอายุสามสิบตอนปลาย เห็นแล้วคุณนวลปรางก็ได้เพียงแอบถอนหายใจทิ้งเงียบๆ
นางนึกย้อนไปเมื่อครั้งสิบแปดปีที่ผ่านมา ตอนนั้นทั้งพายัพและทอรุ้งเพิ่งเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกเทอมแรกด้วยกันทั้งคู่ พายัพนั้นเป็นลูกชายคนเดียวของกำนัลเทิด ส่วนทอรุ้งนั้นเป็นน้องสาวคนเล็กของบ้าน นางเองตอนนั้นก็เพิ่งเริ่มงานในองค์การบริหารส่วนตำบลใหม่ๆ เด็กสาวและเด็กหนุ่มอนาคตไกลสองคนต้องมาสะดุดเพราะเหล้าเข้าปากโดยแท้ ผ่านไปสามเดือน ทอรุ้งก็ออกอาการโอ๊กอ๊าก
สุดท้ายก็รู้ว่าท้อง ยังดีที่ว่าเป็นท้องสาว กับในยุคสมัยของทอรุ้งนับว่าดีกว่าในรุ่นของนาง การท้องจึงไม่ได้ทำให้ต้องหยุดการเรียนไปเสียทีเดียวตอนนั้นเพราะกำนันเทิดค่อนข้างมีอิทธิพลจึงย้ายลูกสะใภ้วัยใสไปอยู่โรงเรียนเอกชนแทนโรงเรียนเดิม
แต่ก็อย่างว่าทั้งสองยังเด็กอยู่มากจริงๆ หลังจากน้องสาวนางคลอดเอากัญญากร ออกมาได้เพียงสองเดือนชีวิตคู่อันเกิดจากความผิดพลาดก็ต้องแยกย้ายในที่สุด
ตอนนั้นบ้านของฝ่ายนางกับบิดามารดาหรือก็คือฝ่ายตาของเด็กน้อยมีฐานะด้อยกว่าฝ่ายชาย จึงเป็นกำนันเทิดและนางสายหยุดรับเอาเด็กน้อยไปฟูมฟักซึ่งทอรุ้งไม่ได้สนใจอยู่แล้ว
ผ่านไปปีแล้วปีเล่าจากวันเป็นเดือนและจากเดือนเป็นปี จากเด็กหญิงตัวแดงๆ ก็เริ่มโตขึ้นตามวัย แต่เวลาเปลี่ยนทุกสิ่งย่อมเปลี่ยน กำนันเทิดที่ดูแข็งแรงก็เริ่มแก่เฒ่า หลังจากฝ่ายบิดามารดาของนางจากไปตามๆกันเพียงสามปีทั้งกำนันและภรรยาก็ตายจากไปด้วยอุบัติเหตุซึ่งก็คือเมื่อหกเดือนก่อน
หลังจากเด็กน้อยขาดผู้คุ้มภัย บิดาเช่นพายัพก็ได้โอกาสเอาเมียที่บิดามารดาไม่ยอมรับเข้าบ้านซึ่งผู้หญิงคนนั้นก็มีลูกเป็นของตัวเองถึงสามคนมีหรือจะยินดีให้ลูกเลี้ยงไปอยู่หารสมบัติ และนี่คือที่มาว่าทำไมหลังจากที่กัญญากรปิดเทอมแรกของมัธยมศึกษาปีที่หกจึงต้องย้ายมาอยู่กับป้าที่มัวแต่ทำงานและดูแลพ่อแม่จนเพลินรู้ตัวอีกทีจะคิดเรื่องสร้างครอบครัวก็ไม่ทันเสียแล้ว
ส่วนทำไมเด็กสาวจึงไม่ไปอยู่กับมารดาก็เพราะแค่ลองไปอยู่ได้สามวันเจ้าพ่อเลี้ยงสารเลวมันก็ออกลายจะกินลูกเลี้ยงเข้านั่นเอง
“โยม...ทำบุญให้มากเข้าไว้นะ...เอ้านี่. หลวงลุงให้ไว้คุ้มภัย”
พระหลวงลุงที่คุณนวลปรางคุ้นเคยกันมาตั้งแต่ยังสาวชะงักไปเล็กน้อยยามมองไปทางกายผอมเพรียวด้านข้างของหลานสาว
“รับไว้สิน้องเก้า เดี๋ยวป้าจะไปหาสร้อยให้สวม”
เมื่อผู้เป็นป้ากำชับ กัญญากรจึงทรุดกายลงแบมือรับเอาสิ่งที่พระสูงวัยดูสำรวมวางให้ยังกลางฝ่ามือ
“โยม...คนบางคน...ของบางสิ่ง...ถึงเวลาเขาก็ต้องไปนะ...ทำใจเอาไว้เสียแต่เนิ่นๆ ของที่ไม่ใช่ของเรายังไงก็ไม่ใช่อยู่นั่นเอง ส่วนของที่เป็นของเราให้อยู่ห่างไกลคนละขอบฟ้าย่อมต้องได้เป็นของเรามิอาจหลบหนีให้พ้นกันได้”
คิ้วเรียวของหญิงสาวใหญ่ขมวดแทบชนกันปกติหลวงลุงนั้นสำรวมมาก ขนาดในวัดได้พบเจอกันต้องสอบถามท่านจึงพูดแต่เหตุใดวันนี้? ...
