Chapter 5
เรายังรักกันไหม (1)
เล็กซัสแดงขับเคลื่อนผ่านรั้วบ้านเข้ามาแล้วแล่นอย่างช้าๆ เข้าไปจอดในโรงรถ...วันนี้เจ้าของกลับเร็วกว่าทุกวัน นานๆ ทีที่คนในบ้านจะเห็นมันมาจอดโดดเด่นในยามเย็นย่ำที่ดวงตะวันยังไม่โบกมืออำลาฟ้าคราม
ภัทรนันท์ดับเครื่องยนต์ วันนี้เขากลับเร็วเพราะต้องพามินตราเข้าบ้าน เหตุเพราะภัทรนนท์ประชุมนานและยังมีแผนไปร้องเพลงต่อที่โรงแรมในตอนค่ำ เขาจึงไม่รอเพราะคิดว่าวันนี้น้องสาวตนควรที่จะเข้านอนเร็วเพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นตัว
"ขอบคุณมากนะคะ สำหรับเสื้อผ้าใหม่แล้วก็รองเท้าใหม่"
มินตรายิ้มให้คนขับพร้อมๆ กับยกมือไหว้ตามความเคยชิน...ของชิ้นใหม่ที่หล่อนเลือกแต่คนจ่ายเงินเป็นภัทรนันท์ ไม่เคยอ้อนให้เขาซื้อเพราะเห็นว่าที่มีอยู่ก็มากพอ แต่เพราะเขาเห็นว่าหล่อนใส่รองเท้าคู่เดิมไม่ยอมเปลี่ยน ก็เลยพาไปซื้อใหม่เพราะหากรอให้หล่อนซื้อเองมีหวังคงเดินจนส้นสึกก่อนแน่นอน
"แล้วก็อย่าเอาไปเก็บจนลืมล่ะครับ"
เขามองว่าน้องสาวตนช่างแปลกประหลาดกว่าเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันบางคน ไม่หลงวัตถุภายนอกจนต้องขวนขวายไขว่คว้าเพื่อให้ได้มา กิจกรรมส่วนใหญ่มักหมดไปกับการถ่ายภาพและตกแต่งภาพถ่ายเพื่อนำขึ้นขายออนไลน์ คือความสุขเล็กๆ ที่ทางบ้านไม่เคยขัด บิดาของเขาเคยพูดเสมอว่าอะไรที่ทำแล้วมีความสุขก็จงทำมัน เพราะเวลานั้นไม่เดินถอยหลัง ชีวิตคนเราไม่ยืนยาวก็ควรใช้มันให้คุ้ม นั่นคือมุมมองของบิดาที่เขาได้มาเต็มๆ
"อัยย์เก็บผ้าพันคอไว้ในรถดีกว่า ไว้ในนี้จะได้มีไว้ใช้แก้ขัด"
หล่อนหมายถึงของแถมที่ได้มาจากการซื้อของ ตั้งใจจะเก็บไว้ในคอนโซลเพื่อที่จะจำได้ง่ายหากต้องการใช้มัน
"ดะ เดี๋ยว!"
ช้าไปแล้วกับเสียงห้าม แววตาคมกล้าจับจ้องมองสองมือที่กำลังเปิดฝาคอนโซลกลาง...ความลับในนั้นที่ปกติไม่ค่อยมีใครมายุ่งกับมัน
'อุ๊ย!’
