ช่วงเดือนมีนาคมในอิตาลี่เป็นช่วงเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิอากาศค่อนข้างอบอุ่นทำให้หญิงสาวชาวไทยรู้สึกสบายใจไปเปราะหนึ่ง ณัชชาค่อนข้างมีปัญหากับอากาศหนาวเย็น เธอมีโรคภูมิแพ้อากาศเป็นโรคประจำตัวแม้จะไม่หนักหนาถึงขนาดต้องกินยาประจำทุกวัน แต่ถ้าวันไหนมีอาการแพ้ขึ้นมาก็ลำบากอยู่ไม่น้อยสิบสองชั่วโมงกับการเดินทางจากกรุงเทพฯ มาโรมเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย มันเป็นการเดินทางไกลที่สุดที่เคยเดินทางมา และเป็นการใช้เงินมากที่สุดเลยก็ว่า เงินเก็บจากการทำงานหลายปี เสื้อผ้าที่แทบไม่เคยซื้อใหม่รวมทั้งของใช้ไร้สาระอื่นๆ แม้กระทั้งโทรศัพท์มือถือของเธอยังเป็นรุ่นเก่าที่มีความสามารถแค่รับสายและโทรออกเท่านั้น
ณัชชามองเงาตัวเองในกระจกบานใส ระหว่างที่ยืนรอใครบางคนมารับที่สนามบิน สองปีที่จากกันมีการติดต่อกันเพียงทางอีเมล์หรือเฟซบุ๊ค นานๆ ครั้งในโอกาสพิเศษจึงจะโทรศัพท์ทางไกลหากันแต่รวมเวลาที่รู้จักกันมันก็ราวๆสี่ปีแล้ว ‘มนตรี’ เป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่เธอเปิดใจเธอ เธอพบเขาที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ตอนนั้นเธอเพิ่งเริ่มทำงานเป็นบรรณารักษ์ได้ไม่กี่เดือน ส่วนเขามาทำรายงานส่งอาจารย์ เธอเรียนด้วยและทำงานไปด้วยจึงไม่ค่อยมีใครรู้ว่าอายุแค่ยี่สิบเอ็ดเท่านั้น บางคนเรียกพี่ หลายคนเรียกน้า บางคนก็เรียกป้า แต่จะเรียกเธอว่าอะไรก็ตามณัชชาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
“ผมว่าเรารุ่นเดียวกันนะ”
“คะ” ณัชชาเงยหน้าจากกองหนังสือตรงหน้า เธอสบตากับผู้ชายตัวผอมบางที่ยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง
“ผมหมายถึงคุณกับผมนะเราคงรุ่นเดียวกัน ผมชื่อมนตรี”
“เอ่อ...ฉัน ณัชชาค่ะ” เธอแนะนำตัวเองอย่างงุนงงเพราะไม่เคยมีใครทักทายเธอแบบนี้มาก่อน
“เรียกผมว่าตรีเฉยๆ ก็ได้” ชายหนุ่มยิ้มทะเล้นแล้วยื่นหนังสือที่ต้องการยืมส่งให้เธอ “แล้วคุณล่ะ ชื่อเล่นอะไร”
“ก็...ณัชชาค่ะ” หญิงสาวดันแว่นตากรอบหนาชิดใบหน้า “ชื่อฉันสั้นอยู่แล้วก็เลยไม่มีชื่อเล่นค่ะ”
“โอเค...งั้นผมเรียกคุณว่าณัช คุณก็เรียกผมว่าตรี ตกลงตามนี้นะ”
“ค่ะ” ณัชชายังทำหน้างงๆ กับเขา สีหน้าของเธอทำให้เขาหัวเราะออกมา
“ผมต้องกำลังหาข้อมูลเขียนบทความชิงทุนไปเรียนซัมเมอร์ที่อิตาลี ช่วงนี้เราคงต้องเจอกันบ่อย เพราะฉะนั้นผมอยากจะทำความคุ้นเคยกับคนที่รู้จักหนังสือทุกเล่มในห้องสมุดนะ”
