ณัชชาได้แต่พยักหน้ารับเนื่องๆ มนตรียิ้มกว้างแล้วหอมแก้มเนียนของณัชชาเร็วๆ แล้ววิ่งเหยาะๆ จากไปโดยไม่หันมามองเธอเลยสักนิด แทนที่เธอจะรู้สึกดีที่เขาหอมแก้มเธอ แต่เธอรู้สึกว่ามันกลวงและว่างเปล่า ทำไมรู้สึกแบบนั้นนะ ณัชชาได้แต่ถอนหายใจเบาๆ แล้วเธอก็นึกได้ล้วงมือไปในกระเป๋าหยิบกล้องถ่ายรูปอันเล็กออกมา ยังไม่ได้ถ่ายรูปคู่กับมนตรีเลย แล้วเธอก็ยังไม่มีรูปถ่ายของตัวเองด้วย แต่เวลานี้จะไปขอร้องใครได้ล่ะ หญิงสาวมองไปรอบๆ หลายคนถ่ายรูปตัวเองด้วยวิธียืนแขนไปสุดมือกันทั้งนั้น ณัชชาถ่ายรูปตัวเองให้มีฉากด้านหลังเป็นน้ำพุ เธอยิ้มเขินๆ ก่อนกดชัตเตอร์ไปสองสามครั้งแล้วดูรูปที่หน้าจอ ใบหน้าหวานหัวเราะเบาๆ ที่เห็นสีหน้าประดักประเดิดของตัวเอง เธอเพ่งมองฉากหลังในหน้าจอแล้วหันไปมองรอบข้างยังมีอะไรสวยงามให้เธอได้เก็บความประทับใจอีกมาก ณัชชาถ่ายรูปสถานที่ต่างๆ เพลินจนเริ่มรู้สึกหิวและยังไม่มีวี่แววว่ามนตรีจะกลับมา เธอจึงเดินไปนั่งในคาเฟ่ที่หอมกลิ่นขนมหวาน ขนมหวานแสนน่ารักๆ ราวกับจะกวักมือเรียกมากกว่าอาหารจานหลักที่วันนี้ยังไม่ตกถึงท้อง แต่ช่างเถอะ ขนมน่ากินแบบนี้จะอดใจได้ยังไง
“น่ากินทั้งนั้น กินแบบนี้อิ่มแทนกินข้าวแน่ๆ”
ณัชชายิ้มขำเมื่อยืนอยู่หน้าตู้ขนม เธอจดไว้ในรายการอาหารที่ต้องมาชิมให้ได้เมื่อมาถึงอิตาลี่ อย่าง ‘Cassata’ ไอศกรีมเค้กทำจากชีส ผสมผลไม้เชื่อม ลูกนัทวางสลับชั้นกับไอศกรีมรสต่างๆ อีก 1-2 รส ชั้นนอกหรือชั้นล่างสุดจะเป็นเค้กเนื้อเบา หรือ ‘Cannoli’ ขนมกรอบแผ่นบางอบ กำเนิดจากซิซิลี ใส่ไส้ครีมชีส ช็อคโกแลต และผลไม้เชื่อม Panettone เค้กเนื้อแน่นและเเห้ง ผสมผลไม้เชื่อม นิยมทานกันในช่วงอีสเตอร์และคริสต์มาส แต่เมนูที่ชวนให้เธอยิ้มได้ก็คือ Tiramisu แปลว่าเลือกฉันซิ เป็นขนมหวานชื่อดังของอิตาลี เค้กเนื้อเบาชุ่มด้วยน้ำกาแฟและลิเคียวร์ วางสลับกับเนยแข็งมาสคาร์โปเนปรุงรสตีฟู และโรยหน้าด้วยผงกาแฟ มักจะแช่เย็นไว้เสมอเพื่อให้เนยแข็งคงรูป
“แต่อิตาลี่เป็นศูนย์กลางของช็อกโกแล็ตเลยนะ” ณัชชารู้สึกสนุกที่จะได้ชิมขนมอร่อยหน้าตาน่ารัก สุดท้ายเธอเลือก Tiramisu มากินกับกาแฟลาเต้ กลิ่นหอมของขนมทำให้เธออารมณ์ดีขึ้น เธอกินขนมของตัวเองไปเงียบๆ และนึกขึ้นได้ เธอหยิบสมุดบันทึกเล่มขนาดพอดีมือออกมาแล้วจดอะไรหยุกหยิกตามประสาคนชอบเขียนบันทึก เก็บสลิปค่าขนมสอดไว้ในสมุดบันทึกเป็นของที่ระลึก แน่นอนว่าการกินอาหารดีๆ แพงๆ มันก็เป็นเรื่องห่างไกลชีวิตประจำวันของเธอด้วย เสียงมือถือของเธอดังขึ้น หญิงสาวรีบรับสายทันที ไม่มีใครอื่นนอกจากมนตรีที่เธอรอคอย
“ขอโทษนะณัช งานของตรียังไม่เรียบร้อย ต้องแก้งานส่งอาจารย์ภายในวันนี้ ยังไงณัชกลับบ้านคนเดียวได้ใช่ไหม นั่งแท็กซี่กลับก็ได้นะ เดี๋ยวกลับบ้านแล้วตรีจะคืนค่ารถให้”
“ไม่ไรจ๊ะ ตรีทำงานให้เสร็จเถอะ ณัชดูแลตัวเองได้”