หญิงสาวอุทานในใจพลางชะงักมือที่กำลังจะวางกล่องผ้าพันคอลงในช่องสี่เหลี่ยม หล่อนไม่ใช่เด็กเพิ่งโตที่จะไม่รู้ว่ามันคืออะไร...ถุงยางอนามัยที่ถูกเก็บซ่อนไว้ทำให้ต้องรีบปิดฝาคอนโซลไว้ตามเดิม รู้สึกเขินอายจนร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า ไม่คิดว่าจะเปิดมาเจอของใช้ส่วนตัวของเขาซุกเอาไว้ในรถเช่นนี้
"บอกแล้วไงครับว่าอย่าเปิด"
เขาสบตากลับมาพลางดึงกล่องผ้าพันคอออกจากมือของคนที่กำลังนั่งนิ่ง นำมันไปเก็บไว้ที่อื่นแทนห้องแห่งความลับของตน...แววตาคู่นั้นที่ซ่อนอะไรหลายอย่างเอาไว้ จนหล่อนต้องหลุบตาหนีเพราะรู้สึกได้ถึงเลือดที่กำลังสูบฉีดขึ้นมาที่สองข้างแก้ม แสดงให้เขาเห็นจนได้รอยยิ้มกริ่มส่งกลับมา
"พี่ภีมอ่ะ ทุเรศที่สุด"
กำปั้นเล็กทุบไปที่ต้นแขนของเขาเพื่อกลบเกลื่อนอาการอายถุงหลายใบถูกรวบรวมกันแล้วรีบผลุนผลันลงจากรถ เดินหนีเข้าบ้านด้วยความรู้สึกแปลกๆ ในหัวใจ คล้ายจะไม่ชอบใจอยู่ลึกๆ ที่เห็นเขาพกเจ้าสิ่งนั้นไว้สำหรับพร้อมใช้งาน ไม่อยากจะคิดต่อว่าที่ผ่านมานั้นหลังเลิกงานเขาพาใครไปต่อจนกลับบ้านดึกดื่นแทบทุกคืน
มินตราต้องชะงักฝีเท้า เมื่อเดินเข้าบ้านมาแล้วเห็นพี่สะใภ้นั่งดูทีวีอยู่ตรงมุมพักผ่อนส่วนรวม ความรู้สึกแปลกๆ ที่ยังคงไม่จางหาย ทำให้ดวงตากลมโตฉายแววหลุกหลิกไม่กล้าสบกับคู่สนทนา
"กลับมาแล้วเหรออัยย์ แล้วภีมล่ะจ๊ะ ไหนภามเขาบอกว่ากลับมาด้วยกัน"
"เดี๋ยวตามมาค่ะ"
"อะไรเหรอ เยอะแยะเลย"
สิตางคุ์ปรายมองไปยังถุงหลายใบที่อีกฝ่ายหิ้วพะรุงพะรัง มองดูก็รู้ว่านั่นคือโลโก้แบรนด์เนม แม้จะไม่รู้ว่ามันคืออะไรบ้างแต่ที่ทำให้สะดุดฉุกใจคิดคือใครซื้อให้มินตรา
ยังไม่ทันที่มินตราจะตอบคำถาม คนที่เพิ่งเดินตามเข้ามาก็เบี่ยงเบนความสนใจของสิตางคุ์ให้ไปอยู่ตรงนั้นทันที
"คุณโทรหาผมมีอะไรหรือเปล่า พอผมโทรกลับคุณก็ไม่รับ"
"แล้วแบมโทรไปคุณมัวทำอะไรอยู่คะ ไม่รับตั้งหลายสาย"
"เอ่อ..."
