Chapter 6
อย่าทำให้หวั่นไหว (1)
'เหอะ! แค่นี้ก็ต้องเอามาลงอวดชาวบ้าน’
แพรวาเบะปากออกมาเมื่อเห็นสเตตัสล่าสุดของมินตรา เพื่อนของเธอลงรูปเซลฟี่ตัวเองที่สระว่ายน้ำบนดาดฟ้าของตึก เป็นภาพถ่ายตัวเองสบายๆ ในช่วงเวลาผ่อนคลาย ภาพที่ดูเหมือนไม่มีอะไรแต่กลับสร้างความหมั่นไส้ให้บางคน โดยเฉพาะแพรวา หล่อนเลือกติดตามมินตราเพราะถ้าสเตตัสของเพื่อนเด้งเตือนหล่อนจะรีบกดเข้ามาดู และก็ไม่พ้นที่จะต้องนั่งอิจฉาในความพร้อมทุกอย่างของเพื่อนที่ตนไม่มีแบบนั้น
หล่อนยื่นโทรศัพท์ให้สิริลักษณ์เพื่อนในกลุ่มดู มาพร้อมถ้อยคำกระแนะกระแหนตามความเคยชิน
"หมั่นไส้ยายอัยย์ อวดรวยจังเลยเนอะแกว่ามั้ย"
สิริลักษณ์สไลด์ปลายนิ้วไปบนหน้าจอ เลื่อนดูสเตตัสก่อนหน้าบนหน้าไทม์ไลน์ของคนที่หล่อนเลิกติดตามไปแล้ว เพราะไม่อยากเห็นอะไรก็ตามที่เป็นความสุขของเพื่อนมาโชว์ที่หน้าฟีดข่าว แต่ก็มักชอบเข้ามาส่องความเคลื่อนไหวอยู่เป็นประจำเพราะอีกฝ่ายชอบลงรูปพี่ชายที่หน้าไทม์ไลน์
"โพสข่มพวกเราชัดๆ ก็แค่บ้านมีตังค์ มีพี่ชายหล่อ ได้ไปเที่ยวกับครอบครัวบ่อยๆ ทำเป็นโพสเรียกยอดไลค์ มีสระน้ำบนดาดฟ้าแปลกตรงไหน บ้านไหนๆ ก็มีกันทั้งนั้น แค่นี้ก็ต้องอวดด้วย"
"นั่นสิ เบื่อพวกขี้อวด ฉันไม่เห็นจะอยากอวดเลย คนรวยจริง
เขาไม่อวดกันหรอกนะแกว่ามั้ย"
สิริลักษณ์ยกมือขึ้นมาปิดปากยิ้มกริ่ม...ที่ไม่อวดก็เพราะก็ไม่มีให้อวดอย่างเขาเลยทำเป็นพูดดี นั่นคือสิ่งที่คิดแต่ไม่กล้าพูดออกมา และรู้ดีว่าแพรวาชอบยืมเงินคนโน้นคนนี้อยู่เสมอ
"ใช่ๆ คนรวยจริงเขาไม่อวดกันหรอก"
คนพูดคิดในใจ บางทีคนรวยก็ไม่ได้อยากอวด เพียงแต่ไม่ได้สนใจใครว่าจะคิดยังไงมากกว่า เพราะตัวจริงมินตราก็ไม่ได้ทำตัวอวดรวยอย่างที่แพรวาชอบกระแนะกระแหน
"ว่าแต่...ฉันไม่เคยเห็นนางแท็กเฟชพี่ภีมพี่ถามเลยนะ สองคนนั้นเขาไม่เล่นเฟชเหรอ"