“ฉันไม่รู้จักหนังสือทุกเล่มหรอกค่ะ” เธอหยิบหนังสือที่ส่งมาคีย์ข้อมูลเพื่อทำการบันทึกการยืม “ถ้าคุณต้องการอะไรก็สอบถามได้ ฉันจะช่วยค้นให้ค่ะ”
“นั้นแหละครับที่ผมต้องการ” เขายิ้มแล้วหยิบอะไรบางอย่างยื่นให้ “แทนคำขอบคุณครับ”
ณัชชามองช็อกโกแล็ตแท่งเล็กที่เขาวางไว้ให้ชายหนุ่มหยิบหนังสือที่ต้องการและส่งยิ้มทะเล้นก่อนที่จะเดินจากไป หญิงสาวได้แต่มองอย่างงุนงงและตั้งแต่นั้นเขาก็มาทักทายเธอสม่ำเสมอ ขนมถุงเล็กๆ และรอยยิ้มตลอดจนเสียงหัวเราะชวนเธอคุยสารพัด เธอไม่รู้ว่านานเท่าไหร่จนเขามาคอยรอรับเธอกลับบ้าน ชีวิตที่เคยเรียบๆ ไร้สีสันกลับเปลี่ยนไป นานเท่าไหร่ไม่รู้จนกลายเป็นความชินที่คุ้นเคย ในวันหยุดงานของเธอเขาจะมารับไปทานข้าว เดินเล่นในพิพิธภัณฑ์ เธอมักเป็นฝ่ายรับฟังเรื่องราวของเขาเสมอ จนรู้ว่าเขาเองก็มีบางส่วนที่คล้ายๆ กัน ครอบครัวชนชั้นกลางแต่ไม่ถึงกับลำบากอะไรนัก เขากำลังหาทุนเรียนต่อเมืองนอกเพราะอยากก้าวหน้าและทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจ
“ทำไมถึงเป็นอิตาลีล่ะ” ณัชชาเอ่ยถามในเย็นวันหนึ่งที่เขาเดินมาส่งเธอที่ป้ายรถเมล์เพื่อกลับที่พัก
“เขามีทุนให้เรียนเยอะนะ จะว่าไปค่าเล่าเรียนที่นี่ก็ถูกกว่าประเทศอื่น คือนักเรียนต่างชาติก็เรียนได้ในค่าเรียนปกติเท่ากับนักเรียนในประเทศเขาด้วย”
“แต่ค่าใช้จ่ายก็คงเยอะอยู่นะ”
“ณัช” เขาดึงมือเธอมาบีบไว้แน่นและจ้องตาด้วยแววตามุ่งมั่น “คนเราถ้ามีความฝันแล้วจะกลับอะไรกับอุปสรรคล่ะ”
หญิงสาวรู้สึกอึ้งกับประโยคที่ได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมา “ก็ได้ค่ะตรี ถ้ามันเป็นความฝันของตรี ฌัชชาก็จะช่วยเต็มที่”
“ขอบใจมากณัช” เขาดึงเธอมากอดเบาๆ “ดีใจจริงๆ ที่ได้ยินแบบนี้ รอผมกลับมานะ แล้วเราจะได้อยู่ด้วยกัน”
“จ๊ะ ณัชจะรอตรีนะ”
ตลอดสี่ปีที่คบหากันมา เธอคอยช่วยเหลือทั้งการเงินและการเรียนของเขาเสมอไม่ว่าจะเป็นรายงานส่งอาจารย์ มนตรีเช่าอาร์พาทเม้นท์อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยทำให้เธอได้แวะเข้าไปช่วยทำความสะอาดห้องพักตลอดจนซักเสื้อผ้าจะรีดแขวนไว้ให้เขาเสมอ แม้จะมีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสองในห้องที่เป็นส่วนตัวแต่มนตรีก็ไม่เคยล่วงเกินเธอมากไปกว่าจับมือหรือโอบกอดในบางครั้ง สิ่งนี้ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอรักและเชื่อใจเขา แม้ว่าสองปีหลังที่เขามาอยู่ที่อิตาลีแล้วเธอกับเขาก็ยังติดต่อกันอยู่ แม้ว่าจะเป็น ‘รักทางไกล’ แต่ใจเธอก็ไม่หวั่นเธอเชื่อมั่นว่าเขาเองก็ซื่อตรงกับคำสัญญาของเธอเหมือนกัน
“บอนโจร์โน (สวัสดี)”
ณัชชาสะดุ้งกับสัมผัสเบาๆ ที่ไหล่ เมื่อเธอหันกลับไปก็ได้แต่ยืนมองอย่างตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
“มนตรี”
“คิดถึงจังเลย ณัชชาของตรี” ชายหนุ่มในชุดไปรเวทหรูหรา เขาดึงร่างที่ยืนนิ่งงันเข้ามากอดแนบแน่นแล้วกระซิบเบาๆ “คิดถึงตรีบ้างไหม”
“ปล่อยก่อนค่ะ” ณัชชาเคอะเขินจึงผลักเขาออกเบาๆ “ณัชอายคนอื่นค่ะ”
“อายอะไรกัน คนที่นี่เขาก็ทำกันแบบนี้แหละ” มนตรีหัวเราะทะเล้นแล้วมองกระเป๋าใบใหญ่ของหญิงสาว “ขนอะไรมาเยอะเชียว”
“ของฝากสำหรับตรีนั้นแหละ เห็นบ่นว่าคิดถึงอาหารไทย” ณัชชาเริ่มคุ้นกับถ้อยคำหยอกล้อของเขา ไม่ได้เจอกันสองปีได้คุยกันแค่ทางเมล์หรือเฟซบุ๊ค แม้เขาจะส่งรูปให้ดูบ่อยๆ แต่เธอกลับรู้สึกว่ามนตรีที่ยืนตรงหน้าไม่เหมือนมนตรีที่เธอเคยรู้จัก เขาดูแต่งตัวเก่งและท่าทางเจ้าชู้ชอบกล
“ว้าว...ลาภปากของตรีเลย เรารีบเข้าบ้านก่อนดีกว่าณัชชาจะได้พักผ่อนด้วย นั่งเครื่องมาตั้งสิบสองชั่วโมงเมื่อยแย่เลย”
“ค่ะ”
ณัชชารับคำง่ายๆ มนตรีช่วยลากกระเป๋าเดินทางให้และเดินนำออกมาจากสนามบินตรงไปเรียกแท็กซี่ ระหว่างทางหญิงสาวมองออกไปด้านนอก ถนนหนทางที่แปลกตา ผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ สีสันของเสื้อผ้ากับสถาปัตยกรรมต่างๆ แม้ว่าเธอจะศึกษาข้อมูลจากอินเตอร์เนทมามากแต่พอได้เจอของจริงกลับรู้สึกว่ามันสวยงามกว่าที่คิด และเมื่อเธอเหลือบมองซีกหน้าของชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ ก็รู้สึกราวกับว่านี่เป็นความฝัน ความเหนื่อยยากลำบากที่ทำงานหนักและเก็บหอมรอมริบเงินทุกบาททุกสตางค์มาใช้ที่นี่ก็มลายหายไปหมดสิ้น เธอมีเวลาอยู่อิตาลีแค่ห้าวันเท่านั้น วีซ่าของเธออยู่ในประเทศนี้ได้แค่นั้นรวมทั้งเงินที่มีอย่างจำกัด แต่เธอจะใช้ทุกนาทีให้คุ้มค่ากับการอคอยที่แสนยาวนาน ณัชชามาถึงบ้านหลังเล็กตามที่มนตรีเคยเล่าให้ฟังว่าเขาเช่าบ้านอยู่ร่วมกับเพื่อนๆ อีกสี่คนทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าอยู่อาร์พาทเม้นต์คนเดียว
“ณัชชาพักห้องตรีนะ เดี๋ยวตอนนอนตรีจะมานอนที่โซฟาห้องรับแขกเอง”