Ep.๑ : คนขี้หึงปากหนัก 1
“เชี่ยเอ๊ย!”
เสียงสบถดังลอดออกมาจากริมฝีปากหนายักได้รูปของ ลวงร้อย ร้อยพันกิโลทาง หรือ ลวง วัย 37 ปี เจ้าของบริษัทผลิตอุปกรณ์กีฬาทุกชนิด บริษัทพันกิโล มือหนาขย้ำหนังสือพิมพ์ในมือจนไม่เป็นรูปทรง เมื่อข่าวหน้าหนึ่งเป็นข่าวของไฮโซสาวนามว่าลักษณาควงคู่กับไฮโซหนุ่มหล่อ หนุ่มหล่อคนนั้นมันเป็นใคร? หน้าอย่างกับปลาไหลชนเขื่อนเนี่ยนะหล่อ?
“ไอ้เชี่ยเอ๊ย! แม่งกูจะโกรธทำเชี่ยอะไรวะ!”
ปากพูดแต่มือยังไม่ยอมคลายกระดาษหนังสือพิมพ์ในมือ ปากหนาขบเม้มเป็นเส้นตรง สันกรามปูดโปนขึ้นนูนเด่นอย่างชัดเจน เสียงฟันกรามกระทบกันดังจนน่ากลัว
กรอด!
“ยัยเด็กบ้า! ทำไมฉันต้องโกรธต้องไม่ชอบได้วะ! ไอ้รักก็ตัวดีไม่รู้จักดูแลน้อง ปล่อยให้ไปกับไอ้หน้าปลาไหลชนเขื่อนอยู่ได้” เพล้ง! แล้วมือใหญ่ที่กำหนังสือพิมพ์ก็ปาหนังสือพิมพ์ใส่แจกันข้างมือจนตกร่วงลงกับพื้น
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“ท่านประธานเป็นอะไรรึเปล่าครับ”
เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังระรัวติดต่อกันเมื่อได้ยินเสียงดังออกจากห้องของประธานหนุ่มของตน
“ไม่ครับ” เขาร้องตอบเลขาฯ หน้าห้องอย่างสุภาพ ต่างจากคำหยาบที่พูดก่อนหน้านี้ เมื่อเสียงเคาะประตูหน้าห้องเงียบไป ลวงร้อยก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดต่อสายหารักษ์ ทำไมปล่อยให้น้องสาวมีข่าวหน้าหนึ่งได้ไม่เว้นวัน รักษ์หวงน้องสาวยังไงถึงได้ปล่อยให้ไปกับไอ้หน้าอ่อนนั่น
“มึงอยู่ไหนไอ้รัก” เสียงห้วนกระแทกกรอกไปในสายทันทีเมื่ออีกคนกดรับ จนปลายสายยกโทรศัพท์ออกห่างหูแทบไม่ทันเมื่อได้ยินเสียงห้วนกระแทกของลวงร้อย
“ทำงานสิวะ”
“ทำงาน แล้วมึงเห็นข่าวรึยัง”
“อือ! แล้วไงไอ้ลวง ก็มันหนังสือพิมพ์กู กูก็ต้องเห็นก่อนมึงอยู่แล้ว” รักษ์ตอนกวนกลับมา
ลวงร้อยขบกรามแน่น กำมืออีกข้างที่ว่างแน่นจนเส้นเลือดปูนโปนขึ้นเป็นเส้นเด่นชัด หายใจแรง ๆ แล้วโต้สวนกลับเพื่อนรักไป ก็ตอนนี้เหลือกันสองคนก็ว่าได้ เพราะมโน เพ้อภพ และฝันดีก็พากันมีครอบครัว พวกนั้นกลัวเมียอย่างกับอะไร จะว่าไปแล้วตั้งแต่แต่งงาน สนใจแต่ดูแลลูกเมียจนไม่ได้ขึ้นมากรุงเทพฯ มาหาเขากับรักษ์ ขนาดมโนอยู่กรุงเทพฯ ด้วยกันยังไม่มีเวลาเลย หายใจเข้าออกก็ตะลิงปลิง เลยเหลือแค่สองพระหน่อลวงร้อยกับรักษ์ต้องพูดคุยปรับทุกข์กัน จำได้ว่าครั้งสุดท้ายอยู่กับคบแก๊งก็ตอนไปรับขวัญหลานลูกของฝันดีและอิงนภา จนตอนนี้ผ่านมาสามเดือนกว่าแล้วยังไม่ได้เจอหน้า จะมีก็แต่เขากับรักษ์ที่เจอกันแทบจะทุกวันศุกร์เย็นที่อ่างอบนวดที่เก่าที่เดิม
“มึงลงแต่ข่าวไร้สาระ”
“ข่าวไหนไร้สาระวะ” รักษ์รู้ว่าเพื่อนหมายถึงข่าวอะไร เขาขยับยิ้มมุมปากใส่โทรศัพท์ ก่อนจะพูดต่ออีก “ใช่ข่าวของฮันนี่กับว่าที่น้องเขยกูรึเปล่าวะ”
“ไอ้เชี่ย! มึงกวนกูเพื่อ?”
“กูกวนมึงที่ไหน กูก็แค่ถาม”
“แค่นี้แหละ กูมีงานด่วน” ว่าแล้วก็กดตัดสายทิ้งทันที ส่วนด้านคนถูกตัดสายทิ้งก็นั่งหัวเราะกับความขี้หึงและปากแข็งของเพื่อน แต่ก็ต้องหุบยิ้มเมื่อนึกถึงใครบางคนขึ้นมา
ลวงร้อยกระแทกโทรศัพท์รุ่นทันสมัยของตัวเองกับโต๊ะทำงานแรง ๆ ก่อนจะใช้โทรศัพท์ของสำนักงานโทร.ออกไปหาเลขาฯ หน้าห้องของตน เพื่อสอบถามว่าตัวเองมีงานอะไรไหมตอนบ่าย ถ้ามีก็รีบ ๆ เอามาให้เขาเคลียร์ เพราะเขาต้องไปจัดการอะไรสักอย่างให้มันจบ เพราะทนดูมานานหลายเดือนแล้วกับภาพบาดตาบาดใจ และเมื่อเลขาฯ บอกว่าไม่มี เขาจึงยิ้มร้ายออกมา ดวงตาฉายแววเด็ดเดี่ยว ก่อนจะพึมพึมกับตัวเอง
“เปลี่ยนเบอร์หนีแล้วไง อยากรู้นักว่าระหว่างพี่กับไอ้หน้าปลาไหลชนเขื่อนนั่นใครมันทำให้เธอร้อนรุ่มกว่ากัน หึหึ”
ขำในช่วงท้ายประโยคก่อนจะเก็บโทรศัพท์ที่กระแทกวางก่อนหน้ามาใส่ในกระเป๋าเสื้อสูทด้านใน และกระเป๋าสตางค์ใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะลุกยืนขึ้นขยับเสื้อสูทราคาแพง แล้วดึงลิ้นชักออกมาหยิบแว่นตากันแดดมาสวมใส่ ก่อนจะหยิบกุญแจรถ เดินมั่นคงออกไปด้วยใบหน้าที่ยากจะคาดเดาความคิดได้