แพรวาทำเป็นเปิดประเด็นแบบเนียนๆ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายอาจมีไอดีเฟชบุ๊กหรือไอจีของพี่ชายเพื่อน ถ้ามีตนจะได้ขอบ้าง มีแค่ไอดีไลน์ที่ทักไปแล้วเขาชอบอ้างว่าไม่มีเวลาคุย ภัทรนันท์ยังมีคุยโต้ตอบบ้างแต่ทุกครั้งหล่อนจะเป็นฝ่ายทักก่อนเสมอ ภัทรนนท์ยิ่งแล้วใหญ่ ฝ่ายนั้นทักคำตอบคำหยิ่งเหลือหลาย หล่อนเลยไม่ค่อยกล้าที่จะทักไปเพราะเขาชอบเงียบหายจนไม่กล้าที่จะชวนคุย
"เห็นอัยย์เคยบอกว่าพี่ชายไม่เล่นเฟชเล่นไอจี ฉันตามแค่ไอจีของเดอะเรด ถ้าแกจะตามไปดูความเคลื่อนไหวของพี่ชายยายอัยย์ต้องตามที่นี่เท่านั้น"
"เหรอ มิน่าล่ะ ถึงไม่เคยเห็นเฟชหรือไอจีของเขา แปลกจังคนอะไรไม่เล่นโซเชียล"
"ฉันคิดว่าเขาคงไม่มีเวลาว่างนั่งสไลด์หน้าจอเล่นอย่างพวก
เราหรอก หรือถ้ามีก็แค่เอาไว้ใช้ติดต่อธุรกิจ น้อยคนที่จะรู้เพราะไม่เปิดสาธารณะ"
แพรวานิ่งเงียบ เป็นอีกครั้งที่เกิดความอิจฉาเล็กๆ กับสเตตัสของเพื่อนที่คอยช่วยเหลือเรื่องเงินเป็นประจำ ไม่ว่ามินตราจะขยับทำอะไรก็ตามหล่อนจะรู้สึกหมั่นไส้อยู่ลึกๆ ทุกครั้ง อะไรที่เพื่อนมีหล่อนก็อยากมีแบบนั้นบ้าง อยากมีบ้านของตัวเองสักหลัง อยากมีผู้ชายขับรถหรูๆ มารับส่งให้คนมองเล่นๆ อยากมีคนเทคแคร์ดูแลห่วงใย มีคนพาไปเลี้ยงข้าวดูหนังฟังเพลง สิ่งเหล่านี้ที่หล่อนขาดหายไปจึงเป็นแรงผลักดันให้ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้มันมา...ภัทรนันท์คือเป้าหมายนั้น ถึงแม้เขาจะมีพันธะแล้วก็ตาม
"อัยย์ รอด้วย"
สิริลักษณ์กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมา ตอนนี้ได้เวลาเลิกเรียนแล้วกำลังจะแยกย้ายกันกลับบ้าน มินตราหยุดเดินแล้วก้มมองดูเวลาที่ข้อมือ เพราะนัดพี่ชายเอาไว้ด้วยวันนี้เขาจะมารับไปทดลองทำงานจริงที่โรงแรม ไปเรียนรู้ระบบงานในส่วนต่างๆ ฝึกเอาไว้จะได้คุ้นชินกับงานบริการที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจของลูกค้าที่จะตามมา
"จะกลับแล้วเหรอ ว่าจะชวนไปกินไอติม"
"วันนี้คงไปไม่ได้ เพราะเดี๋ยวพี่ภีมจะมารับไปช่วยงานที่โรงแรมน่ะ"
"อ้าวเหรอ เสียดายจัง"
คนพูดเหลียวซ้ายแลขวา มองหาแพรวาเพี่อให้แน่ใจว่าฝ่ายนั้นยังไม่ได้เดินตามมา
"พอดีมีเรื่องจะถามหน่อยน่ะ"
"ว่า..."
