ตอนที่ 2
เขมกรสองจิตสองใจ สองมือจับแฮนด์รถจักรยาน เท้าก็อยู่ที่บันไดของรถ แต่ขากลับไม่ยอมปั่นไปอย่างที่ควรจะเป็น เพราะสายตาได้แต่จ้องมองไปยังเรือนามว่า “เรือนกวางซิน” ด้วยความหวังที่มันล้นออกมา
‘ถ้ามันแก้ปัญหาทุกอย่างที่เป็นอยู่ได้ล่ะ...ไม่ลองเหรอ’
“ที่บอกว่าจะทำให้ทุกอย่างเป็นจริงได้ เป็นไปไม่ได้หรอกน่า มันเหลือเชื่อเกินไป”
แต่แม้ปากจะพูดไปแบบนั้น หากมือและขากลับไม่ทำตาม เรียกได้ว่าทุกอย่างมันหลุดการควบคุมไปหมดแล้ว จักรยานคันเก่าถูกทิ้งอยู่ตรงนั้น เพราะขาของเขามันเลือกที่จะก้าวเดินขึ้นไปยัง “เรือนกวางซิน” อย่างเชื่องช้า หากทุกก้าวที่เดินกลับมั่นคงและหนักแน่น พร้อมกับเสียงที่ดังก้องอยู่ในหัว...ต้องได้ ต้องช่วยได้!
“ขอโทษครับ มีใครอยู่ไหมครับ” เขมกรหยุดยืนอยู่ตรงที่ทางขึ้นเรือ พร้อมกับชะโงกหน้ามองไปทั่วบริเวณ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครสักคน อย่างนี้ก็ขึ้นเรือไม่ได้สิ เขาลองตะโกนเรียงไปอีกครั้งและยืนรออยู่ครู่ใหญ่ แต่ก็ไม่มีเสียงใด ๆ ตอบกลับมา
“เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ นั่นแหละ ถ้ามีคนอยู่ก็ต้องมาเปิดประตูต้อนรับแล้วสิ” เขมกรบ่นด้วยความหงุดหงิดเมื่อคิดว่าถูกหลอกแน่แล้ว คิดว่าควรกลับบ้านดีกว่า ป่านนี้พ่อกับแม่และน้องคงจะเป็นห่วงมากแล้ว แต่พอหันหลังจะกลับบ้านกลับมีสะพานเคลื่อนลงมาหา
ใจหนึ่งก็...บอกว่ากลับบ้านเถอะ แต่อีกใจกลับบอกว่า ไหน ๆ ก็มาแล้ว เอาให้มันรู้กันไปเลย จะออกหัวหรือก้อย ต่อไปจะได้ไม่ต้องคิดมากเรื่องนี้อีก เขมกรก็เลยเลือกที่จะก้าวเดินขึ้นสะพานไป
“อา...ครั้งนี้เป็นหนุ่มน้อยหรือนี่...ปรารถนาสิ่งใดนะ”
เขมกรกำลังจะเอ่ยปากบอกในสิ่งที่ต้องการ แต่กลับเปิดปากไม่ได้ มิหนำซ้ำร่างกายก็ยังแข็งทื่อ ขยับเคลื่อนไม่ได้ด้วย จนเขาเริ่มกลัว
“หนุ่มน้อยปรารถนาสิ่งใดกันน่ะ”
เสียงนั้นยังคงดังผ่านความมืดมิดมาอีกครั้ง เขมกรพยายามเพ่งมองว่าเสียงที่ได้ยินดังมาจากทิศทางใด แต่ก็ไม่เห็นอะไร ความเงียบก็ครอบคลุมไปพักใหญ่ ก่อนจุดที่เขายืนจะสว่างจ้าจนแสบตา
“สิ่งที่ปรารถนา...อยากช่วยเหลือครอบครัวสินะ ความต้องการที่น้อยนิดแต่ยิ่งใหญ่ ช่างเป็นเด็กที่กล้าหาญและกตัญญูยิ่งนัก...น่าสนใจ ๆ ”
เขมกรได้แต่ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ในหัวเต็มไปด้วยความสงสัย ทำไมความต้องการที่มันซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึก ที่ยังไม่ทันจะได้เปิดปากพูดด้วยซ้ำ กลับถูกใครก็ไม่รู้ที่ไม่เคยรู้จักและไม่เคยเห็นหน้าด้วยรู้
“รู้ใช่หรือไม่ ของฟรีไม่มีในโลก”
