Chapter 4 ความหวั่นไหว (3)

1755 คำ
Chapter 4 ความหวั่นไหว (3) ชายหนุ่มสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากใจ เขาคงเป็นบ้าไปแล้วที่เริ่มจะไม่หักห้ามใจไม่ให้คิดลึก...เชื่อมาตลอดว่าไม่เคยคิดลึกอะไร มองหล่อนคือน้องสาวที่มีความห่วงใยในฐานะพี่ชายเท่านั้น เขาเชื่อว่าที่เป็นอยู่มันไม่ใช่ความรู้สึกในแบบชู้สาว เพราะเขาจะปล่อยใจให้คิดแบบนั้นไม่ได้ ความรู้สึกในตอนนี้ก็แค่รักเธออย่างบริสุทธิ์ใจ รักที่มีแต่ความปรารถนาดีไม่ได้มีเรื่องหัวใจมาพัวพัน คล้ายคนบนเตียงจะมีเซ้นส์ ในภาวะกึ่งตื่นกึ่งฝัน ดวงตากลมโตปรือมองแล้วหรี่ลงอย่างงุนงงเมื่อคนที่เห็นไม่ใช่ภัทรนนท์ แต่เป็นอีกคนที่มายืนจับจ้องมองพร้อมรอยยิ้มแสนคุ้นเคย "พี่ภีม..." "นอนมาทั้งวันแล้ว ลุกขึ้นมากินข้าวกินปลาเสียบ้าง" เขายื่นมือมาข้างหน้าเพื่อรอรับ มินตราจับมือนั้นเอาไว้เพื่อใช้เป็นหลักยึดเกาะ หล่อนยันกายลุกนั่งทั้งที่กำลังมึนงง แววตาปรือฉ่ำกลอกไปมาเพราะไม่รู้วันเวลาว่าตอนนี้คือเช้าสายบ่ายหรือเย็น "เที่ยงแล้วเหรอคะ" คำถามนั่นเรียกเสียงหัวเราะขบขันขึ้นมาทันที "เที่ยงที่ไหน จะมืดอยู่แล้ว" หล่อนทำหน้าคล้ายไม่เชื่อ สองมือนุ่มคว้ามือเขามาอีกครั้งเพื่อดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ "มืดที่ไหน เกือบๆ บ่ายสองเอง" "นั่นล่ะครับ นอนยาวจนพี่ไปไหนไม่ได้ ต้องนั่งเฝ้าอยู่นี่ไง" หล่อนยิ้มอย่างอับอายที่วันนี้นอนยาวเกือบทั้งวันจนคนอื่นต้องเฝ้าเสียงานเสียการไปตามๆ กัน สองมือสางลงบนกลุ่มผมหอมนุ่มแทนหวีเพื่อจัดให้เป็นทรงตามเดิม "แล้วพี่ภามเขาไปไหนคะ พี่ภีมถึงต้องมาอยู่ที่นี่แทน" "ติดประชุมน่ะ พี่ภามเขาโทร.สั่งพิชซ่ามาให้แล้ว ลุกขึ้นมา ล้างหน้าล้างตากินอะไรเสียบ้าง เดี๋ยวปวดท้องนะ" ชายหนุ่มเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบน้ำเปล่าออกมาแล้วรินใส่แก้ว ส่งให้คนที่ยังคงนั่งนิ่ง หล่อนรับมาดื่มรวดเดียวจนหมด ส่งยิ้มไปให้แทนคำขอบคุณที่เขารู้ใจว่ากำลังหิวน้ำจนคอแห้งผาก อันมาจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ยังตกค้างอยู่ในร่างกาย "ดื่มแค่แก้วเดียวพอครับ เดี๋ยวจุกกินอะไรไม่ได้" เขายึดแก้วใบเดิมคืนมาเมื่อเห็นหล่อนทำหน้าอ้อนวอนอยากที่จะดื่มมันเข้าไปอีก ให้สมกับความกระหายตามกลไกของร่างกายบังคับให้เป็นไป "พี่ภีมอ่ะ หวงน้ำ" "ลุกไปล้างหน้าได้แล้จะได้มากินพิชซ่า ป่านนี้ชีสแข็งหมด แล้วมั้ง" ชายหนุ่มคว้าข้อมือเล็กแล้วออกแรงดึง ก่อนจะจูงมือให้เจ้าตัวเดินตามออกมา เดินไปส่งถึงหน้าประตูเพื่อไล่ให้ไปห้องน้ำ ส่วนเขาจะแกะกล่องพิชซ่าไว้รอ มินตราหายไปพักใหญ่ก็กลับมา หล่อนแทบไม่ต้องทำอะไรมาถึงก็ทานได้เลยเพราะเขาเตรียมไว้พร้อมแล้ว บนโต๊ะยังมีแก้วใบใหญ่ใส่น้ำแข็งเกล็ดรินเป๊บซี่เย็นซ่าไว้จนเต็ม "คอแห้งจังเลยค่ะ" "เดี๋ยวก็หาย ต่อไปพี่คงไม่ให้เราดื่มหนักขนาดนี้แล้ว คราวนี้เล่นเอาซะน็อคไปเลย เพราะถ้าเป็นแบบนี้อีกขาดเรียนบ่อยๆ ก็ไม่ค่อยดี" "พี่ภามคงโกรธเรื่องนี้มาก เรื่องที่อัยย์ขาดเรียน" "อย่าไปใส่ใจกับหมอนั่นเลย โกรธแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องคิดมากหรอก" หญิงสาวยิ้มเฝื่อน บางทีก็อยากให้ภัทรนนท์คิดแบบนี้บ้าง คิดแบบภัทรนันท์ที่ปล่อยให้หล่อนได้มีอิสระในการใช้ชีวิต เขาทำให้หล่อนไว้ใจจนมีมากกว่าความสนิทสนม มีอะไรก็มักจะนำมาปรึกษาเพราะเขาใช้เหตุผลคุยกันเสมอ มินตราทานไปได้แค่ชิ้นเดียวก็รู้สึกอิ่ม อาจเป็นเพราะดื่มน้ำเข้าไปมากก็เลยทำให้ทานของหนักต่อไม่ได้ ท่าทีอ่อนเพลียไม่สดใสเหมือนเคย ทำให้ภัทรนันท์คิดว่าควรชวนหล่อนทำกิจกรรมอะไรสักอย่างเพื่อเรียกความสดชื่นคืนมา "อิ่มแล้วเหรอน้องอัยย์ ทำไมกินน้อยจังเลยล่ะครับ" "กินไม่ได้ค่ะ รู้สึกอืดๆ อยู่ในท้อง" "ไปร้องเพลงกันไหม" คำชวนทำเอาต้องเอียงหน้ามอง หล่อนชอบอยู่แล้วเรื่องร้องเพลงเพราะมันทำให้หายเครียด ดูเหมือนเขาจะรู้ใจว่าตนต้องการอะไรจึงเอ่ยชวน "มานี่สิครับ" มินตราเดินตามร่างสูงไปอย่างงุนงงว่าเขาจะทำอะไร เขาเดินผ่านตู้เก็บเอกสารไปหยุดยืนอยู่หน้าบานประตูที่ปิดไว้ เพียงกดรหัสหกตัวแล้วผลักประตูเข้าไปด้านใน มินตราถึงกับยืนนิ่งกับสิ่งที่ตาเห็น ท่ามกลางความมืดสลัวแต่ก็พอจะเดาได้ว่ามันไม่ต่างไปจากห้องร้องคาราโอเกะทั่วๆ ไป หล่อนเพิ่งรู้ว่าหลังบานประตูนี้มีไว้ทำอะไร คิดว่ามันคือประตู