"พอดีขิงมาขอยืมเงินฉัน บอกตามตรงว่าไม่อยากให้เลย ก็เลยอยากถามว่ามันเคยยืมแกบ้างมั้ย แล้วเคยถูกเบี้ยวหรือเปล่า"
มินตรายิ้มเฝื่อน ส่ายหัวปฏิเสธเพราะไม่อยากเอาความลับใครมาเปิดเผยให้คนอื่นฟัง
"ไม่รู้สิ แล้วแต่แกจะตัดสินใจก็แล้วกัน เพราะขิงก็ไม่เคยยืมเงินฉันเหมือนกัน"
"อ้าวเหรอ...ว่าแต่ยายขิงนี่ก็ทำตัวเวอร์เนอะ ไม่มีเงินแล้วยังจะติดหรู เที่ยวมาขอยืมเงินเพื่อนมันใช่มั้ยเนี่ย"
คนฟังแค่นยิ้ม ไม่ออกความเห็นเพราะไม่ชอบนินทาใครลับหลัง โดยเฉพาะเพื่อนกลุ่มเดียวกันที่กินข้าวด้วยกัน หล่อนคบใครก็มักจะให้ความจริงใจเสมอ ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าเพื่อนที่คบจะมีความจริงใจกลับคืนมาหรือไม่
"ฉันไม่ชอบเลย ขิงมันชอบนินทาแกลับหลัง เวลาแกโพสต์อะไรแล้วชอบกระแนะกระแหนอ่ะ มีอะไรอย่าไปเล่าให้มันฟังมากนะ ไว้ใจไม่ค่อยได้หรอก"
มินตราไม่ออกความเห็น หล่อนใช้ความเงียบแทนคำพูดว่าไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อ ใครจะนินทาใครหล่อนไม่อยากใส่ใจ คิดเพียงแค่ว่าต่อให้อยู่เฉยๆ ก็ยังถูกนินทา
เป็นจังหวะเดียวกันที่แพรวาเดินเข้ามาสมทบ สิริลักษณ์จึงยอมปิดปากเงียบเลิกพูด หันไปยิ้มให้อีกฝ่ายทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"จะกลับแล้วเหรออัยย์ วันนี้กลับกับใครอ่ะ"
"เอ่อ..."
"ถ้าพี่ชายแกมารับฉันจะขอติดรถกลับด้วย เดี๋ยวต่อรถไปเอง"
แพรวาหยั่งเชิง เพราะหล่อนได้ยินเพื่อนคุยโทรศัพท์ จึงได้รู้ว่าภัทรนันท์จะมารับอีกฝ่ายไปที่โรงแรม ด้านมินตราทำหน้าปั้นยากขึ้นมาทันที รู้สึกว่าระยะหลังมานี้เพื่อนตามติดตนบ่อยเหลือเกิน และจะเป็นทุกครั้งที่พี่ชายคนโตของเธอมารับ เขาต้องเลี้ยงข้าวและวนรถไปส่งที่หน้าปากซอย เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้งจนหล่อนรู้สึกว่าแพรวากำลังเข้ามาวุ่นวายกับครอบครัวของตนมากเกินไป
เป็นอีกครั้งที่ปฏิเสธไม่ออก หลังจากที่รอจนภัทรนันท์มาถึง มินตราเปิดประตูรถแล้วชะโงกหน้าเข้าไปยิ้มเจื่อนให้คนขับ สีหน้าของหล่อนออกแนวเกรงใจที่เพื่อนตามติด สายตาคู่คมสบกลับอย่างรู้เท่าทัน เขารู้ตั้งแต่ขับมาแล้วเห็นแพรวาอยู่กับน้องสาวตน คิดเอาไว้แล้วว่าแพรวาจะต้องขอติดรถไปด้วยแน่นอน
"สวัสดีค่ะพี่ภีม"
"สวัสดีครับ"
ภัทรนันท์เหลือบมองกระจกส่องหลัง เงาสะท้อนในนั้นเขาเห็นรอยยิ้มยั่วเชิญชวน แววตาของหล่อนทอประกายระยิบระยับ หล่อนจับจ้องสบตากับเขาผ่านกระจกเงา
