“ผมเป็นคนรักษาเวลา” เขายิ้มให้พลางปลอกระดุมที่ข้อมือ “คุณจะให้ผมดูแผนงานอะไรเหรอ”
“ถ้าไม่ใช่เรื่องงานคุณจะไม่มาหาฉันรึคะ” เธอหัวเราะระรื่นแล้วเบี่ยงตัวให้ชายหนุ่มเข้ามาในห้อง “ฉันกำลังชิมไวน์ที่จะใช้ในงานเลี้ยงอยู่ค่ะ”
อันโตนิโอพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ อีกห้าวันก็จะมีงานเลี้ยงประจำปีเป็นงานเลี้ยงของบริษัทเพื่อขอบคุณสื่อมวลชนและลูกค้าและเป็นปีที่สองที่อแมนด้าเป็นคนดูแลออกแบบคอนเซปของงานทั้งหมด
“คุณคงชิมหลายแก้วแล้วซิ” เขาหลิวตามองหญิงสาวผมสีแดงสวย เธออยู่ในชุดนอนบางเบาสีดำเซ็กซี่ขับผิวขาวให้เย้ายวน
“ฉันต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้คุณซิคะ”
อแมนด้าแลบลิ้นสีชมพูเลียริมฝีปากตัวเองแล้วยื่นมือไปลูบไล้แผ่นอกของชายหนุ่มตรงหน้า เขาเป็นหนุ่มใหญ่วัยสามสิบเก้าที่มีพลังอย่างล้นเหลือ เรือนร่างของเขาช่างเหมือนรูปสลักปูนปั้นที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามชวนหลงใหล เพียงแค่คิดถึงเขาร่างกายของเธอก็เร่าร้อนและพร้อมจะหลอมละลายในทันที เธอเองก็ไม่ใช่เด็กสาวไร้เดียงสา อายุเธอก็สามสิบแล้วแต่เขาเป็นผู้ชายที่สามารถปรนเปรอให้เธออิ่มรักได้มากที่สุด มือเรียวผลักเสื้อสูทออกแล้วตามด้วยการปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต เขายืนนิ่งปล่อยให้เธอปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกอย่างง่ายดาย อแมนด้าผลักให้เขานั่งลงบนโซฟาแล้วพาร่างอิ่มเอิมนั่งคร่อมตักของเขา “คุณจะไม่ให้ผมดูแผนงานที่คุณบอกว่าปรับแก้หรอกหรือ” เขาถามน้ำเสียงราบเรียบแต่เลื่อนมือสอดเข้าไปใต้เสื้อคลุม ภายในชุดนอนแสนเซ็กซี่มันคือเรือนร่างที่ไร้อาภรณ์ใดๆ มือใหญ่ของเขาประคองทรวงอกที่ใหญ่ล้นมือ บีบเคล้นเป็นจังหวะอย่างคนที่เชียวชาญจนริมฝีปากสวยเผยอส่งเสียงครางอย่างไม่รู้ตัว
“นี่ไงคะ งานของฉัน ทำให้คุณมีความสุขที่สุด”
อแมนด้าเลื่อนมือลงแล้วรูดซิปกางเกงของเขาให้เสาหินอ่อนผงาดออกมา มือนุ่มประคองสิ่งนั้นไว้ในมือแล้วมองหน้าอีกฝ่ายที่มีสีหน้าผ่อนคลายลง เขามักมีสีหน้าเคร่งเครียดเสมอ แต่กระนั้นก็เป็นใบหน้าที่แสนจะหล่อเหลากว่าดาราฮอลีวูดด้วยซ้ำ หญิงสาวเลื่อนตัวลงใช้ปลายลิ้นปรนเปรอมอบความสุขให้เขา เสาหินของเขาช่างอลังการนักแม้ว่าเธอเธอเป็นฝ่ายดูดกลืนเขาแต่ร่างกายเธอก็ร้อนเร่าตื่นเต้นไปด้วยความต้องการ เธอเหมือนไม่เคยอิ่มกับเรื่องแบบนี้ โดยเฉพาะกับเขาที่เท่าไหร่ก็ไม่พอ เธออยากจะต้อนเขาให้จนมุมก่อนแต่เธอกลับเป็นฝ่ายที่ต้องการอย่างท่วมท้น หญิงสาวหยิบถุงยางมาสวมให้เขาอย่างชำนาญแล้วเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมนั่งบนตักเขา และอย่างรวดเร็วที่เขาส่งแก่นกายที่แข็งแกร่งแทรกผ่านกลีบดอกไม้อ่อนบาง หญิงสาวก็สะดุ้งเฮือกจนผวากอดเขาแน่น ชายหนุ่มใช้ปลายลิ้นตวัดเลียที่ยอดทรวงอกขบเม้มอย่างรู้ความต้องการอีกฝ่าย อแมนด้าขยับสะโพกเข้าใส่อย่างรวดเร็วและรุนแรงยิ่งเสาหินของเขาแทรกเข้าไปลึกล้ำมากเท่าไหร่ เธอก็เพิ่มความเร็วของการกระแทกสะโพกของตัวเองมากเท่านั้น หญิงสาวครางเสียงดังอย่างไม่อาจห้ามใจได้ เธอรู้ตัวว่ากำลังจะถึงจุดหมายปลายทางและเหมือนอีกฝ่ายจะรู้
อันโตนิโอไม่ยอมให้อแมนด้าได้ถึงปลายทางง่ายนัก เขายกตัวเธอขึ้นจากตักอย่างง่ายดายแล้วจับสะโพกของเธอดันไปชินพนักโซฟา อแมนด้ารู้ดีว่าจะได้รับสิ่งใดเธอมองตัวเองในกระจกเงาตรงหน้า มันยิ่งเร้าใจเธอมากขึ้นไปอีก
“คุณสวยจัง” อแมนด้าพูดเสียงแหบพร่าเมื่อเขาสอดใส่จากด้านหลัง มันอัดแน่นจนเธอครางไม่หยุดปาก
“สวยนี่ใช่กับผมได้เหรอ” เขากระแทกหนักๆ ได้จังหวะหนักหน่วงแม้จะมีผู้หญิงมาเสนอตัวให้เขาแทบไม่ซ้ำหน้าแต่เขาไม่ชอบมีอะไรกับใครไปทั่ว อแมนด้าเป็นผู้หญิงที่รู้จักวางตัวในสังคมได้ดีความสัมพันธ์ของเขาและเธอแม้จะไม่ได้ปิดบังใครแต่ก็ไม่ได้แสดงความเป็นเจ้าของใคร
เขาเองก็รู้ว่าผู้หญิงร้อนรักอย่างอแมนด้าไม่ได้มีเขาเพียงคนเดียว แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เพราะเขาเองก็ไม่ต้องการจะผูกมัดกับเธอหรือผู้หญิงคนไหน
“คุณสวยเหมือนภาพศิลปะ” อแมนด้าหอบเสียงกระเส่าสองมือเลื่อนขึ้นบีบเคล้นหน้าอกตัวเองที่แข็งเป็นไต “ดูซิ! คุณเหมือนรูปปั้นเทพเจ้ากรีกโบราณและฉันกำลังเป็นเครื่องสังเวยแด่เทพเจ้า”
“หึ” อันโตนิโอทำเสียงในลำคอเหมือนจะหัวเราะแต่ก็ไม่ส่งเสียง เขากระแทกกระทั้นเธออีกหลายทีก่อนที่จะปล่อยให้หญิงสาวหวีดร้องสุดเสียงและร่างอิ่มทรุดลง เขาประคองเธอให้นอนบนโซฟาแล้วเกลี่ยเส้นผมบนใบหน้าเธอ
“ได้เวลาคุยงานกันจริงๆ เสียที” เขาทำเสียงในลำคอแล้วเดินตัวเปล่าไปยกรินไวน์ใส่แก้วแล้วดมกลิ่นก่อนจะยกดื่ม เขาเหลือบมองไปทางหญิงสาวที่ยังคงหอบหายใจแรงบนโซฟาแล้วส่ายหน้าไปมา
“ท่าทางไวน์ยี่ห้อนี้จะอ่อนไปนะ เอาดีกรีแรงกว่านี้ดีกว่าไหม”.
....
ณัชชานั่งจิบน้ำชาเงียบๆ บนโต๊ะตรงหน้ามีถุงผ้าสีฟ้าอ่อนข้างในบรรจุขนมและของฝากจากเมืองไทย วันที่สี่ในโรมกำลังจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าแหละเหงาหงอย ปลายนิ้ววาดที่ปากถ้วยน้ำชาอย่างเลื่อนลอย สายตาหลังแว่นตากรอบหนาสีดำที่เธอสวมอยู่
นี่ใช่สิ่งที่เธอต้องการจริงๆ หรือเปล่านะ อุตส่าห์เก็บหอมรอมริมทั้งเกือบสองปีเพื่อมาที่โรม แม้จะมีโอกาสได้ไปดูสถานที่สวยงามหลายแห่งตามที่เธอทำรายการไว้ แต่มันกลายเป็นว่าเธอต้องไปคนเดียวโดยที่มนตรีไม่มีเวลาว่างให้เลยทั้งๆ ที่ก่อนมาเธอก็บอกเขาล่วงหน้านานนับเดือนแล้ว
เธอมีสิทธิ์ที่จะน้อยใจเขาไหมนะ เธอไม่อยากทำตัวเป็นผู้หญิงเรื่องมากแต่เมื่อเจอสภาพนี้ก็อดรู้สึกอยู่ลึกๆ ไม่ได้ เขาไม่ว่างไม่มีเวลา ติดธุระด่วนทั้งเรื่องเรียนและเรื่องงานพิเศษ จะได้เจอกันก็ตอนที่เขากลับมาถึงบ้านแล้วแถมกลับดึกเกือบเที่ยงคืนแทบทุกคืน ถึงเขาจะพูดบ่อยๆ ว่าอีกหน่อยก็อยู่ด้วยกันแล้วก็จะได้เห็นหน้าจนเบื่อไปข้างหนึ่ง แต่สำหรับเธอตอนนี้หัวใจมันแสนจะอ้างว้างและเหงายิ่งกว่าเหงา อยู่เมืองไทยอาจไม่เหงาขนาดนี้ก็ได้ พรุ่งนี้เธอก็จะกลับเมืองไทยแล้วมนตรียังไม่ไปเที่ยวกับเธอเลย แล้วถ้าอยู่ด้วยจริงๆ จะเป็นแบบนี้ไหม อยู่ไกลแล้วใจอุ่นกับอยู่ใกล้แล้วเหินห่างมันแสนจะทรมานและใจเจ็บ
“เธอคือฌัชชาใช่ไหม” ศาสตราจารย์วินัย-ชายวัยห้าสิบปลายๆ ทักทายอย่างเป็นกันเอง
“ใช่ค่ะ” ณัชชาสะดุ้งตื่นจากภวังค์แล้วลุกขึ้นยืน อีกฝ่ายแล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เธอนั่งลง “ทราบได้ยังไงคะว่าเป็นหนู”
“ลูกศิษย์คนโปรดของตาเฉลิมชัย” เขายิ้มกว้างทำให้หญิงสาวรู้สึกผ่อนคลายลงไปมาก “ขอโทษที่ให้รอนานติดอยู่ในห้องประชุมออกมาไม่ได้เลย แถมยังต้องให้มาถึงที่นี่”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูสะดวกมา” ณัชชาเลื่อนถุงของฝากส่งให้ เธอรับหน้าที่นำของฝากจากซาร่ามาให้อาจารย์วินัยซึ่งทำงานอยู่ฝ่ายวิชาการที่นี่ มหาวิทยาลัยแห่งกรุงโรม “หนูต่างหากที่ต้องขอโทษควรจะเอาของฝากมาให้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึง”
ศาสตราจารย์วินัยโบกมือไปมา “เธอมาเที่ยวไม่ใช่เหรอ แค่เอาของกินอร่อยๆมาให้ก็ดีใจแล้ว ฉันไม่ได้กลับเมืองไทยมาหกหรือเจ็ดปีแล้ว”
“ค่ะ ศาสตราจารย์เฉลิมชัยก็เคยเล่าให้ฟังอยู่”
“มันคงเอาฉันไปเผาจนเกรียมเลยละซิ” ชายใกล้หกสิบหัวเราะอารมณ์ดี “แล้วนี่ไปเที่ยวไหนมาแล้วบ้างล่ะ”