เชื่อมไปสู่ห้องประชุมก็เลยไม่เคยใส่ใจ ท่าทีคล้ายตื่นเต้นเรียกเสียงหัวเราะให้ดังอยู่ในลำคอแกร่ง "ไอ้พี่ภามนี่มันร้ายยยย" "ไม่บอกน้องนุ่งบ้างเลยว่ามีห้องร้องเพลงส่วนตัว" ชายหนุ่มเปิดไฟแล้วปิดประตูตามหลัง มันล็อกอัตโนมัตินอกจากจะมีคนกดรหัสเปิดเข้ามา ในนี้ไม่มีใครกล้าเข้านอกจากจะได้รับอนุญาตจากเจ้าของห้อง ห้องไว้สำหรับร้องเพลงตามความชอบส่วนตัวของภัทรนนท์ และอนุญาตให้พนักงานใช้จัดปาร์ตี้ได้ "พี่ภามทำห้องไว้ร้องเพลงเลยเหรอคะ ร้องที่บาร์ยังไม่เบื่ออีกเหรอ" "เอาไว้แก้เครียดเรื่องงาน พี่มาใช้บริการประจำ" "พี่ภีมพาใครมาร้องเหรอคะ" "ใส่ร้ายพี่ มาร้องคนเดียวนี่แหละ บางทีก็ร้องกันสองคน" หญิงสาวนั่งลงบนโซฟานุ่ม รอให้เขาเปิดจอภาพเปิดลำโพงแล้วก็เลือกเพลง "พี่ภีมเร็วๆ สิคะ อัยย์ถือไมค์รอแล้วเนี่ย" "โห...ไม่ค่อยเลยนะ" เขาหันมามองพลางหัวเราะ เมื่อเห็นน้องสาวตนถือไมค์เตรียมพร้อมชนิดที่ว่าดนตรีขึ้นมาก็ร้องได้ทันที "พี่ขอเลือกเพลงก่อนละกัน คิวต่อไปก็ให้น้องอัยย์เลือกบ้าง" "เลือกที่อัยย์ร้องได้ด้วยนะคะ ไม่ใช่ว่างัดเพลงสมัยยี่สิบปีที่แล้วขึ้นมา อัยย์เกิดไม่ทันนะ" "แหม...พี่ยังไม่แก่ขนาดนั้น" หญิงสาวหัวเราะขบขันกับการที่เขายอมไม่ได้ จากที่เป็นคนซีเรียสเรื่องอายุ การแต่งกายจึงออกมาดูลดวัยลงไปมาก กางเกงขาเต่อและรองเท้าผ้าใบทำจากหนังที่ไม่เคยหลุดเทรนด์แฟชั่น รวมทั้งออฟชั่นเสริมที่ขาดไม่ได้ นั่นคือสไตล์การแต่งกายที่หากไม่บอกอายุคงไม่มีใครเดาออกแน่นอน...พี่ชายฝาแฝดของหล่อนคือหนุ่มเมโทรเซ็กชวลเซ็กส์แอพพรีลเต็มพิกัด เพื่อนๆ ของหล่อนกระซิบมาแบบนั้น "พี่ชอบเพลงนี้ เกินคำว่ารัก ของพี่แบงค์วงแคลช" ชายหนุ่มเดินไปปิดไฟจนกลายเป็นห้องมืด แล้วเลือกเปิดดวงที่มีแสงสีฟ้าขึ้นมาแทน การที่เขาแทนตัวเจ้าของบทเพลงแบบนั้น มินตราถึงกับกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้ "โห แน่ใจนะคะว่าไม่ได้แก่กว่าเขา" "เพลงมาแล้ว หัวเราะอยู่นั่นล่ะ" มินตราโฟกัสไปบนจอภาพขนาดใหญ่เมื่อเสียงดนตรีดังก้องอยู่ในห้องอับเสียง เพลงนี้หล่อนพอร้องได้ เพราะเคยฟังผ่านหูมาบ้าง เสียงดนตรีดึงให้หล่อนเข้าไปในนั้น โยกกายไปกับท่วงทำนองที่ดังก้องเข้าไปในใจ ภัทรนันท์ดึงตัวเองเข้าสู่โลกแห่งเสียงเพลงเมื่อเสียงดนตรีดังขึ้น คือความสุขอย่างหนึ่งหลังจากเครียดเรื่องงาน ได้ปลดปล่อยออกมาผ่านเสียงเพลงขับกล่อมจนอินไปกับท่วงทำนอง "ตั้งแต่วันที่ได้เจอเธอ เท่าที่จำเธอไม่เคยมีซักทีที่ลืมกัน...