ชายหนุ่มเหลือบมองคนที่ยืนยิ้มเจื่อน นึกแปลกใจตัวเองที่ไม่กล้าบอกความจริงว่าตอนนั้นกำลังร้องเพลงอยู่กับใคร อยู่ดีๆ ก็กลัวสิตางคุ์จะโกรธ…เขาว่าคนมีชนักติดหลังมักจะชอบกลัวไปเอง กลัวจนต้องคิดคำโกหกขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อนในสิ่งที่ทำลงไป
"ผมประชุมอยู่น่ะ พอดีลืมโทรศัพท์ไว้ในห้องทำงาน...แล้ว...คุณมีอะไรหรือเปล่าถึงโทร.หาผม"
ภัทรนันท์นึกแปลกใจ เพราะที่ผ่านมาภรรยาของเขาไม่เคยตามจิก ไม่เคยสนใจว่าเขาจะกลับเวลาไหน วันนี้มาแปลกเขาเลยค่อนข้างหวาดระแวง ประจวบเหมาะกับความลับเรื่องเมื่อคืนนี้ความหวาดระแวงยิ่งคูณสอง คิดไปไกลว่านอกจากเขาแล้วมีใครรู้หรือไม่ว่าเมื่อคืนเขานอนอยู่กับมินตรา
"แค่จะถามว่าวันนี้คุณจะกลับดึกมั้ย จะได้ทำอาหารไว้รอ"
สิตางคุ์หาเหตุผลอื่นมาอ้าง ที่จริงหล่อนเริ่มหวาดระแวงสามีว่าตอนนี้เขาอาจกำลังแอบมีเมียน้อยเป็นตัวเป็นตนจนถึงขั้นเลี้ยงดู...ดูเหมือนว่าแค่เขาไม่กลับมานอนในห้องคืนเดียว จะเริ่มทำให้หล่อนไม่ไว้วางใจ คิดกลัวไปต่างๆ นานาเกี่ยวกับเรื่องบนเตียงที่ขาดหาย แต่หล่อนก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ แต่เพราะฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปรวมทั้งร่างกายที่ไม่พร้อม จึงผลักไสไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้แม้กระทั่งนอนกอด เมื่อก่อนอาจไม่มีอะไร แต่ตอนนี้เซ้นส์ของหล่อนฟ้องว่าเขาเองก็กำลังเปลี่ยนไป เรื่องบนเตียงที่เคยเรียกร้อง ในวันนี้เขาไม่เคยร้องขอและกวนใจกันอีกเลย
ภัทรนันท์ถึงกับเอียงหน้ามองเมื่อได้ฟังถ้อยคำนั้น มันออกจะแปลกไปอยู่มากที่หล่อนจะลุกมาทำอาหารไว้รอ...ช่วงเวลาที่กำลังแปลกใจและงุนงง สายตาก็เหลือบมองไปทางมินตราอย่างไม่ตั้งใจ มองตามร่างคนที่เดินหนีไปเงียบๆ ปล่อยให้เขาอยู่กับภรรยาเพียงลำพังสองคน…
หลังอาบน้ำเสร็จมินตราลงลิฟต์มาชั้นล่างพร้อมกับความมืดที่เริ่มโรยตัวเข้ามา กลิ่นหอมของเนยที่โชยมาจากครัวฝรั่งที่อยู่ในตัวบ้านทำให้หล่อนเดินไปตามกลิ่นนั้น เมื่อเข้าไปในครัวเห็นสิตางคุ์กำลังเตรียมอาหารใส่จานพร้อมรอยยิ้มที่เคลือบฉาบอยู่บนใบหน้า...สเต็กปลาชิ้นกำลังดีเคียงข้างด้วยเลมอนฝานบางๆ มีบล็อกโคลี่กับเบบี้แครอทลวกและพริกหวานย่างเป็นเครื่องเคียง มินตรามองอีกฝ่ายจัดใส่จานที่มีถ้วยเล็กๆ รูปใบไม้ใส่ซอสทาร์ทาร์วางอยู่ด้วยกัน ออกจะแปลกใจที่วันนี้พี่สะใภ้ลุกขึ้นมาเข้าครัว
"อารมณ์ไหนคะพี่แบม ถึงลุกมาทำอาหารเองแบบนี้"
สิตางคุ์เงยหน้าขึ้นมาแล้วยิ้มกริ่ม...ที่ทำลงไปนั้นไม่ได้พิเศษอะไรมากมาย แค่ภัทรนันท์บอกอยากทานสเต็กปลาในมื้อค่ำ แล้วหล่อนก็ตั้งใจเอาไว้จะไปทานที่สนามหญ้าใต้แสงเทียนเพียงลำพังสองคน
