“แล้วนายมาทำธุระอะไรที่นี่” อันโตนิโอเปลี่ยนเรื่องแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปที่หน้าต่างมองไปด้านล่างเป็นสวนหย่อมขนาดเล็ก ลูกชายของเขากำลังนั่งวาดรูปอยู่ใต้ต้นไม้โดยมีบอร์ดี้การ์ดของเขายืนประกบอยู่ใกล้ๆ
“อ้าว! นี่บ้านฉันเหมือนกันนะ” ฟรานเซสโก้ขึ้นเสียงสูงราวไม่พอใจ
“ทุกตารางนิ้วมันก็ของนายกับราฟาเอลนั้นแหละ” เขาพูดแบบไม่ซีเรียสนัก “ปกติไม่เคยห่างเมียเลยนี่ก็อดถามไม่ได้”
“ห่างเมียไม่ได้แต่ไม่ใช่คนกลัวเมียนะครับ” ฟรานเซสโก้หัวเราะตามประสาคนหนุ่มเคยเป็นเพลย์บอยมาก่อน แต่เพราะเขาได้เจอรักแท้จึงทำให้เขาถอดเขี้ยวเล็บออกเป็นคนรักครอบครัว
“อย่านอกเรื่องนักเลยน่า” อันโตนิโอหัวเราะในลำคอ “พ่อโทรตามใช่ไหม คงคิดถึงหลานละซิ”
ฟรานซิโก้พยักหน้ารับ “มาประชุมผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วย แต่คงไม่นอนที่บ้านหรอก รำคาญพ่อชอบจับผิด”
“เป็นพ่อคนแล้วก็น่าจะเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อนะ”
ฟรานเซสโก้ไหวไหล่น้อยๆ “ผมรู้แค่ว่าผมจะไม่เหมือนพ่อ จะไม่ให้เขาต้องเจออะไรเหมือนเรา”
“ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว” อันโตนิโอพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เขาอยู่ในฐานะลูกชายคนโตของชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นมาเฟียแห่งอิตาลี่ เขาต้องเข้มแข็งและแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจพอที่จะสู้กับคนมากหน้าหลายตา จริงๆ น้องชายสองคนของเขายังไม่เจออะไรหนักหนาเท่าที่เขาเคยเจอ ถึงแม้ว่าพ่อจะไม่เคยเอ่ยปากสั่งให้เขาไปทำอะไรต่อมิอะไร แต่บางเรื่องเขาก็รู้ดีว่าเขาต้องฝึกฝนเพื่อเป็นมือขวาของพ่อ เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ท่านได้ชุบเลี้ยงเขาเป็นผู้เป็นคนในทุกวันนี้
“อย่าลืมว่าพ่อเราก็เปลี่ยนไปมาก ท่านไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่าไปกว่ามีลูกๆ อยู่ใกล้ๆ”
“แต่ตอนนี้พ่อก็มีพี่อยู่ไง” ฟรานเซสโก้ลุกขึ้นยืนแล้วแตะไหล่พี่ชาย “พ่อเป็นห่วงพี่มากนะ”
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอก”
“เป็นซิ ใครๆ ก็ดูออก” ฟรานเซสโก้ถอนหายใจหนักๆ ในความหัวรั้นของพี่ชาย “พี่ควรมีครอบครัวดีๆ มีคนรักดีๆ มีชีวิตดีๆ”
อันโตนิโอยิ้มเศร้า “ฉันมีสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตอยู่แล้ว”
ฟรานเซสโก้ได้แต่พยักหน้ารับอย่างเหนื่อยหน่าย “ผมพาลูกกับเมียไปนอกเมืองนะ เปลี่ยนบรรยากาศหน่อยแต่ยังไงงานเลี้ยงของบริษัทผมจะกลับมา”
“ตกลงมาทำงานหรือมาฮันนีมูนรอบสองวะ”
ฟรานเซสโก้หัวเราะออกมาแล้วตบไหล่พี่ชายเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปอันโตนิโอมองแฟ้มสมัครงานที่กองอยู่ตรงหน้าแล้วก็ปวดหัวขึ้นมา เขาต่อโทรศัพท์ภายในเรียกคนสนิทเข้ามาในห้องทำงาน
“เปาโลเอาไอ้พวกนี้ไปทิ้งในถังขยะให้ทีซิ”
“หมายถึงแฟ้มสมัครงานนี้นะเหรอครับ” เปาโลมองไปที่ปลายนิ้วที่เจ้านายชี้
“ก็นั้นแหละ ใช้ไม่ได้สักคน” อันโตนิโอบ่นอย่างหัวเสีย
เปาโลเก็บรวบรวมเอกสารแล้วแอบมองบรรดาสาวๆ ในภาพที่แนบแฟ้มมาแล้วก็อดเสียดายไม่ได้ แต่ละคนสวยๆ ทั้งนั้น “ไม่ถูกใจสักคนเลยหรือครับ”
อันโตนิโมมองบอร์ดี้การ์ดด้วยสายตาตำหนิ “ฉันหาพี่เลี้ยงให้ลูกชายไม่ได้หาคู่ขามานอนด้วย!”
“ครับๆ ผมขอโทษครับท่าน” เปาโลรีบกุลีกุจอเก็บแฟ้มไปทิ้งที่ถังขยะมุมห้องแล้วเขาก็นึกถึงเรื่องราวเมื่อสามวันก่อนได้ “เอ่อ...ท่านครับ เมื่อสามวันก่อนที่ผมพาคุณอลองโซเข้าเมืองไปพบคุณหมอเบียงก้าแล้วคุณอลองโซแอบหนีไปซื้อไอศกรีมนะครับ”
“ยังจะกล้าพูดเรื่องนี้อีกเหรอ”
อันโตนิโอเอ่ยอย่างหัวเสีย วันนั้นเขาติดประชุมงานที่บริษัทเลยให้เปาโลพาลูกชายไปพบคุณหมอเบียงก้า แต่เปาโลกลับผลัดหลงกับอลองโซ แม้จะไม่กี่นาทีแต่เมื่อเขาได้รับทราบก็โมโหไม่ได้แค่เดินตามเด็กสิบขวบก็ยังผลัดหลงกันได้ แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่อลองโซมักจะชอบแอบไปไหนต่อไหนคนเดียวแม้จะไม่ไกลนักเขาก็ไม่พอใจ เขาเป็นคนที่มีศัตรูทางการค้าไม่น้อยยังไงก็ต้องระวังเรื่องการลักพาตัวให้มากที่สุด แต่เขายอมรับว่าเปาโลเป็นคนซื่อสัตย์คนหนึ่ง เปาโลไม่จำเป็นต้องมารายงานเขาก็ได้ แต่เปาโลก็รายงานทุกเรื่องทำให้เขาไว้ใจเปาโลให้คอยดูแลลูกชายของเขา
“มีอะไรก็ว่ามา”
“คุณอลองโซเดินชนผู้หญิงคนหนึ่งครับ น่าจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย”
“แล้วยังไง” เขาถามอย่างหงุดหงิด
“คุณอลองโซยิ้มให้ผู้หญิงคนนั้นครับ”
“อะไรนะ!” อันโตนิโอถามอย่างไม่เชื่อหู “อลองโซยิ้ม! ยิ้มให้คนแปลกหน้านะเรอะ!”
“ใช่ครับ”
“แล้วมาบอกอะไรตอนนี้!”
