Chapter 5
เรายังรักกันไหม (2)
สิตางคุ์มองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินประคองคนเจ็บเข้าไปด้านใน...ความรู้สึกแปลกๆ มาเยือนเมื่อเห็นภาพนั้น ความแนบชิดสนิทสนมแลดูห่วงใยจนออกนอกหน้า หล่อนคงเป็นบ้าไปแล้วที่กำลังออกอาการหึงหวงสามีกับน้องสาวของเขา คิดพลางสลัดความรู้สึกนั้นออกไปจากใจ ก่อนจะเดินตามเข้าไปเพื่อแสดงความรับผิดชอบ เพราะการที่มินตราบาดเจ็บนั้นก็มาจากน้ำมือตน
"เป็นเพราะแบมทำแก้วตก อัยย์ก็เลยต้องบาดเจ็บ เพราะความซุ่มซ่ามของแบมแท้ๆ"
สิตางคุ์ยืนมองสามีตนกำลังใช้แหนบอันเล็กๆ ดึงเศษแก้วออกมาจากปากแผล ความแหลมคมทำให้เกิดร่องรอยลึกเข้าไปในเนื้อ เลือดที่ไหลซึมออกมาที่ปลายนิ้วเท้าทำเอาคนเจ็บต้องเบือนหน้าไม่กล้ามอง
"ไม่ใช่ความผิดของพี่แบมหรอกค่ะ อัยย์ไม่ระวังเอง อย่าโทษตัวเองเลยนะคะ"
มินตราออกรับแทน เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น หล่อนไม่อยากให้ใครต้องรู้สึกผิดเพราะตน และบาดแผลนั้นก็ไม่ได้มากมายที่ทำให้ถึงกับต้องไปโรงพยาบาล
ภัทรนันท์ไม่ออกความเห็นใดๆ เขายังคงจดจ่ออยู่กับการทำความสะอาดและทายาลงบนบาดแผล...ปากแผลไม่กว้างแต่ลึกเขาจึงใช้ผ้าพันเอาไว้ก่อนเพื่อห้ามเลือดและเพื่อป้องกันสิ่งสกปรกที่จะเข้าไป มินตราจับจ้องมองเท้าของตนที่ถูกจับไปวางไว้บนตัก มองดูเขาช่วยทำแผลให้จนเสร็จสิ้นกระบวนการ
"เอาละ เสร็จแล้ว สักพักเลือดก็คงหยุดไปเอง พยายามยกขาให้สูงเข้าไว้สักพักนึง"
"อัยย์ไม่เป็นอะไรแล้ว พี่ภีมกับพี่แบมไปทานข้าวเถอะค่ะ เดี๋ยวอาหารเย็นชืดหมดนะคะ"
ภัทรนันท์เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเหตุนั้นเกิดที่หน้าบ้าน เขาว่าจะถามเหมือนกันว่าวันนี้วันอะไร อาหารมื้อค่ำจึงถูกจัดเตรียมที่นอกบ้าน และบิดามารดาของเขายังไม่กลับมาด้วยซ้ำ แต่เพราะมัวจดจ่ออยู่กับการทำแผลให้มินตรา เขาเลยลืมมันไปชั่วคราว
"ผมว่าจะถามเหมือนกัน เนื่องในโอกาสอะไรเหรอแบม คุณถึงให้คนจัดโต๊ะอาหารตรงนั้น"
"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แบมแค่อยากทานมื้อค่ำกับคุณแค่สองคนบ้าง นานแล้วนะคะที่เราไม่ได้ออกไปหาอะไรทานด้วยกัน"
เขาจำได้ว่าหล่อนเป็นคนปฏิเสธทุกครั้งที่เขาเอ่ยชวน และเขาต้องลากมินตราให้ไปเป็นเพื่อนแทนเสมอ มาวันนี้นึกยังไงถึงอยากมีโมเม้นท์นี้ คิดพลางโพล่งความอัดอั้นนั้นออกมา
"พอผมชวนคุณก็ไม่ไป คุณอ้างโน่นนี่นั่นตลอด แล้ววันนี้เกิดอยากทานกับผมสองคน อยากทานในวันที่คุณพ่อคุณแม่กลับดึกเนี่ยนะ แล้วน้องอัยย์ล่ะ คุณจะปล่อยให้เธอทานข้าวคนเดียวหรือไง"