เขมกรพยักหน้ารับ รู้ดีแก่ใจเชียวล่ะ ที่ป่าวประกาศว่าให้ฟรี ๆ นะ ไม่มีจริงหรอก เวลาถูกเรียกเก็บคืน...แทบกระอักออกมาเลือด
“ในเมื่อรู้แล้ว ถ้าเช่นนั้นเจ้ายินยอมที่จะแลกเปลี่ยนไหมล่ะ”
เขมกรขบเม้มปากเข้าหากัน การแลกเปลี่ยนที่ว่า เขาจะทำมันได้หรือเปล่าและมันจะหนักเกินไปสำหรับเด็กอย่างเขาหรือไม่ แล้วผลที่ได้มามันจะคุ้มค่ากันหรือเปล่า
“มิต้องกังวล สิ่งที่ใช้แลกเปลี่ยนมิเกินความสามารถของคนที่ทำการแปลกเปลี่ยน”
“ท่านเป็นใครกันแน่” เขายังไม่ทันจะได้พูดอะไรเลย คนผู้นี้ที่ยังไม่เปิดเผยตัวตนก็ล่วงรู้ความคิดที่อยู่ในหัวแล้ว
“ข้าจะเป็นใคร เจ้ามิต้องใส่ใจหรอก รู้เพียงแค่ว่า สิ่งที่เจ้าต้องการข้าสามารถช่วยได้...ต้องการหรือไม่ล่ะ”
เขมกรจำต้องคิดทบทวนให้ดี เขาจะเชื่อในคำพูดของใครก็ไม่รู้ได้เหรอ
“ข้ามีเวลาให้เจ้าตัดสินใจมินานหรอกนะ มีผู้คนอีกมากมายที่ต้องการโอกาสที่เจ้าได้รับในครั้งนี้”
“ผม...”
“ว่าอย่างไร จะรับโอกาสที่ข้าให้เจ้าหรือไม่”
“ผม...” ในหัวเขาจะว่าว่างเปล่าก็ไม่เชิง ด้วยสิ่งที่คิดอยู่มันไหลไป...ไม่มีหยุดนิ่ง แต่จับสิ่งใดไม่ได้เลย คงได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่อย่างนั้น ในความคิดเวลามันคงจะผ่านไปนานมาก หากความจริงแล้วแค่เวลาผ่านไปเพียงแค่ข้าหายใจเข้าและออกเท่านั้น เมื่อความคิดมันตกตะกอน เขมกรก็คิดได้ว่า...
ในเมื่อมีโอกาสแล้ว ทำไมเขาถึงไม่ยอมเสี่ยงล่ะ เขาก็ไม่มีอะไรที่จะต้องเสียแล้วนี่น่า
ไม่ว่าการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้จะทำให้เขาต้องพบเจอกับเรื่องราวและสิ่งที่ไม่ดียังไง แต่ถ้าแก้ปัญหาเลวร้ายที่ครอบครัวประสบอยู่ ได้ทำให้ครอบครัวมีความสุข สิ่งที่ปรารถนาจริง...มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยงไม่ใช่หรือไง
“ถ้าผมต้องการให้สิ่งที่คิดไว้เป็นความจริง ผมต้องแลกเปลี่ยนกับอะไรบ้างครับ”
“เจ้านี่...ฉลาดและตัดสินใจได้อย่างฉับไวเสียจริง หากข้าจะต้องบอกกับเจ้าก่อน เมื่อเจ้าตัดสินใจทำสัญญาแลกเปลี่ยนกับข้าแล้ว ข้าจะทำให้ความต้องการของเจ้าเป็นจริงภายในสามวันเจ็ดวัน แต่สิ่งที่เจ้าต้องการจะต้องไม่ไปทำร้าย ทำอันตรายผู้ใดจนถึงแก่ชีวิต”
เขมกรพยักหน้ารับ เรื่องนี้ไม่อยู่หัวเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าคนผู้นั้นจะเลวร้ายแค่ไหน แต่มันก็คือหนึ่งชีวิตที่คนผู้นั้นเลือกเส้นทางเดินของเอง คนที่ทำไม่ดีต่อให้มีอำนาจมากมายเพียงใด แต่สุดท้ายแล้วก็หนีผลกรรมจากการกระทำของตนเองไม่พ้น เพียงแต่ผลของกรรมที่จะได้รับนั้นจะมาถึงเร็วหรือช้าเท่านั้นเอง
“เมื่อเริ่มต้นแลกเปลี่ยนแล้ว เจ้ามิอาจกลับคืนคำ มิอาจที่จะยกเลิกมันได้ ทุกอย่างจะเป็นไปตามคำสัญญา!”
ก็ไม่รู้ว่าจะต้องแลกเปลี่ยนกับอะไร ร้ายแรงแค่ไหน มันก็ทำให้วิตกกังวลอยู่เหมือนกัน แต่เพื่อครอบครัว เพื่อคนที่เขารัก...เขมกรก็เลือกที่จะพยักหน้ารับ
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว ถ้าท่านทำให้สิ่งที่ผมต้องการเป็นจริงได้ ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไร ผมก็ยอมทั้งนั้น”
“ข้าอยากได้ยินจากปากเจ้า ปรารถนาให้ข้าสิ่งใดให้”
“ถ้าผมจะขอ...คนพวกนั้นทำร้ายคนอื่นด้วยวิธีการต่าง ๆ มาตลอด ถ้าเป็นไปได้ ในเมื่อคุณบอกว่าเอาชีวิตเขาไม่ได้ ก็ขอให้เขาได้รับกรรมจากสิ่งที่กระทำเร็วหน่อย อย่าง...ถูกตำรวจจับและหมดสิทธิ์จะออกมาสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอีก จะได้ไหมครับ”
ถ้าหากไม่ทำให้คนพวกนั้นถูกจับ หลังจากนี้ก็ยังจะต้องมีอีกหลายครอบครัวที่จะต้องได้รับผลกระทบจากการกระทำของพวกเขา ถึงเขาจะเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันมักจะมีตัวตายตัวแทนเสมอ หมดจากคนกลุ่มนี้ไป ก็ยังมีคนกลุ่มอื่นหวังได้เงินอย่างง่าย ๆ เข้ามาแทน...สิ่งที่ทำก็เพียงแค่ตัดไฟเพียงแค่ต้นลม ไม่ให้ลุกลามไปได้ไกลเท่านั้น แต่มันก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลยไม่ใช่หรือยังไง
“ก็ได้อยู่นะ ต้องขึ้นอยู่กับความปรารถนาของเจ้าหนักแน่นเพียงใด ถ้ามิมากจนเกินไปกว่านี้ ข้าก็พอจะทำให้ได้”
“สิ่งที่ผมปรารถนา...ขอเพียงแค่ให้ครอบครัวอยู่กันอย่างมีความสุข ทุกคนมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง พ่อกับแม่มีงานที่มั่นคงทำ ไม่ต้องร่ำรวยแต่ขอให้มีเงินมีทองพอกินพอใช้ ไม่เป็นหนี้เป็นสินใคร มีเงินเก็บไว้ใช้ยามมีเหตุฉุกเฉินและให้น้องทั้งสองคนเรียนจบอย่างที่คาดหวังนะครับ”
“เจ้าช่างเป็นเด็กที่ดีจริง ๆ เจ้ารู้หรือไม่...สิ่งที่เจ้าปรารถนาจะต้องแลกกับการที่มิมีเจ้าอยู่ในชีวิตของพวกเขา...มิเคยพบพานและรู้จัก ไร้ตัวตน ไร้ความทรงจำโดยสิ้นเชิง”
เสียงที่ดังมาทำให้เขมกรถึงกับตกตะลึง ก่อนความเจ็บปวดจะถาโถมเข้าหา น้ำตามันไหลออกมาอย่างไม่ทันจะรู้ตัว แต่ถึงจะรู้อย่างนี้แล้ว เขาก็ยอม...ยอมที่จะเจ็บปวดเพียงลำพัง เพื่อให้ครอบครัวอยู่ดีมีสุข
เขมกรได้แต่ยิ้มด้วยความเศร้าหมอง