แต่สุดท้ายคุณนวลปรางก็ทำได้เพียงเก็บเอาความสงสัยติดกาย จนสุดท้ายก็ลืมไปสนิทเพราะมีงานมากมายล้นมือ ไหนจะเรื่องย้ายโรงเรียนของหลานสาวคนโตไหนจะงานประจำที่ทำอยู่ ผู้หญิงโสดตัวคนเดียวที่ต้องรับมือหลายสิ่งหรือจะมัวสนใจสิ่งเล็กๆ เช่นนั้นอยู่นาน
“เก้าพรุ่งนี้วันอาทิตย์วันเกิดเราสินะ”
ถึงจะยุ่งขนาดไหนแต่วันเกิดหลานรักนางจะลืมได้อย่างไร
“ค่ะคุณป้า”
คนพูดน้อย ที่หลังจากถูกพ่อส่งมาอยู่กับป้าด้วยเหตุผลว่าแม่เลี้ยงกับน้องๆ ไม่อยากอยู่ร่วมบ้านกับเธอเด็กสาวก็ยิ่งเงียบและขรึมหนักกว่าเดิมเป็นสองเท่าตอบรับสั้นๆ
“อย่างนั้นเราไปทำบุญที่วัดกันดีไหมป้าว่างพอดีเลยน้องเก้า”
ถึงไม่ว่างคุณนวลปรางก็บอกตัวเองให้ว่างเพราะอย่างไรก็สงสารหลานคนนี้มาก แทนที่วันเกิดครบอายุเต็มสิบเจ็ดปีจะพร้อมหน้าพ่อแม่เพราะว่าทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ทั้งคู่แต่เมื่อเช้าเธอต่อสายถึงทั้งน้องสาวและอดีตน้องเขยคำตอบที่ได้คงไม่พ้นคำว่า’ ไม่ว่าง’ นั่นเอง
“เก้าแล้วแต่คุณป้าปรางเลยค่ะ”
กัญญากรก้มหน้าก้มตาปั้นถั่วเขียวบดละเอียดให้เป็นรูปผลไม้ขนาดจิ๋วน่ารักสำหรับเตรียมไว้ไปชุบ แล้วก็ตามด้วยชุบลงในวุ่นที่เคี้ยวแล้วให้กลายเป็นลูกชุบสีสันสดสวยน่ากินต่อไป ซึ่งงานที่คุณป้าของเธอให้ช่วยเด็กสาวค่อนข้างชอบมันอย่างมากเพราะการทำขนมไทยๆ เธอรู้สึกว่ามันฝึกสมาธิกับความใจเย็นให้ตนเองอีกทาง ดังนั้นการปั้นลูกชุบขนมที่คุณป้านวลปรางของเธอต้องนำไปฝากขายตามร้านในเมือง เลยเป็นเพื่อนแก้เหงาให้คนไม่มีเพื่อนสนิทมากเช่นเธอได้ทำอย่างมีความสุขในช่วงปิดเทอมสั้นๆนี้
“อย่างนั้นเดี๋ยวช่วงบ่ายเราไปซื้อพวกยาสามัญประจำบ้านกับพวกของใช้จำเป็นมาจัดชุดสังฆทานสักคนละชุดก็แล้วกันนะน้องเก้า”
ใบหน้าเล็กที่มีแว่นตาอันโตปิดบังความน่ารักไปกว่าครึ่งแหงนเงยขึ้นมามองผู้เป็นป้าอย่างสงสัย ว่าทำไมจึงต้องซื้อมาจัดเองด้วยในเมื่อที่วัดเดี๋ยวนี้ก็มีอำนวยความสะดวกกันแทบจะทุกวัดอยู่แล้ว ต่อให้อยู่ห่างไกลความเจริญเพียงใดเธอก็พบเห็นว่ามีตลอด