ชายหนุ่มยิ้มกริ่มอย่างรู้เท่าทัน หากแต่ว่าเขาไม่ได้อดอยากปากแห้งจนต้องรีบตะครุบกิน ชายหนุ่มเบนสายตามาสนใจหนทางข้างหน้า เข้าเกียร์แล้วเหยียบคันเร่งออกตัวอย่างช้าๆ ถ้าไม่เมาเขาพยายามที่จะไม่ขับรถเร็วหากมินตรามาด้วย เพราะหล่อนเคยบอกว่า
กลัว ไม่อยากให้เขาใช้ความเร็วมากเกินไป
"วันนี้หาอะไรกินที่โรงแรมดีกว่า พอดีเลย เห็นพี่ภามเขาบอกว่าวันนี้จะไปร้องเพลงด้วยนะ"
"เหรอคะ ว่าแต่พี่ภีมทำไมไม่อยู่ร้องบ้างคะ เดี๋ยวอัยย์ไปเป็นแม่ยกให้"
"อย่าเลย เดี๋ยวจะไปขโมยซีนคุณพี่ภามเขาเปล่าๆ ถ้าพี่แย่งไมค์กันเองแล้วแขกจะเดือดร้อน"
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ อีกฝ่ายหัวเราะกลับทำราวกับว่าในรถคันนี้อยู่กันเพียงลำพังสองคน
"ว่าแต่แผลที่นิ้วหายหรือยัง"
"เริ่มแห้งแล้วค่ะ แต่ยังรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง"
"อืม ดีที่ไม่กลายเป็นหนองข้างใน"
"แล้วพี่ภีมดีกันกับพี่แบมหรือยังคะ"
เงียบ...ไม่มีคำตอบจากผู้ถูกถาม ตั้งแต่วันนั้นเขากับสิตางคุ์ก็ยังไม่ได้คุยกัน เขาออกจากบ้านแต่เช้าและกลับดึก มาถึงหล่อนก็หลับ เลยทำให้ยังไม่ได้มีเวลาคุยกันให้เป็นเรื่องเป็นราว
"ยังไม่คุยกันอีกเหรอคะ”
"เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ต้องมายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่หรอก จุ้นจ้านจริงๆ นะเราน่ะ"
"ก็อัยย์ไม่สบายใจเลย พี่ภีมกับพี่แบมทะเลาะกันเพราะอัยย์แท้ๆ อุ๊ย!" มินตราต้องตกใจ จู่ๆ เขาก็โน้มกายเข้ามาในจังหวะที่รถติดไฟแดง ท่อนแขนแข็งแรงเอื้อมผ่านด้านหน้าตนไป มองตามอุ้งมือแกร่งที่กำลังดึงเข็มขัดนิรภัยออกมา
"ทำไมไม่คาดเข็มขัดล่ะครับ"
เขาทำหน้าดุพลางดึงสายเข็มขัดให้พาดมาบนลำตัวของคนที่กำลังนั่งเกร็ง เสียบกับตัวล็อกให้เสร็จสรรพพร้อมแววตาสบกับดวงตากลมโตที่กระพริบปริบๆ เขาชอบทำอะไรที่ทำให้ตกใจและคาดเดาไม่ได้เลย
แพรวาจับจ้องมอง แปลกใจในสัมพันธ์สองคนที่ดูกระหนุง กระหนิงเกินกว่าความสนิทสนมในแบบพี่น้อง ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าขอบตาของตนกำลังร้อนผ่าว ไม่ชอบใจในภาพตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก
"ไฟเขียวแล้วค่ะ"
หญิงสาวเตือนสติให้เขารู้ตัว ใบหน้าคมคร้ามที่อยู่ห่างในระยะหายใจรถซ้ำยังชอบมองตนด้วยสายตาแปลกๆ ทำให้หล่อนเสมองไปทางอื่น ไม่กล้าสบตาเขาเพราะสัมผัสได้ถึงแววตาที่เปลี่ยนไปไม่เหมือนเคย
ภัทรนันท์ขยับถอยกลับมายังที่ของตน สายตาเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างหลังอย่างไม่ตั้งใจ ชายหนุ่มอมยิ้มกับตัวเองเพราะลืมตัวไปนิดคิดว่าอยู่เพียงลำพังกันแค่สองคนในรถ สัญญาณไฟทำให้เขาหันไปจดจ่อกับหนทางข้างหน้า พามินตราไปยังจุดหมายปลายทางนั่นก็คือโรงแรม บิดาเปรยเอาไว้ว่าอยากให้เขาช่วยสอนงาน ให้หล่อนได้เรียนรู้จริงควบคู่ไปกับการเรียนรู้ในห้องเรียน
เล็กซัสแดงชะลอความเร็วเมื่อเลี้ยวเข้ามายังทางเข้าหน้าโรงแรม ภัทรนันท์ลดกระจกลงมาครึ่งหนึ่งเมื่อขับผ่านยามที่มาเข้ากะบ่าย อีกฝ่ายดูกุลีกุจอเมื่อเห็นว่าเป็นรถเจ้านาย ชายหนุ่มส่งยิ้มไปให้ยามตามที่เคยทำอยู่เป็นประจำเมื่อเข้ามาที่โรงแรม
"สวัสดีครับคุณลุง"
"สวัสดีครับคุณภีม"
"ทานข้าวหรือยังครับ"
"ไว้ทานค่ำๆ ครับ"
"แล้วก็อย่าลืมทานข้าวนะครับ…ผมซื้อของมาให้ ดื่มแต่น้อยนะครับคุณลุง"
ภัทรนันท์ยื่นเครื่องดื่มชูกำลังส่งให้ยาม อีกฝ่ายยกมือไหว้ขอบคุณ รอยยิ้มและคำทักทายที่ได้รับจากคนที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญ มีความรู้สึกรักและภักดีในองค์กรจนอยากที่จะทำงานในตำแหน่งหน้าที่ของตนอย่างเต็มใจ
"พี่เริ่มสอนงานแล้วนะ ตั้งแต่เข้ามาน้องอัยย์เห็นอะไรบ้าง"
ชายหนุ่มกดกระจกให้เลื่อนปิด เท้าเหยียบคันเร่งในระดับความเร็วจนเกือบคลานเพื่อไปยังลานจอดรถที่อยู่ด้านหลังโรงแรม…ด้านมินตราทำหน้างงว่าเขาสอนตอนไหน เพราะตั้งแต่เข้ามาหล่อนยังไม่เห็นอะไรนอกจากยามที่หน้าโรงแรม
"อะไรเหรอคะ อัยย์ไม่ทันสังเกต"
"น้องอัยย์จะเห็นว่าตั้งแต่เข้ามาพี่จะยิ้มทักทายยาม จริงๆ เราไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น แต่ทำไมพี่ถึงทำรู้มั้ยครับ"
"เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีเหรอคะ"
"ก็ส่วนหนึ่ง ในเทคนิคการบริหาร นั่นเป็นหลักการเพิ่มคุณค่าให้องค์กรครับ"
"ยังไงคะ"
"เป้าหมายของเดอะเรดที่พนักงานทุกคนต้องรู้คือการก้าวไปเป็นที่หนึ่งของโรงแรมระดับห้าดาวในกรุงเทพฯ แต่การจะเติบโตไปถึงจุดนั้นได้ต้องอาศัยพลังขับเคลื่อนของบุคลากรภายในองค์กร ทุกคนสำคัญเท่าๆ กันหมด ยาม แม่บ้าน เด็กยกกระเป๋า ช่าง พนักงานทุกระดับทั้งลีดเดอร์ สต๊าฟ เวิร์กเกอร์ เมื่อมีพวกเขาแล้ว การสร้างความจงรักภักดีจึงเป็นสิ่งสำคัญ"