"ไม่มีอะไรหรอกอัยย์ ภีมเขาอยากทานพี่ก็เลยทำให้...ก็แค่...เติมความหวานให้กันบ้างเท่านั้นเอง"
สิตางคุ์ยังไม่ได้บอกสามีในข้อนี้ รอให้เขาอาบน้ำลงมาแล้วบอกทีเดียวเขาคงไม่ขัดข้องอะไร กับการที่วันนี้จะไม่ร่วมโต๊ะกับคนอื่นๆ ในครอบครัว อีกไม่นานทั้งพ่อและแม่สามีก็จะมาถึง มินตราก็จะมีเพื่อนทานอาหารเย็นเหมือนเช่นทุกวัน
"มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ พี่แบมกำลังท้องอย่าทำอะไรหนักเกินนะคะ เดินมากๆ เดี๋ยวลื่นล้มพี่ภีมก็ดุเอาหรอก"
"งั้นพี่วานให้ช่วยถืออาหารออกไปวางที่โต๊ะตรงสนามหญ้าได้ไหม เรียกพี่กล้วยมาช่วยก็ได้ เดี๋ยวพี่ไปเลือกไวน์ก่อน"
"พี่แบมจะดื่มมันเหรอคะ"
มินตราทำหน้าตกใจ เพราะไวน์นั้นมีแอลกอฮอล์
"เปล่าจ้ะ เตรียมให้ภีมเขาน่ะ พี่ขอเป็นน้ำองุ่นธรรมดาก็พอ"
"โล่งอกไปค่ะ อัยย์ก็นึกว่าพี่แบมจะดื่มไวน์"
มินตราหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะถือจานสเต็กเดินออกไปยังสนามหญ้าหน้าบ้านที่ใช้จัดงานปาร์ตี้เป็นประจำ ช่วยพี่สะใภ้จัดโต๊ะอาหารอย่างเต็มใจ แก้วไวน์ถูกเตรียมพร้อมสำหรับปาร์ตี้เล็กๆ ยามค่ำ หล่อนยังวิ่งหาดอกไม้ที่ปลูกไว้ภายในบ้านมาใส่แจกัน นำมันมาประดับตกแต่งบนโต๊ะอาหารเพื่อเพิ่มความโรแมนติก ราวกับว่าตนเป็นแม่งานตามโรงแรมที่ได้ค่าจ้างตอบแทน
สิตางคุ์ถือขวดไวน์เดินมาสมทบ หล่อนวางมันลงบนโต๊ะรอให้แม่บ้านเตรียมถังใส่น้ำแข็งเพื่อแช่ไวน์ สองมือจัดชายผ้าที่คลุมโต๊ะเพื่อความเรียบร้อย จังหวะนั้นมือเผลอไปโดนแก้วไวน์บนโต๊ะอย่างไม่ตั้งใจ มันล้มแล้วพลัดตกลงพื้นที่ทำจากหินแข็งจนแตกกระจาย ท่ามกลางความตกตะลึง เศษแก้วแหลมคมทิ่มลงบนปลายนิ้วเท้าของมินตราตามแรงกระแทก เพราะอีกฝ่ายยืนอยู่ตรงนั้นพอดี
"อัยย์!"
มินตรายืนหน้าซีดเผือดใจเต้นแรง หล่อนเป็นคนกลัวเลือดจึงไม่กล้ามองตรงรอยเจ็บ เลือดสดๆ ที่ไหลซึมออกมาทำให้สิตางคุ์ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
"อะไรกันเหรอแบม"
เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงนั่น เห็นสามีตนกำลังเดินตรงเข้ามา พร้อมสายตามองบนพื้นที่เต็มไปด้วยเศษแก้ว ใบหน้าของเขาแลดูตกใจเมื่อเห็นเศษแก้วเสียบคาอยู่ตรงปลายนิ้วของมินตรา
"น้องอัยย์ถูกแก้วบาดเหรอ!"
เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ ชายหนุ่มปราดเข้าไปใกล้คนที่ยืนนิ่งหน้าซีด แววตาอาทรมาพร้อมการโอบรั้งไปที่เอวเพื่อช่วยพยุงให้หล่อนเดินเข้าไปในบ้านเพื่อทำแผล เศษแก้วที่หักคาจำเป็นต้องหาอะไรมาดึงมันออกไป
"ภีม..."