ฉันไม่เข้าใจที่เธอทำเพราะอะไร เธอนั้นดีซะจนหัวใจฉันลอยไป...ไม่ต้องถามก็รู้ ว่าเธอนั้นรักฉันเท่าไร...ฉันบอกไป...ไม่รู้จะต้องใช้คำๆ ไหน" เมื่อมาถึงช่วงจังหวะบรรเลงดนตรี เขาสื่อภาษากายเพื่อให้ หล่อนร้องบ้างด้วยการคว้ามือนุ่มมากุมแล้วดึงรั้งให้ลุกขึ้นมา ความที่ร้องด้วยกันบ่อยจนเข้าขากันดี มินตราโยกกายไปตามท่วงทำนอง สบตากับเขาท่ามกลางแสงไฟสลัวแล้วร้องท่อนถัดไป เป็นจังหวะที่สายตาคู่คมสบกลับมา "ไม่ต้องถามก็รู้ ว่าเธอนั้นรักฉันเท่าไร ฉันบอกไป ไม่รู้จะต้องใช้คำๆไหน...บอกรักเท่าไรมันคงไม่พอสำหรับฉัน จะให้หันมองใครไม่มีใครดีเสมือนเธอ มันเอ่อล้นเต็มใจ ไม่รู้พูดยังไงให้มากมายเกินคำว่ารักเธอ ที่เคยได้พูดออกไป..." สองหนุ่มสาวปล่อยใจให้ดำดิ่งลึก ในช่วงเวลาที่มีเพียงเขาและเธอ เสียงเพลงที่ดังก้องอยู่ในห้องเก็บเสียงมืดสลัว บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะ ฝังกลบเรื่องราวทุกสิ่งจนลืมมันไปชั่วขณะ...เสียงท่วงทำนองและเสียงร้องประสานยังคงดังก้อง สนุกกับมันจนอดไม่ได้ที่จะต้องโยกกายไปตามท่วงทำนองดนตรี มินตราลืมสิ้นซึ่งทุกสิ่ง คือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเวลาอยู่กับเขาแล้วหล่อนจะมีความสุขทุกครั้ง เป็นความสุขที่มาอย่างไม่รู้ตัวเพราะใจที่ไม่ได้คิดลึก รู้แค่ว่าอยู่กับเขาแล้วสบายใจอีกทั้งเขายังทำให้รู้สึกสนุกได้ตลอดเวลา เช่นเดียวกับภัทรนันท์ เขาชอบที่จะใช้เวลาอยู่กับมินตรา รู้แค่ว่าอยู่กับหล่อนแล้วสบายใจไม่เครียด คือความสุขที่มาอย่างไม่รู้ตัวเช่นเดียวกัน หากแต่ว่าใจนั้นคอยร้องบอกว่าไม่ได้กำลังคิดไม่ซื่อกับน้องสาวตัวเอง และในช่วงเวลานี้เองที่มีใครบางคนโทร.หาแต่เขาไม่ได้รับนับสิบสาย เพราะใจกำลังดำดิ่งลึกสู่ห้วงแห่งความสุขตรงหน้าจนไม่สนใจวันเวลาที่ล่วงผ่านไป
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม