บทที่5. ได้แต่ยิ้มให้ตัวเอง

1512 คำ
หญิงสาวหันไปมองทางโซฟาตัวยาวที่กำลังจะกลายเป็นที่นอนของคนรัก “ตรีจะนอนสบายเหรอ ณัชชานอนไหนก็ได้ ไม่อยากให้ตรีลำบาก” “พูดงั้นได้ไง” มนตรีหัวเราะ “ใครจะปล่อยให้คนรักตัวเองลำบากได้ล่ะ” หญิงสาวยิ้มเขินออกมา เธอใช้ปลายนิ้วดันแว่นตาชิ้นใบหน้าแก้เขิน “ณัชชาไปนอนพักก่อนนะ จะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ได้ ตามสบายเลย ห้องน้ำอยู่ทางนี้” มนตรีแนะนำส่วนต่างๆ ของบ้านแล้วพาเธอเดินขึ้นมาบนชั้นสอง ห้องพักของชายหนุ่มแม้จะไม่ได้เรียบร้อยนักแต่ก็จัดวางข้าวของต่างๆ อย่างเป็นระเบียบ       “เดี๋ยวณัชชาจัดการกระเป๋าแล้วจะลงไปทำอาหารให้นะ” “ทำวันหลังก็ได้” ชายหนุ่มบีบปลายจมูกของหญิงสาวเบาๆ “จะรีบร้อนทำไมกัน แต่ว่าตรีต้องไปธุระข้างนอกก่อน พาณัชชาไปด้วยไม่ได้  อยู่คนเดียวได้นะ” “ไม่ต้องห่วงตรีไปทำธุระเถอะ” “โอเค...อยู่คนเดียวไปก่อนนะ คนอื่นๆ เขาไปเรียนกันหมด ตอนเย็นๆ นั้นแหละถึงจะกลับรังกัน” “ได้จ๊ะ แต่ตกลงณัชชาใช้ครัวได้นะ” “ถ้าอยากทำก็ทำเถอะ เพื่อนตรีไม่ว่าอะไรหรอก” “งั้นเจอกันตอนเย็นนะ” “ครับผม เสร็จธุระแล้วตรีจะรีบกลับบ้านจ๊ะ”            มนตรีแอบหอมแก้มณัชชาเบาๆ แล้วรีบก้าวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวได้แต่ยกมือลูบแก้มตัวเองอย่างเขินอาย  เธอมองตัวเองในกระจกเห็นใบหน้าไร้เครื่องสำอางแดงจัดแล้วก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา แค่หอมแก้มเธอยังหน้าแดงขนาดนี้ ถ้ามากกว่าเธอจะเป็นยังไงนะ หญิงสาวเผลอคิดแล้วก็อายเสียเอง     เธออายุยี่สิบห้าแล้วใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย เธอรู้ตัวว่าตัวเองไม่ใช่ผู้หญิงสวยแต่พรหมจรรย์ที่เก็บรักษาไว้ก็เพื่อชายคนที่เธอรักและจะใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน ไม่เอาละ...เลิกคิดเรื่องนั้นได้แล้ว ณัชชาตบแก้มตัวเองเรียกสติแล้วจัดแจ้งเปิดกระเป๋าหยิบเสื้อผ้าของตัวเองออกมา เธอมีเสื้อผ้าไม่มากนักและมีเสื้อใหม่อยู่สามหรือสี่ชุด ส่วนใหญ่เธอเป็นแฟนคลับตลาดนัดชอบซื้อเสื้อผ้ามือสองแต่เพราะเดินทางไกลเป็นครั้งแรกก็อยากให้คนรักที่ไม่เจอหน้ากันสองปีประทับใจ แต่สุดท้ายเสื้อผ้าที่เธอมีก็จะเป็นสีเดิมคือสีเทาหม่น ชีวิตเด็กที่เติบโตมาในสถานสงเคราะห์อย่างเธอนั้นไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรได้มากนัก ตอนเป็นเด็กเธอตัวผอมสูงดูเก้งก้างและไม่น่ารัก เธอได้แต่ยืนมองเด็กคนอื่นมาคนมาขอรับอุปการะแต่เธอไม่มีใครเหลียวแลสนใจเลย แต่การได้เติบโตในสถานที่แห่งนั้นก็ทำให้เธอเรียนรู้การใช้ชีวิตที่ต้องอดทน เสื้อผ้าบริจาคที่เธอได้รับมักใส่ไม่ได้เพราะเธอตัวสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกันสุดท้ายก็ต้องแก้ปัญหาด้วยการใส่เสื้อผ้าเด็กผู้ชายที่รูปร่างพอๆ กับเธอ          “นอนก็นอนไม่หลับ ทำความสะอาดบ้านก่อนค่อยทำอาหารก็แล้วกัน”            ณัชชาบอกกับตัวเองหลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เธอจัดเก็บข้าวของในห้องของมนตรี ทุกอย่างยังคล้ายกับที่เป็นมา      แต่พอเปิดตู้เสื้อผ้าของเขาก็ได้แต่ตะลึงไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าเขามีรสนิยมแต่งตัวหรูหราตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เมื่อก่อนเขามักจะสวมเสื้อยืดหรือเสื้อโปโลกับกางเกงยีน สิ่งแวดล้อมคงทำให้เขาเปลี่ยนแต่จะว่าไปเขาก็ดูดีกว่าทีเคยเจอ อาจจะเนื้อหอมในหมู่สาวๆ ด้วยซ้ำไป    ณัชชาได้แต่ยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง เธอหยิบอาหารแห้งออกมาจากกระเป๋าและหอบพะรุงพะรังลงไปที่ห้องครัว แล้วถือวิสาสะเปิดตู้เย็นเช็คของสดในครัว “ขอยืมก่อนนะ แล้วจะซื้อมาคืนค่ะ”           ณัชชาเอ่ยบอกกับตู้เย็นแล้วหยิบไก่และเนื้อหมูสดออกมา  จัดเตรียมทำอาหารให้มนตรีอย่างที่ตั้งใจไว้     ในครัวเป็นอย่างที่มนตรีเคยเล่าให้เธอรับรู้ทางเฟซบุ๊ค เขามีหม้อหุงข้าวใบเล็กน่ารัก  ช่วงที่ไม่ค่อยมีสตางค์เขาและเพื่อนผู้ร่วมแชร์ค่าเช่าบ้านก็ช่วยทำอาหารกินกัน เธอจัดการหุงข้าวแล้วเตรียมทำอาหารง่ายๆ   ตั้งใจทำต้มข่าไก่และแกงพะแนงหมู อุตส่าห์หอบเครื่องปรุงจากเมืองไทยมายังไงก็ต้องทำให้เขากินให้ได้ นี่แหละข้อดีของเด็กที่เติบโตในสถานสงเคราะห์ ณัชชายิ้มให้กับตัวเอง  เธอเป็นเด็กที่ไม่มีใครสนใจแต่กระนั้นก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ยิ่งเธออยู่นานมากเท่าไหร่เธอก็รับหน้าที่เป็น ‘พี่คนโต’ มากขึ้นเท่านั้น เธอยังต้องช่วยแม่ครัวทำอาหาร จัดการซ่อมแซมเสื้อผ้าที่ได้รับบริจาคมาให้ทุกคนได้ใส่อย่างพอดีทำความสะอาดที่บ้านพัก เข้าคอร์สฝึกอาชีพ ตลอดจนต้องคอยดูแล ‘เด็กใหม่’ ที่เข้ามาอยู่เสมอๆ แม้ใครต่อใครจะมองว่าเธอมีชะตากรรมที่แสนน่าสงสารแต่สำหรับเธอกลับมองในมุมกลับ  เธอรู้สึกว่าตัวเอง ‘โชคดี’ ที่ยังได้เจออะไรดีๆ ในชีวิต แม้เธอจะไม่ได้เติบโตในครอบครัวที่สมบูรณ์แบบแต่เธอก็เติบโตในสิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่ถูกทำร้ายร่างกายหรือจิตใจเหมือนเด็กบางคนที่เข้ามาสถานสงเคราะห์     สำหรับเธอ...แค่นี้ก็ดีแล้ว ดีที่สุดแล้ว. ณัชชางัวเงียขึ้นจากที่นอน เธอยันกายขึ้นจากที่นอนแล้วมองหานาฬิกาในห้องแต่เพราะสายตาสั้นทำให้เธอต้องควานหาแว่นตาที่วางไว้ที่หัวเตียง เธอหยิบแว่นตาของตนมาสวมภาพก็ปรากฏชัดจนเธออดยิ้มออกมาไม่ได้ เธอโน้มตัวลงข้างเตียงแล้วมองเสี้ยวหน้าที่ยังหลับใหล เขาคงนอนไม่ค่อยสบายนักหรอกที่ต้องนอนพื้นแข็งกระด้างข้างเตียงนุ่มที่เธอนอนอยู่     เมื่อวานเขากลับมาเกือบหนึ่งทุ่ม เธออยู่กับเพื่อนของมนตรีที่จิตใจดีและทานอาหารไทยที่เธอทำ ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ตกใจที่เห็นเธออยู่ในบ้าน เธอเป็นคนคุยไม่เก่งแต่พอได้คุยกับเพื่อนของคนรักก็ทำให้รู้ว่าเขาบอกก่อนแล้วว่าเธอจะมา เขากลับมาด้วยท่าทางเหนื่อยๆ แต่ก็ยังยิ้มให้และทานอาหารที่เธอทำถึงสองจาน “อร่อยจริงๆ เลย ถ้าอยู่ด้วยกันตรีต้องอ้วนจนลงพุ่งแน่ๆ” “ตรีก็พูดเกินไป”  เธอหัวเราะเขินๆ  เพื่อนปล่อยให้เธอกับเขาอยู่ตามลำพัง พอมนตรีรู้ว่าตั้งแต่เข้าบ้านมาเธอยังไม่ได้หลับพักผ่อน เขาก็ไล่ให้เธอรีบเข้านอนแต่ระหว่างนั้นเขากลัวเธอจะนอนไม่หลับเพราะแปลกที่ก็เลยนั่งอยู่ข้างเตียงเป็นเพื่อนเธอ   คล้ายว่าจะมีเรื่องให้คุยไม่รู้จบ เขาขอหมอนไปหนุนหลังแล้วคุยกับเธอ ไปๆ มาๆ เขาก็เผลอหลับไปก่อน เธอเองก็ไม่คิดจะให้เขาไปนอนขดบนโซฟาที่ห้องรับแขก จึงไม่ได้เรียกให้เขาตื่น เธอมองเขาและคิดถึงเรื่องราวของ ‘เรา’ เมื่อเขาเรียนจบและกลับไปใช้ชีวิตที่เมืองไทย เธอจะขยันทำงานเพิ่มขึ้นอีกนิดเผื่อว่าเราจะอยู่ด้วยกัน อพาร์เม้นท์ที่เธออยู่ก็เก่าและคับแคบ เธออยากดูบ้านหลังเล็กๆ สักหลังเช่าอยู่กันไป แต่ถ้าได้บ้านเช่าจริงๆ เธอก็อยากปลูกดอกไม้และพืชผักไว้รอบๆ บ้าน และถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากเลี้ยงแมวสักตัว เอ...หรือสองตัวดีนะ “ณัชตื่นแล้วเหรอ” ชายหนุ่มหรี่ตามองแล้วยิ้มให้นิดๆ แต่พลิกตัวทำท่าจะนอนต่อ “จะรีบตื่นไปไหนเหรอ” “ก็ปกติณัชตื่นเช้าอยู่แล้ว” หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงนอน “เดี๋ยวณัชไปเตรียมมื้อเช้าให้นะ” “เอาอะไรง่ายๆ ก็ได้นะ ผมเกรงใจ” ณัชชาหัวเราะน้อยๆ “เกรงใจทำไมละ แค่เห็นตรีทานข้าวได้เยอะ ณัชก็มีความสุขแล้วล่ะ” “ถ้างั้นก็ตามใจณัชละกัน ตรีขออีกครึ่งชั่วโมงแล้วกัน” หญิงสาวพยักหน้าแล้วแล้วมองหยิบเสื้อผ้าเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว เธอใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ออกมาในชุดเสื้อยืดตัวหลวมลายกระต่ายน่ารักกับกางเกงขาสามส่วนดูเชยๆ แต่ใส่สบายในแบบที่เธอชอบ ผมยาวถูกรวบไว้อย่างง่ายๆ ด้วยดินสอ เธอเดินเข้ามาในครัวและทักทายเพื่อนของมนตรีที่กำลังอ่านหนังเล่มหนาอยู่ในครัว  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม