ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
สำหรับเขมกรแล้ว ขอเพียงแค่ในทุกวันครอบครัวได้กินดีอยู่ดี พ่อกับแม่ทำงานได้เงินทองมาก็เพียงพอกับการใช้จ่ายและใช้หนี้ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถึงจะทำงานจนเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่ก็ยังต้องอดมื้อกินมื้อ ทำงานหนักแต่กลับได้เงินมาประทังชีวิตเพียงแค่เล็กน้อย ไหนจะหนี้สินที่ยังต้องชดใช้ให้เขาอีกล่ะ ดอกทบต้น ต้นทบดอก เพิ่มพูนอยู่ทุกวัน ได้มาเท่าไหร่ก็มิพอจ่ายดอกเบี้ย บางครั้งถูกทวงถามพร้อมกับข่มขู่ให้อยู่อย่างอกสั่นขวัญผวา
มันคงจะดีมิน้อย ถ้าทำงานแล้วผลตอบแทนที่ได้มาเพียงพอสำหรับการใช้หนี้และใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ไม่จำเป็นต้องร่ำรวย แต่ขอให้พอมีพอกินและอิ่มท้อง อีกทั้งยังนอนหลับโดยไม่สะดุ้งตื่นเพราะเสียงทุบประตูจากเจ้าหนี้
มันคงจะดีไม่น้อยหากสิ่งที่ปรารถนานี้จะเป็นจริงได้!
แต่สิ่งที่คิดดูเหมือนจะเป็นความหวังที่เลือนรางและห่างไกลจนสุดมือคว้า จนวันหนึ่งได้ยินคนกล่าวถึงเรื่องของ “เรือนกวางซิน” ว่าช่วยให้สิ่งที่คิดเป็นความจริงได้ แต่ก็ไม่เคยมีใครได้เห็นได้รับรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเพียงแค่เรื่องที่เขาเล่าต่อกันมา จากความหวังกลับกลายเป็นความผิดหวัง แต่กับบางเรื่อง...มันก็มีไม่มีทั้งเหตุและผล
เชื่อหรือไม่เชื่อ สำหรับเขมกรแล้วมันไม่มีความหมายใด ๆ เลย สำหรับเขาแล้ว เพื่อครอบครัว เพื่อคนที่รัก แม้จะต้องสละชีวิต เขาก็ยอม ไม่ว่าจะต้องแลกกับสิ่งใดก็ตาม ขอเพียงแค่ครอบครัวอยู่ดีมีสุข หมดหนี้หมดสิน มีเส้นทางทำมาหากิน...ไม่ต้องเดือดร้อนอีก ถ้าหากว่า “เรือนกวางซิน” ช่วยทำให้ความต้องการเป็นจริงได้ เขาก็พร้อมที่จะทำ!
แต่ผู้ที่จะขึ้นเรือนกวางซินได้จะต้องมีโชคชะตาต้องกัน ความปรารถนาก็จะต้องมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า จะสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณ...กล้าจะแลกเปลี่ยนไหม!
แต่การจะแลกเปลี่ยนก็ยังมีสิ่งสำคัญอีกอย่างที่จะต้องรับรู้ไว้
เรื่องที่ทำจะต้องมิทำร้ายทำอันตรายผู้อื่น เมื่อตกลงทำสัญญาแล้ว จะเปลี่ยนแปลงสัญญานั้นมิได้ อีกทั้งย้อนกลับไม่ได้และจะไม่สามารถยกเลิกกลางคัน!
ถามว่า เขมกรคิดอะไรหรือเปล่า...
ไม่เลย...ก็แค่แลกเปลี่ยน จะต้องไปคิดอะไรให้มันมากมายล่ะ
จะดีหรือไม่ดี ก็เป็นเขาผู้นี้เป็นคนเลือกเอง จะเกิดอะไรขึ้น ก็แค่...พุ่งชนไป ก็โอกาสของเขามีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นนี่นา!
“คุณชายขอรับ”
ผู้ถูกเรียกหันไปตามเสียงร้องเรียก ก่อนจะหันกลับมามองสระบัวที่ตอนนี้มีดอกบัวชู่ช่ออยู่มากมาย
“ทำเมี่ยงกลีบบัวกินน่าจะดี”
ว่าแต่การทำเมี่ยงกลีบบัวต้องใช้อะไรบ้างนะ คิดแล้วก็เสียดาย มาอยู่ที่นี่ไม่มีโทรศัพท์มือถือที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะรีบหาข้อมูลวิธีการทำเมี่ยงกลีบบัวโดยเร็วเชียวล่ะ
อ๋อ...เขามิใช่คนยุคนี้หรอกนะ เขามาจากยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยี การสื่อสารต่าง ๆ พัฒนาก้าวหน้าไปไกลมาก แต่เพราะการตัดสินใจบางอย่างทำให้เขาย้อนเวลาหรือคงจะเป็นทะลุมิติมาอยู่ที่แห่งนี้ ที่...ตื่นมาอีกทีก็อยู่ในร่างใครก็ไม่รู้ พร้อมกับความทรงจำที่มันครึ่ง ๆ กลาง ๆ ของเจ้าของร่างเดิมที่เป็นคุณชายขี้โรค เลยทำให้ฉุนเฉียวง่าย ค่อนข้างจะเฮี้ยว ดื้อและเกเรมิน้อยเลย หากคนในบ้านก็ยังรักและให้อภัยตลอด เหตุที่ทำให้เขาเลือกทำเช่นนี้ ก็คงจะต้องย้อนเล่าไปว่า...
ที่ยุคโน้นเขามีชื่อว่าเขมกร ครอบครัวของเขามีอยู่ด้วยกันห้าคน แม่เป็นแม่ค้าขายข้าวแกง พ่อเป็นกรรมกร รับจ้างทำงานทุกอย่างไม่เลือก ส่วนเขากับน้องสาวยังอยู่ในวัยเรียนจึงไม่ได้ช่วยเหลืออะไรครอบครัวมากนัก ฐานะของเราก็คือ พอมีพอกินพอใช้แต่ไม่ได้เหลือเก็บ แต่เราก็มีความสุขกันนะ ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี แต่เมื่อแม่มีน้องอีกคน ปัญหาหนักก็เริ่มต้นขึ้น...
ด้วยวัยสามสิบแปดกับร่างกายที่กรำงานหนักมามาก เมื่อมีน้องในตอนนี้ ร่างกายก็เลยรับภาระมาก แต่เราก็ยังสู้กันไหว แต่สองเดือนก่อนที่น้องจะเกิด แม่ประสบอุบัติเหตุจนทำให้น้องเกิดออกมาก่อนกำหนด ทำให้น้องสุขภาพไม่ดี เขาไม่รู้ว่าน้องเป็นโรคอะไร แต่มักจะเห็นใบหน้าของแม่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาได้ยินแม่คุยกับพ่อว่า ถ้าจะให้น้องหายหรือดีขึ้น จะต้องใช้เงินในการรักษาจำนวนมาก
เมื่อมีเขาแล้วจะให้เลี้ยงอย่างปล่อยปละละเลยหรือ เพราะทำไม่ได้ พ่อเลยทุ่มทำงานหนักเพื่อหวังจะได้เงินมารักษาน้อง แม่ก็พยายามช่วยเต็มที่ แต่สุขภาพกลับอ่อนแอลง จนหลัง ๆ ทำงานไม่ได้ เขากับน้องที่เป็นเพียงแค่เด็กมัธยมต้น ที่หลังจากเลิกเรียนหรือเมื่อมีเวลาว่างก็ไปช่วยล้างจานที่ร้านก๋วยเตี๋ยว แต่ขยันแค่ไหนก็ช่วยอะไรได้ไม่มาก เขาไม่เคยรู้ว่าพ่อไปกู้หนี้ยืมสินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ได้รู้ก็เมื่อเจ้าหนี้ตามทวงถึงบ้าน ถึงบ้านกับที่ดินจะถูกยึด แต่หนี้ที่มีก็ยังไม่ลดลง มีแต่เพิ่มมากขึ้น เรื่องมันก็เลวร้ายมากขึ้นเมื่อเจ้าหนี้บีบบังคับให้เขากับน้องทำงาน...สกปรก!
ถ้าไม่ทำ...เจ้าหนี้ก็ขู่จะทำอันตรายเรายกบ้าน คิดหนีแต่คนพวกนั้นก็คอยดูอยู่ ขนาดเดินไปและกลับจากโรงเรียนก็ยังมีคนตาม พ่อกับแม่สอนให้ผมกับน้องทำความดี ที่เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ผมอยากให้ความดีที่ทำมาช่วยให้อะไร ๆ มันดีขึ้นสักหน่อย แล้วเขาก็ได้ยินเรื่องของ “เรือนกวางซิน” ถ้าเจอและชะตาต้องกัน สิ่งที่ขอไม่ทำร้ายคนอื่น ถ้าขอแล้ว...จะหยุดกลางคันไม่ได้ ทุกอย่างก็จะเป็นอย่างที่ต้องการ!
มันจะเป็นไปได้เหรอ...ไม่หรอกน่า เชื่อเถอะว่า ของฟรี ไม่มีในโลก ถ้าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ ยังไงก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน ที่ยิ่งความต้องการมากและสูงเท่าไหร่ สิ่งที่นำมาแลกเปลี่ยนจะต้องสูงและมีค่ามากเท่ากัน หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ
แต่ถึงจะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ใจเขาก็ยังไม่ปล่อยวาง เสี้ยวหนึ่งของความคิดมันค้านเอาไว้ ในเมื่อบอกว่าเป็นไปไม่ได้ แล้วทำไมถึงไม่ลองค้นหาดูล่ะ ให้มันแน่ใจว่า...ไม่ได้จริง ๆ เพราะถ้ามันเป็นไปได้ อะไร ๆ ที่มันย่ำแย่อยู่ตอนนี้ดีขึ้นมาบ้าง...แม้จะแค่เล็กน้อยก็ตามที
ในเมื่อไม่คิดจะยอมแพ้ เขมกรก็เริ่มค้นหาเรื่องของ “เรือนกวางซิน” แต่ก็ไม่ได้พบอะไรทั้งสิ้น แต่พอคิดวที่หาไม่เจอ ก็เพราะมันไม่ใช่เรื่องจริง หูก็ดันได้ยินเรื่องของ “เรือนกวางซิน” ขึ้นมาอีก
“มันคงไม่มีจริงหรอกน่า ถ้ามีจริงก็ต้องมีข้อมูลบ้างสิ แต่นี่อะไร ค้นหาอะไรไม่เจอสักอย่าง ใครกันที่สร้างเรื่องโกหกแบบนี้...มันน่าโมโหนัก อย่าให้เจอตัวนะ จะต่อยแรง ๆ สักที เอาน่า...ต้องไม่ท้อ มันต้องมีทางออกสำหรับเรื่องนี้สิน่า” เขมกรบ่นงึมงำ พลางคิดหาทางออกกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็เชื่อว่าถ้าไอ้เจ้าเรือนกวางซินมีจริง เขาก็จะต้องได้พบแน่นอน
“นั่นมัน...มีจริง ๆ เหรอเนี่ย” ตอนแรกเขมกรก็ไม่เชื่อ ด้วยสิ่งที่เห็นตรงหน้าคือเรือลำหนึ่ง ลักษณะมันเหมือนกับเรือที่เคยเห็นในหนังจีนโบราณที่มีขนาดบรรจุคนได้ประมาณแปดถึงสิบคนลอยลำอยู่ มีอักษรที่มิคุ้นตาที่ความรู้สึกเขาบอกว่ามันใช่...มันคือ “เรือนกวางซิน” ที่เขาคิดว่ามันจะเป็นบ้านแต่ความจริงมันคือเรือลำหนึ่ง
แต่ถึงจะรู้ด้วยความรู้สึกว่าใช่...แต่ด้วยตอนนี้มันก็ค่ำแล้ว ถ้าหากเขากลับบ้านช้าไปกว่านี้ พ่อกับแม่คงจะต้องเป็นห่วงมาก แต่ในหัวเขมกรกลับมีเสียงดังกลับมาว่า...
‘ในเมื่อเจอแล้ว ไม่คิดจะไปดูหน่อยเหรอ นั่นคือเรือที่ทำให้คนทุกคนได้ในสิ่งที่คิดนะ’