“สงสัยละสิเรา...การที่เราจัดเองมันก็เหมือนเราใส่ใจต่อของที่จะทำบุญ อีกอย่างของสำเร็จบางทีมันไม่เหมาะสมกับการใช้สอยนะลูก...อย่างยาบางทีเขาใส่เอาไว้นานก็อาจหมดอายุ พระท่านเปิดคิดจะใช้ก็ร้องว้า สุดท้ายก็เดือดร้อนพระเอกต้องขนไปทิ้งไงลูก”
วันนี้กัญญากรรู้สึกว่าป้าพูดกับเธอเยอะกว่าเดิม แต่จะพูดเยอะหรือน้อยเธอก็รับรู้ได้ว่าป้ารักเธอมาก...บางทีอาจมากกว่าพ่อกับแม่แท้ๆ ของเธอด้วยซ้ำ
เด็กสาวพยายามสลัดความคิดไม่ดีออกไปจากหัวเสีย เตือนตนเองว่าอย่างไรท่านทั้งสองก็เป็นผู้ให้ชีวิตเธอ ส่วนพอเป็นร่างกายและเติบโตพวกท่านอาจไม่ต้องการเธอก็ไม่นับว่าพวกท่านผิดอยู่ดี ผู้ใหญ่ก็คงมีเหตุและผลในแบบผู้ใหญ่เธอยังเด็กวันนี้อาจไม่เข้าใจแต่ต่อไปโตกว่านี้เธอต้องเข้าใจไปจนได้
เช้าวันอาทิตย์สองป้าหลานจึงออกจากบ้านกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างวันนี้ป้านวลปรางบอกแก่เธอว่าอยากพาเธอไปไหว้หลวงพ่อฤๅษีลิงดำที่วัดท่าซุงจังหวัดอุทัยธานีจากพยุหะคีรีไปถึงวัดดังกล่าวก็น่าจะช่วงสายๆพอดี
วันนี้นับเป็นวันแรกตั้งแต่ปิดเทอมที่ได้ออกมาเที่ยวนอกบ้าน คุณนวลปรางบอกแก่หลานสาวว่าอาทิตย์หน้าก็จะเปิดเทอมแล้ว ตอนนั้นคงยุ่งมากอาจยาวไปจนปิดเทอมหน้าเพราะเธอต้องเตรียมตัวเรียนหนักเพราะกำลังจะจบมัธยมศึกษาปีที่หกแล้วนั่นเอง
สองป้าหลานแวะทำบุญด้วยกันอย่างสนุกสนาน วันนี้คุณนวลปรางรู้สึกมีความสุขมากเพราะคนตัวเล็กที่ปกติวันหนึ่งแทบไม่เคยยิ้มกลับหัวเราะเสียงดังอยู่หลายครั้ง
เรียกว่าวันนี้ผ่านวัดไหนผ่านที่ท่องเที่ยวใดก็ชวนกันแวะ ดังนั้นกว่าจะหันหัวรถกระบะคันเก่งที่ใช้มากว่าสิบปีกลับบ้านกันได้ก็ก้าวเข้ายี่สิบเอ็ดนาฬิกาเสียแล้ว
ช่วงกำลังลงเขากลับจากอำเภอบ้านไร่ คงเพราะตื่นแต่เช้าแล้ววันนี้ยังเที่ยวกันสนุกลืมวัยทั้งป้าและหลาน เมื่อเจอกับแอร์เย็นฉ่ำของรถบวกกับความมืดโดยรอบสุดท้ายก็เป็นกัญญากรที่เผลอหลับไปก่อน เมื่อคนชวนคุยหลับเสียแล้วคนเป็นป้าที่รับหน้าที่คนขับก็ชักจะเริ่มง่วงๆมึนๆ แต่ก็ฝืนขับต่อเพราะเส้นทางบริเวณนี้ค่อนข้างเปลี่ยวแต่ขับต่อมาได้ไม่ถึงสิบกิโลเมตรจู่ๆฝนส่งท้ายปลายฤดูก็เทลงมาอย่างหนัก
แต่เพราะสาวใหญ่แต่ไหนแต่ไรก็ขับรถคนเดียวอยู่บ่อยๆ จึงพอประคองพวงมาลัยฝ่าสายฝนลงเขาได้อย่างดี แต่คำว่าอุบัติเหตุบางทีเราระวังแล้วอย่างดีแต่เพื่อนร่วมทางบางทีก็ไร้สามัญสำนึกที่ดี
เช่นรถกระบะแต่งซิ่งห้าคันที่ขับเบียดแซงกันไปมา ดูก็รู้ว่าคงคะนองแล้วแข่งกันทั้งที่สายฝนก็เทกระหน่ำจนที่ปัดน้ำฝนต้องเร่งความไวจนสุด
คันที่หนึ่งขับแซงผ่านไป คุณนวลปรางมองเห็นแสงไฟแล้วว่าคงแข่งกันมา แน่นอนสาวใหญ่จึงผ่อนคันเร่งให้ช้าลงอีกแต่ก็ช้ามากไม่ได้ด้วยก็กลัวว่ารถขบวนนี้อาจเป็นพวกคนไม่ดี ความเร็วจึงคงอยู่ที่แปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง
จนถึงคันที่สี่เหตุการณ์ที่สาวใหญ่กังวลก็บังเกิด อาจเป็นด้วยน้ำฝนที่ตกมันมากเกินไปแล้วคนขับรถพวกนั้นก็เร่งความเร็วที่คาดได้ว่าต้องเกินร้อย ช่วงจะขับแข่งถูกเกิดจะตีคู่แซงซ้อนกันนับรวมรถของนางด้วยก็สามคันทั้งที่ถนนเส้นนี้มีเพียงสองเลน
คาดว่าน้ำฝนคงดูดหน้ายางเข้าอย่างจังคนขับไม่อาจควบคุมพวงมาลัยได้อีกต่อไปท้ายของรถกระบะแต่งซิ่งคันนั้นจึงสะบัดส่ายแล้วหมุนทันใด
...เอี๊ยด!....
เสียงเบรกลากยาว
...โครม! ...
...โครม...
...โครม...
เวลาเพียงเสี้ยวนาทีทว่ากับสาวใหญ่มันเหมือนภาพมันช้าอย่างมาก กัญญากรเองที่ตกใจตื่นเพราะแรงปะทะก็ดวงตาเบิกค้าง ภาพร่างของป้ากระเด็นออกไปจากส่วนกระจกหน้าเหมือนดึงสติของเด็กสาวให้หลุดตามไป
ต่อให้ตอนนี้เสียงโครมครามจากที่เหล็กกับต้นไม้ข้างทางกระแทกกันจะสะท้านสะเทือนยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องฟ้าคำราม แต่กัญญากรกลับไม่ได้ยินอีกแล้ว
“ป้าปราง!!!”
นั้นคือประโยคสุดท้ายที่เด็กสาวรับรู้ว่าตนเองกรีดร้องออกไป จากนั้นโลกทั้งใบของเธอก็มืดสนิทไปดังกับดวงไฟถูกตัดสาย
...สองชีวิตจบลงเพราะความคึกคะนองสนองความสนุกของคนกลุ่มหนึ่ง...
คนที่เอาแต่ความสะใจของตนเองเป็นที่ตั้ง สุดท้ายกลับดึงคนอื่นผู้ไม่เกี่ยวข้องให้ต้องมาสังเวยชีวิตอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว เช่นกับเด็กสาวที่อนาคตแจ่มใสกำลังรอเธออยู่ จบสิ้นกันไปอีกหนึ่งภพชาติในวัยเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น....