เหมือนไม่มีอะไรในถ้อยคำนั้น หากแต่ว่าทำเอาคนฟังถึงกับสะดุดฉุกใจคิด...ในเนื้อความมันหมายถึงเขาแคร์ความรู้สึกของคนที่เป็นแค่น้องสาว มากกว่าที่จะแคร์ความรู้สึกตนในฐานะภรรยานอนร่วมเตียง
มินตรานั่งกลอกตามองพี่ชายและพี่สะใภ้อย่างอึดอัดใจ หล่อนไม่อยากให้ใครว่าเอาได้ว่าคือตัวการที่ทำให้ดินเนอร์แสนหวานในค่ำคืนนี้ต้องล้มเลิกลงไป
"เอ่อ...อัยย์ทานคนเดียวได้ค่ะ พี่ภีมทานกับพี่แบมเถอะนะคะ ไม่ต้องห่วงแค่เรื่องทานข้าว เผลอๆอัยย์อาจไม่ทานด้วยซ้ำ เพราะรู้สึกไม่ค่อยหิวยังไงก็ไม่รู้"
"ไม่ได้ ยังไงวันนี้ก็ต้องทานมื้อเย็น เพราะเราน่ะไม่ได้ทานข้าวมาตั้งแต่เช้า แถมตอนบ่ายก็ได้พิชซ่าไปแค่ชิ้นเดียวเอง"
ทำไมเขาถึงรู้ในทุกๆ ความเคลื่อนไหวของมินตรา สิตางคุ์คิดพลางยืนนิ่งจับจ้องมองหน้าคนสองคนสลับกันไปมา หล่อนเก็บความน้อยใจผสานสงสัยเอาไว้ภายในไม่แสดงออกมา
"แบมไม่รู้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะไม่มาทานข้าวบ้าน ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้คุณไม่พอใจ"
"ผมยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ ทำไมต้องคิดว่าผมโกรธด้วยล่ะ"
สิตางคุ์จับจ้องมองหน้าคนพูด เขาคงไม่รู้ตัวว่าในถ้อยคำนั้นฟ้องออกมาอย่างชัดเจน ความคิดของหล่อนสื่อผ่านแววตาสั่นระริก จนคนมองสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนึกคิดข้างใน
"ผมแค่พูดว่าจะปล่อยให้น้องอัยย์ทานคนเดียวได้ยังไง ก็ไม่ได้หมายถึงว่าผมโกรธและจะตำหนิคุณ"
"แบมก็ยังไม่ได้คิดว่าคุณตำหนิเสียหน่อย"
"ก็คุณพูดออกมาว่าผมไม่พอใจ แล้วจะให้ผมคิดยังไง"
"อย่ามาหาเรื่องกันนะคะภีม!"
"ก็แล้วใครที่หาเรื่องผมก่อนน่ะฮึ!"
"โอเคค่ะ ไม่อยากทานก็ไม่ต้องทาน ไม่เห็นจะต้องอ้างโน่นนี่นั่น แยกกันทานไปเลยก็ได้ค่ะ อยากทำอะไรก็เรื่องของคุณ!"
สิตางคุ์เป็นฝ่ายควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่ได้ หล่อนสะบัดหน้าหนีเดินฟึดฟัดจากไปด้วยความกรุ่นโกรธ ปล่อยให้เขานั่งอยู่ตรงนั้น อยู่กับคนที่เขาแคร์ความรู้สึกมากกว่าตน
บรรยากาศห่มคลุมด้วยความเงียบและอึดอัดขึ้นมาทันที มินตรานั่งนิ่งด้วยความไม่สบายใจที่เห็นสองคนต้องมาทะเลาะกันเพราะตน แววตาคู่สวยเหลือบมองเสี้ยวหน้าคมคร้ามที่ไร้ซึ่งรอยยิ้ม มีเพียงเสียงถอดถอนใจดังมาเป็นระยะๆ...ในที่สุดหล่อนก็ทนความกดดันเอาไว้ไม่ได้ ยอมเปิดปากออกมาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์
"พี่ภีม..."
เหมือนเขารู้ว่าหล่อนจะพูดอะไร ยังไม่ทันอ้าปากเขาก็ยกมือเป็นเชิงห้ามว่าถ้าไม่อยากถูกดุว่าจุ้นจ้านก็ควรที่จะนั่งเงียบต่อไป
หากแต่ว่ามินตรากลับไม่เชื่อฟัง หล่อนคิดว่าเขาควรที่จะไปง้อภรรยาให้ลงมาทานมื้อค่ำด้วยกัน
"พี่ภีมควรที่จะตามไปง้อ เพราะพี่แบมยังไม่ได้ทานข้าวเย็น"
"....."
สายตาคู่คมตวัดมอง มันฉายแววว่ากำลังรำคาญเต็มที
"ยังไงพี่แบมก็กำลังท้องนะคะ ยอมลดทิฐิไปง้อคงไม่มีใครดิ้น
ตาย คนท้องขี้น้อยใจพี่ภีมก็น่าจะรู้ดี...อ๊ะ!"
หญิงสาวอุทานออกมา ตกใจเมื่อจู่ๆ เขาก็หันหน้ามาแล้วโน้มกายเข้าหา สองมือแกร่งตะปบลงบนพนักพิงโซฟากักร่างตนเอาไว้ แววตาของหล่อนฉายแววตื่นกลัว
ภัทร์นันท์จับจ้องมองหน้าคนจุ้นจ้านพลางขบกรามแน่น หล่อนสบตากลับอย่างไม่เข้าใจว่าเขากำลังจะบอกอะไร สัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนรุ่มที่ผ่อนออกมา ก่อนเขาจะค่อยๆ ถอยห่างทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปจากคนที่กำลังนั่งกลอกตาไปมาอย่างงุนงง
เขาลุกเดินหนีไปโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ หล่อนเข้าใจว่าเขากำลังอารมณ์ไม่ดีจึงไม่อยากใส่ใจในท่าทีนั้น คิดเพียงแต่ว่าเขาควรขึ้นไปง้อภรรยาที่กำลังโกรธขึ้ง ส่วนหล่อนจะต้องทานมื้อค่ำคนเดียวนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรมานั่งใส่ใจ เพราะคนที่หล่อนอยากให้มาใส่ใจนั้นยังไม่กลับมา
เสียงทีวีที่ดังอยู่ชั้นล่างแว่วมาเข้าหูคนที่เพิ่งจะกลับมาถึงบ้าน ภัทรนนท์เดินเข้าจนถึงมุมพักผ่อนแล้วต้องชะงักฝีเท้า ชายหนุ่มเหลือบดูเวลาแล้วค่อนข้างจะแปลกใจอยู่ไม่น้อย เกือบเที่ยงคืนแล้วที่เจ้าหล่อนยังคงฝากร่างอยู่บนเดย์เบดนุ่มๆ หน้าทีวี...ทำไมสิตางคุ์จึงลงมานอนดูทีวีที่ชั้นล่าง คิดพลางสาวเท้าเข้าไปชะโงกหน้าดูว่าหล่อนหลับหรือยังคงรู้สึกตัว
เหมือนเจ้าตัวจะมีเซ้นส์รับรู้ถึงการกลับมาของใครบางคน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าภัทรนนท์ยืนอยู่ เขามาตั้งแต่เมื่อไรนั้นหล่อนไม่อาจรู้ได้ แววตาหม่นเศร้าไล่มองการแต่งกายของเขาแล้วแทบไม่ต้องเดาว่าเขาเพิ่งกลับมาจากร้องเพลง กางเกงหนังสีดำและเสื้อข้างในสีขาวพอดีตัว สวมทับด้วยเบลเซอร์ลายทางสีฟ้าขาวพับแขนขึ้นไปถึงข้อศอก เปลี่ยนลุคหนุ่มนักธุรกิจเคร่งขรึมกลายเป็นภัทรนนท์ในอีกตัวตน...ตัวตนของเขาที่คุ้นเคยเพราะรู้จักกันมายาวนาน
รอยยิ้มปร่าแปร่งถูกส่งออกไปเพราะความสัมพันธ์ที่ต่างจากวันวาน...ความสนิทสนมในฐานะเพื่อนที่รู้ใจค่อยๆ จืดจางห่างหายไปนับตั้งแต่หล่อนตัดสินใจร่วมชีวิตกับภัทรนันท์ อันเป็นความต้องการของทางบ้านที่จับได้เรื่องความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ในตอนนั้นหล่อนสับสน ไม่รู้ใจตัวเองด้วยซ้ำว่ารักใครกันแน่ระหว่างเขาหรือพี่ชายฝาแฝด หากแต่ว่าความพลั้งเผลอปล่อยให้สัมพันธ์เลยเถิด ก็เลยทำให้ชีวิตต้องเปลี่ยนผันต้องแต่งงานกับภัทรนันท์อย่างไม่ตั้งใจ
เส้นศีลธรรมเป็นดั่งเครื่องขวางกั้นแยกสัมพันธ์ให้แปรเปลี่ยน แม้ความรู้สึกบางอย่างจะจืดจางห่างหาย แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่คือความปรารถนาดีที่มีให้กันเสมอมา...ภัทรนนท์จับจ้องมองเพื่อนสนิทที่กลายมาเป็นพี่สะใภ้ คงไม่พ้นทะเลาะกันเรื่องพฤติกรรมของพี่ชายตน พฤติกรรมเจ้าชู้ประตูดินที่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครหยุดได้ และเขาซึ่งเป็นได้แค่คนมองก็ไม่อาจช่วยอะไรได้เลย นั่นเป็นเรื่องของคนสองคนที่ต้องแก้ปัญหาชีวิตกันเอาเอง
สายตาสองคู่สบประสานกันนิ่งนาน คล้ายต่างฝ่ายต่างรู้เท่าทันในความคิดของกันและกัน เพียงแต่ยากเหลือเกินที่จะกลั่นถ้อยคำใดๆ ออกมา แม้จะรู้ว่าทำไมแต่ภัทรนนท์จำต้องแสดงความห่วงใยด้วยการถามไถ่...ถามในสิ่งที่รู้ถึงคำตอบที่จะได้มา
"ดึกแล้วทำไมยังไม่หลับไม่นอนล่ะแบม"
สิตางคุ์ไม่ตอบ ความนิ่งเงียบพร้อมสีหน้าและแววตาที่สื่อถึงความทุกข์ในใจ คือคำตอบที่ชัดเจนโดยไม่ต้องพูดอะไร
ภัทรนนท์ถอนหายใจ เขาไม่รู้จะพูดอะไรเพราะมันคือปัญหาของผัวเมีย ทำได้เพียงไล่ให้หล่อนขึ้นไปนอน เพราะรู้ในนิสัยของพี่ชายตนดี ถ้าจะไม่ง้อก็คือไม่ง้อ ต่อให้หล่อนทรมานตัวเองเพื่อเรียกร้องความสนใจแค่ไหนก็ตาม ตรงกันข้าม นั่นยิ่งทำให้คนมีทางไปอย่างพี่ชายตนรู้สึกเบื่อ เขาพยายามเตือนสิตางคุ์หลายครั้งแล้วว่าอย่าชะล่าใจ...อย่ามั่นใจในทุกๆ เรื่องว่าจะทำตัวยังไงก็ได้ ลูกไม่ใช่เครื่องผูกมัดผู้ชายเจ้าชู้ได้อย่างที่ผู้หญิงหลายคนเข้าใจ
"ภามทานอะไรมาหรือยัง"
"ทานมาเรียบร้อยแล้ว...ขึ้นไปนอนเถอะมันดึกแล้ว คนท้องห้ามนอนดึกเดี๋ยวเจ้าตัวเล็กไม่แข็งแรงนะ"
คนฟังแค่นยิ้ม หากแต่ว่ายังคงนั่งนิ่งไม่ลุกขึ้นมา
"ไปเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน"
เขาคว้าข้อมือให้หล่อนลุกตามขึ้นมา ที่จริงตอนนี้เขาเหนื่อยแล้วก็อยากทิ้งกายลงบนที่นอนนุ่มๆ เต็มทน ติดที่สิตางคุ์ยังคงอยู่ตรงนี้ จะให้ขึ้นห้องไปโดยทิ้งหล่อนไว้เขาก็ไม่สบายใจอีกเช่นกัน
เมื่อหล่อนลุกขึ้นเขาจึงรีบปล่อยมือ เพื่อรักษาระยะห่างของความสนิทสนมเอาไว้ สถานะระหว่างเขาและหล่อนตอนนี้จึงเป็นแค่พี่สะใภ้ร่วมชายคาเท่านั้น…อดีตที่ผ่านมาเขาไม่อยากจำ
สองขาของเขาต้องชะงักหยุดนิ่งขณะเดินหนี เมื่ออีกฝ่ายโถมกายเข้าหาพร้อมสองแขนสอดโอบกอดเอาไว้จากด้านหลัง ยามใบหน้าสวยซุกซบอยู่กับแผ่นหลังกว้าง ใจของเขาก็พลันเต้นแรง
"ถ้าภีมเขาเป็นแบบภามก็คงจะดี ถ้าเขาดีได้สักครึ่งหนึ่งของภาม แบมคงจะมีความสุขมากกว่านี้"
"พี่ภาม! พี่แบม!"
มินตรายกมือขึ้นปิดปากอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ตาเห็น หล่อนนอนไม่หลับเพราะรู้ว่าภัทรนนท์ยังไม่กลับ จึงลงมาชั้นล่างเพื่อนั่งรอเขากลับมา เผื่อเขายังไม่ได้ทานอะไรมาจากข้างนอกหล่อนจะได้ช่วยดูแล ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเห็นภาพแสนช็อกความรู้สึก…พี่สะใภ้ตนคิดอะไรจึงทำลงไปแบบนั้น แล้วเขาซึ่งเป็นคนที่ตนแอบรักกลับยอมให้อีกฝ่ายกอด คิดพลางผลุนผลันหันหลังกลับ หล่อนวิ่งขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟท์ท่ามกลางหยาดน้ำตาที่เอ่อซึมเพราะความผิดหวัง
"ทำอะไรน่ะแบม! ปล่อยก่อน"
ชายหนุ่มแกะท่อนแขนที่กอดตนเอาไว้ราวถูกเผือกร้อน เขาถอยห่างไปตั้งหลักจนไกล
"ถ้ายังอยากมองหน้ากัน ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก!"
"แบม...ขอโทษ แค่อยากกอดในฐานะเพื่อน ไม่ได้มีอะไรแอบแฝง...แค่นี้ก็ไม่ได้เหรอภาม"
ชายหนุ่มยืนนิ่ง เขาเงียบไปนานก่อนถอดถอนใจ พูดในสิ่งที่เป็นปมในใจออกมา
"ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น นั่นก็มาจากการตัดสินใจของแบมเอง สถานะของเราจะกลับมาสนิทกันเหมือนเดิมไม่ได้ แต่ไม่ว่ายังไงภามก็ยังมีความปรารถนาดีให้เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน แต่...อย่าทำแบบเมื่อกี้อีก ใครมาเห็นจะเข้าใจผิดเอาได้"
ชายหนุ่มเดินหนีไปปล่อยให้อีกฝ่ายยืนนิ่งอยู่เพียงลำพัง...
สิตางคุ์มองตามแผ่นหลังกว้างที่ผลุนผลันหันหลังจากไปอย่างไม่ใยดี หล่อนเกลียดตัวเองที่ทำลงไปแบบนั้น แต่ใครจะเข้าใจว่ายามนี้แค่ต้องการใครสักคนมาช่วยปลอบใจ ใครสักคนที่รักตนจริงไม่มุ่งหวังแค่เรื่องบนเตียง คิดมาถึงตรงนี้ความจริงจึงย้อนกลับมาทิ่มแทงใจจนปวดแปลบอีกครั้ง ความจริงที่ว่าภัทรนันท์รักหล่อนเฉพาะยามอยู่บนเตียง ออกนอกบ้านเขาก็ไปเป็นของคนอื่น เขาเป็นผู้ชายสาธารณะที่แจกจ่ายความรักไปทั่วไม่มีวันสิ้นสุด และหล่อนไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะทนอยู่ในสภาพแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน ยิ่งมีสายเลือดในกายก่อเกิด จึงยากยิ่งนักหากจะตัดสินใจหย่าขาดจากเขาเพื่อไปเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนที่รักตนอย่างจริงใจ