มินตรานิ่งฟัง พร้อมๆ กับที่เขาดับเครื่องยนต์เมื่อถอยเข้าที่จอดเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวเปิดประตูรถตามลงไปหยุดยืนอยู่ข้างๆ เห็นเขากวาดสายตามองไปรอบๆ ลานจอด คล้ายกับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง
"ถ้าเราทำให้พนักงานทุกคนมีความสำคัญเท่าๆ กัน ไม่มีตำแหน่งไหนด้อยค่าไปกว่ากัน ปรับทัศนคติของพนักงานให้เปลี่ยนมุมมองเรื่องการเหยียดและแบ่งแยก บรรยากาศการทำงานที่ดีก็จะตามมา เมื่อพนักงานรู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญมีคุณค่าต่อองค์กร มีการสร้างแรงบันดาลใจให้แต่ละคนรู้สึกมีเป้าหมายในชีวิต เขาก็อยากที่จะทำงานให้เรา แล้วก็ทำจากอินเนอร์จริงๆ ไม่ใช่การมาเพราะอยากรับเงินเดือนเพียงอย่างเดียว"
เขาหันมายิ้มให้กับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ฝ่ามือแกร่งขยี้ลงบนศีรษะเล็กราวเอ็นดู
"เข้าใจมั้ยครับ"
"คิดว่านะคะ"
"ทำหน้าเหมือนจะเข้าใจนะเราน่ะ"
มินตราหัวเราะเอียงอายเมื่อเขาเผยยิ้มล้อเลียน เหลือบมอง
ไปทางแพรวาที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ...เพื่อนของตนขอตามติดมาเรียนรู้งานบ้าง ไม่ยอมกลับไปอย่างที่บอกไว้ว่าจะต่อรถกลับเอง
ภัทรนันท์ไม่รู้จะทำเช่นไร เขาจำต้องปล่อยให้แพรวาตามติดเข้าไปเรียนรู้งานบางส่วนที่อยากสอนมินตรา ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมกลับจะให้ไล่กลับไปก็กระไรอยู่ เพราะหล่อนใช้สิทธิ์ความเป็นเพื่อนน้องเข้ามาตีสนิท และเขาจำต้องดูแลเทคแคร์ตามมารยาทที่พึงกระทำ
"เข้ามาสิครับ"
ภัทรนันท์เดินเข้าไปในห้องที่แม่บ้านกำลังเข้ามาทำความสะอาด หลังจากที่แขกเช็คเอาท์ออกไปตอนเที่ยงแล้วยังไม่มีใครจองเข้าพักต่อ...ชายหนุ่มส่งยิ้มไปให้แม่บ้านที่กำลังเก็บกวาดห้อง ทักทายตามความเคยชิน
"สวัสดีครับ เหนื่อยมั้ยครับคุณป้า"
"สวัสดีค่ะคุณภีม"
"เป็นยังไงบ้างครับวันนี้ มีปัญหาอะไรไหม"
"เหมือนทุกๆ วันค่ะคุณภีม แก้วน้ำและผ้าเช็ดตัวที่อยู่ไม่ครบ มีแขกแอบสูบบุหรี่ในห้องพัก แชมพูและครีมอาบน้ำที่ถูกกดออกไปจนหมด ทิ้งขยะไม่เป็นที่ ฉี่รดที่นอนก็ยังมีค่ะ"
"อืม..." ชายหนุ่มโน๊ตรายละเอียดเอาไว้เพื่อเก็บสถิติ คือหนึ่งในการทำงานของเขาที่ชอบมาคุยกับพนักงานระดับล่าง เพราะรีพอร์ตที่ได้รับในห้องประชุมนั้นผ่านการคัดกรองจากหัวหน้างาน ล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลที่ถูกปรุงแต่งขึ้นเพื่อให้ผู้บริหารมองเห็นในภาพรวมใหญ่ๆ ไม่ได้เจาะลึกถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจริง
อย่างเช่นปัญหาเรื่องของใช้ในห้องน้ำ เขาให้ช่างติดตั้งอุปกรณ์ที่ใช้บรรจุติดกับผนังแบบถาวรเพื่อลดคอร์ส แทนการใส่ขวดเล็กๆ ที่ลูกค้ามักนำกลับไปเป็นที่ระลึก การนำกลับไปเป็นสิทธิของผู้เข้าพักเพราะถูกชาร์ตรวมกับค่าห้องพักอยู่แล้ว แต่ที่เขาเพิ่งพบปัญหาจากการติดตั้งอุปกรณ์แบบถาวรนั่นคือบางคนชอบถ่ายเทของเหลวติดมือกลับไปด้วย
"ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยกันเป็นหูเป็นตา ปลายปีนี้มีรางวัลสำหรับแม่บ้านดีเด่นด้วยนะครับ ตอบแทนที่ทุกคนทุ่มเทให้กับการทำงานและรักในองค์กรของเรา"
"ค่ะคุณภีม ถ้ามีปัญหาอะไรดิฉันจะรายงานให้หัวหน้าทราบทันทีนะคะ"
"นี่แค่ส่วนห้องพักก็มีปัญหาขนาดนี้เลยเหรอคะ"
"ทำธุรกิจอะไรก็ตามล้วนมีปัญหาทั้งสิ้น หน้าที่ของเราคือ รับฟังปัญหาแล้วหาทางแก้เพื่อพาองค์กรให้เดินต่อไปจนถึงจุดหมายได้"
"ฟังดูยากจังเลยนะคะ เหมือนเป็นการรับผิดชอบอะไรที่ใหญ่จังเลยค่ะ"
"ครับ ยากแล้วก็รับผิดชอบสูง เพราะถ้าบริหารไม่ดีก็พากันล่มทั้งองค์กร"
ชายหนุ่มเดินไปหย่อนกายนั่งลงบนเตียงกว้างหลังจากแม่บ้านออกไปเพื่อนำผ้าปูชุดใหม่มาเปลี่ยน ฝ่ามือแกร่งทาบลงบนที่นอนนุ่มๆ เหลือบตามองสองสาวแล้วยิ้มออกมา
"ตอนเราไปนอนที่คอนเทนโต้ น้องอัยย์ชอบที่นั่นมั้ย"
"ชอบค่ะ คิดถึงที่นั่นจนอยากไปอีก"
"ชอบเพราะอะไรครับ"
"รีสอร์ทสวย การตกแต่งน่ารัก มีมุมถ่ายรูปเยอะ มีอาหารฟิวชั่นขาย สมมุติว่าอัยย์ต้องไปเที่ยวหรือทำธุระแถวนั้น รีสอร์ทที่ลอยมาในหัวว่าต้องไปพักอีกก็คือคอนเทนโต้"
"นั่นคือแนวคิดของทีมงานที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างชัดเจน รีสอร์ทในเมืองท่องเที่ยวธรรมชาติที่คนส่วนใหญ่ไปเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ความแปลกใหม่จึงช่วยดึงลูกค้าเข้าหา ไม่เน้นความหรูหรา ราคาย่อมเยาว์เพราะต้องการดึงกลุ่มวัยรุ่น ส่วนของเราแนวคิดจะแตกต่างออกไป กลุ่มลูกค้าเป้าหมายคนละกลุ่ม เราจะเน้นชาวต่างชาติที่มาติดต่อธุรกิจหรือมาท่องเที่ยว ดังนั้นความสะดวกสบายจึงมาเป็นอันดับแรก"
"ประมาณว่าเน้นการตกแต่งแบบเรียบง่ายแต่ดูหรูหรา เหมาะสำหรับการพักผ่อนนอนหลับอย่างแท้จริงเหรอคะ"
"ใช่ครับ ที่สำคัญเลยคือเตียงนอนและที่นอน บางคนชอบนุ่มๆ บางคนชอบแข็งๆ ที่นอนจึงต้องสั่งทำเป็นพิเศษไม่ให้นุ่มเกินไปแล้วก็แข็งเกินไป เตียงนอนทำจากไม้มีมุมแหลมๆ เสี่ยงต่อการที่แขกจะเดินเตะหรือสะดุดก็ไม่เหมาะ การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นต้องไม่เกะกะและสะดวกเวลาใช้งานจริง การคุมโทนสีให้ดูสบายตาและดูอบอุ่นเสมือนบ้าน ในหนึ่งห้องที่กว่าจะได้มานั้น ต้นทุนต้องใช้ทั้งเวลา สถาปนิก วิศวกร มัณฑนากร ช่วยกันคิดเพื่อให้ได้ห้องพักที่ทำให้แขกอยากกลับมาพักอีก คอร์สเหล่านี้มีผลต่อราคาห้องพักที่เราจะกำหนดมันขึ้นมา ถ้าจะเรียนรู้จริงๆ น้องอัยย์คงต้องใช้ประสบการณ์สอนควบคู่กันไป ทฤษฎีใครๆ ก็พูดได้ สนามจริงนั่นคือการลงมือทำ"
"โห...แค่นี้ก็ปวดหัวแล้วค่ะ"
"นี่แค่เรียนรู้คร่าวๆ นะ คิดดูละกันว่าพวกพี่จะปวดหัวขนาดไหน ต้องเจอปัญหาโน่นนี่นั่นทุกวัน ในขณะเดียวกันก็ต้องคิดอะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นคู่แข่งก็จะแซงหน้า โรงแรมมีมากมายลูกค้าคือคนเลือก ส่วนเราคือผู้ถูกเลือก"
"เพราะอย่างนี้ไงคะอัยย์ถึงต้องช่วยที่บ้านประหยัด อัยย์รู้ค่ะว่าการจะได้เงินมานั้นไม่ง่าย ทุกคนในบ้านต้องทำงานหนัก ในขณะที่อัยย์ใช้เงินอย่างเดียวไม่ได้ช่วยอะไรเลย"
"อย่างเราเขาเรียกว่างก เก็บอย่างเดียวแล้วก็ไม่ค่อยจะซื้ออะไรกิน"
"ก็เพราะคุณพ่อสอนให้อัยย์ประหยัดนี่คะ คุณพ่อบอกชีวิตคนเราไม่แน่นอน วันนี้มีพรุ่งนี้อาจไม่มี อย่าหลงระเริงไปกับเงินทองที่ได้มา แล้วอีกอย่างอัยย์ก็ไม่อยากขอพี่ภีมพี่ภามเวลาจะซื้ออะไร ก็อาศัยเงินที่เก็บเอาไว้นี่ล่ะค่ะ"
มินตราพูดในสิ่งที่คิด แต่ว่าลึกๆ แล้วคือปมด้อยที่คิดอยู่เสมอว่าถึงจะได้รับความรักจากบิดามารดาบุญธรรมมากแค่ไหน แต่หล่อนก็คือผู้อาศัยที่ต้องเจียมตัว ไม่กล้าที่จะใช้เงินเป็นเบี้ยเหมือนเช่นคนอื่นๆ เพราะถึงอย่างไรก็คือเงินของที่บ้าน ไม่ใช่ของตน
"ขิงขอยืนยันความงกของยายอัยย์ค่ะพี่ภีม ชวนไปกินอะไรก็ไม่ไป ซื้อของนี่คิดแล้วคิดอีก"
แพรวาแทรกขึ้นมาหลังจากนิ่งฟังและลอบมองเขาอยู่นาน เมื่อได้มาสัมผัสเขาในบทบาทนักบริหารความปลื้มในตัวพี่ชายเพื่อนจึงทบเท่าทวีคูณ การชวนเขาคุยจึงเป็นการสร้างความสนิทสนมขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง อาศัยความเป็นเพื่อนกับมินตราในการเข้าหาเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