“ตอนนั้นผมกังวลเรื่องความปลอดภัยของคุณอลองโซมากกว่า ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลยครับ”
อันโตนิโอได้แต่ถอนหายใจหนักๆ ใครกันที่ทำให้ลูกชายของเขายิ้มได้ หลังจากอุบัติรถคว่ำครั้งนั้น เขาสูญเสียภรรยาของเขาไป แม้ลูกชายจะรอดพ้นจากอาการโคม่าแต่เขากลับกลายเป็นคนไม่พูด ไม่คุยกับใคร ไม่ร่าเริง ได้แต่เก็บตัวเงียบ แม้กระทั้งคนเป็นพ่ออย่างเขาลูกยังไม่ยอมพูดหรือยิ้มให้เลย
“ช่างเถอะ” อันโตนิโอพูดอย่างปลงๆ “แต่ถ้าเจออีกเมื่อไหร่ นายรู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”
“ครับท่าน”
“สั่งคนเตรียมรถ ฉันมีนัดกับอแมนด้า”
“ครับท่าน”
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องบางใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเดินออกมาที่หน้าบ้าน เขายิ้มอย่างไม่รู้ตัวเมื่อมองไปที่ลูกชายของเขา อันโตนิโอเดินไปหาลูกชายที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้าข้างตัวมีสีไม้หลายสีและสมุดวาดภาพ อลองโซขยับตัวนอนเหยียดยาวไปที่พื้นหญ้าสีเขียวอ่อนนุ่ม เขากำลังตั้งหน้าตั้งตาวาดรูปน้ำพุที่อยู่กลางสวน
“จิตกรน้อยของพ่อ” อันโตนิโอลูบผมนุ่มของลูกชายเบาๆ “พ่อจองรูปนี้ใส่กรอบในห้องทำงานของพ่อนะ”
อลองโซเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อเล็กน้อยแล้วพยักหน้าช้าๆ แล้วก็หันไปสนใจสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่
“พ่อออกไปธุระเรื่องงานก่อนนะลูก อยู่บ้านกินข้าวเย็นกับคุณปู่นะครับ แล้วพ่อจะรีบกลับบ้าน”
เด็กชายเงยหน้ามองอีกครั้งแล้วพยักหน้ารับเป็นเชิงรับรู้ สามปีที่ผ่านมานี่คือการโต้ตอบสนทนากันระหว่างเขากับลูกชายวัยสิบขวบ อันโตนิโอปวดร้าวในอกที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรลูกได้เลย เขาจูบหน้าผากลูกชายเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืนเดินไปที่รถเก๋งคันหรูที่จอดรอเขาอยู่นานแล้ว
“ไม่เป็นไร วันนี้ฉันขับรถเอง”
อันโตนิโอขับรถออกจากคฤหาสน์เก่าแก่แสนสวยที่มีประวัติยาวนาน โดยเฉพาะการแต่งบ้านสไตล์อิตาเลียนนั้น ส่วนใหญ่จะเน้นความโอ่อ่า หรูหรา อลังการเป็นองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเรือน และของตกแต่งอื่นๆ ที่เข้าชุดกัน แต่ส่วนตัวเขาชอบบ้านสไตล์ทัศคานีมากกว่า เขามีบ้านหลังเล็กอยู่บนเกาะส่วนตัวเวลาที่ต้องการความเป็นส่วนตัวเขาจะสิงสถิตอยู่ที่นั่นและบางครั้งเขาก็พาลูกชายไปด้วย
ชายหนุ่มใช้เวลาประมาณสี่สิบนาทีก็มาถึงคอนโดของอแมนด้า เซเลบสาวสุดเซ็กซี่ที่ใครๆ ก็รู้จัก เธอเป็นเจ้าแม่ในวงการนิตยสารแฟชั่น เขาพบกับเธอเพราะธุรกิจของเขา นิสัยง่ายๆ สบายๆ ของอแมนด้าทำให้เขาคบกับเธอได้นานกว่าผู้หญิงคนอื่น แต่ก็ไม่ใช่การคบหาในฐานะของคนรัก มันเป็นเพียงการตอบสนองความต้องการของกันและกันเท่านั้น
“คุณมาตรงเวลาเสมอเลยนะคะ” อแมนด้าทักทายพร้อมโปรยยิ้มหวาน