ณัชชาวางโทรศัพท์มือถืออย่างเหงาๆ จะให้ทำอะไรได้เล่านอกจากจำใจยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นซึ่งมันควรจะเป็นความเคยชินหนึ่งในหลายเรื่องของชีวิตเธอ เธอพอจำทางกลับบ้านได้และไม่คิดว่าจะเสียเงินค่าแท็กซี่ด้วย ยังมีเวลาอีกมากสำหรับการเดินชมศิลปะและการแสดงที่จัตุรัสนาโวนา หญิงสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่นานรู้สึกอิ่มและอร่อยกับขนมที่ได้ลิ้มรส เธอเอ่ยชมความอร่อยของขนมหวานกับพนักงานเสิร์ฟในร้านแล้วก้าวออกมา แต่ยังไม่ทันจะเดินไปไหนเธอก็รู้สึกว่าร่างเธอเหมือนถูกอะไรชนเข้าอย่างจัง ร่างเธอเสียหลักเล็กน้อยแต่เมื่อเธอตั้งสติได้ก็เห็นเด็กชายวัยสิบขวบเดินมาชนเธอพร้อมกับไอศกรีมที่เลอะกระโปรงตัวใหม่ของเธอ
“เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
ณัชชาไม่ได้สนใจรอยเปรอะที่กระโปรงแต่เธอนั่งลงแล้วมองเด็กชายด้วยความเป็นห่วง เด็กชายมีสีหน้าตกใจแต่ไม่เอ่ยตอบ ไอศกรีมโคนในมือเหลือเพียงแผ่นขนมปังกรอบเท่านั้น
“ยังไม่ได้กินเลยละซิ ปากไม่เห็นเลอะเลย”
ณัชชาเอ่ยหยอกล้อด้วยอังกฤษแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนเช็ดมุมปากของเด็กชายตัวจ้อย เขาดูอ่อนแอบอบบางและมีแววโดดเดี่ยวในดวงตา เธอเติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทำให้ต้องพบเจอเด็กๆ หลายรูปแบบที่มาอยู่รวมตัวกันในบ้านหลังเดียวกัน
“มากับใครเอ่ย คุณพ่อคุณแม่อยู่ไหนคะ” เธอถามพลางบีบมือเด็กน้อยเบาๆ แล้วเหลียวมองรอบข้าง เด็กน้อยแม้จะมีรอยเหงาแต่การแต่งกายเสื้อผ้าเนื้อดี ผมเผ้าก็ตัดเป็นทรงเรียบร้อยคงไม่ใช่เด็กถูกทิ้งแน่ๆ และเธอก็มั่นใจว่าภาษาอังกฤษที่เธอใช้สื่อสารน่าจะทำให้เด็กเข้าใจบนสนทนาของเธอได้
“คุณอลองโซ”
ชายร่างยักษ์ในชุดสูธสีดำรีบวิ่งเข้ามาทางณัชชา สีหน้าของเด็กน้อยแสดงให้เธอเข้าใจว่าผู้ชายคนนั้นรู้สึกกับเด็กชายตัวเล็กจริงๆ ชายร่างใหญ่ราวบอดี้การ์ดในภาพยนตร์ฮอลีวูด เธอไม่ได้ยินนักว่าเขาพูดอะไรกับใครแต่เดาๆ ว่า เหมือนกับแจ้งให้คนอื่นทราบว่าเจอตัวเด็กชายเข้าแล้ว
“กลับกันเถอะครับคุณอลองโซ คุณพ่อรออยู่”
เด็กชายพยักหน้ารับอย่างหงอยๆ เขาหันมาแล้วยิ้มนิดๆ ให้กับณัชชา หญิงสาวยิ้มกว้างแล้วโบกมือลา แต่รอยยิ้มของเธอก็ชะงักค้างเมื่อบอร์ดี้การ์ดหน้าเข้มจ้องมองเธอราวกับเห็นสิ่งมหัศจรรย์ เธอหุบยิ้มทันทีแล้วดันแว่นชิดใบหน้า เขาคงไม่คิดว่าเธอล่อลวงเด็กมาหรอกนะ คงจะเป็นลูกคนดังหรือเซเลบถึงมีคนติดตามอย่างนี้ เธอหลบสายตาบอร์ดี้การ์ดแล้วเดินกลับเข้าไปในร้านขอใช้ห้องน้ำ หญิงสาวจัดการเช็ดคราบเลอะของกระโปรงอย่างใจเย็นแต่อดคิดถึงแววตาของเด็กน้อยไม่ได้
คนที่อยู่ในโลกของความโดดเดี่ยวเท่านั้นจะเข้าใจความรู้สึกเปลี่ยวเหงาเช่นกัน.
.......
อันโตนิโอ ซิวีลิอาโน่ หนุ่มใหญ่วัย 39 ปีนั่งกุมขมับอย่างเคร่งเครียด ชีวิตของเขาเจออุปสรรคมามากมายแต่ไม่คิดว่า ‘เรื่องแบบนี้’ จะทำให้เขาปวดหัวได้มากขนาดนี้
“ก็บอกแล้วว่าหาแม่ใหม่ให้อลองโซยังง่ายกว่า” เสียงฟรานเชสโก้ ซิวีลิอาโน่ น้องชายคนกลางเอ่ยทักทายผสมหยอกล้อ พอเห็นอันโตนิโอเงยหน้าขึ้นเขาก็แสร้งทำเป็นเคาะประตูสองสามครั้งก่อนจะก้าวเข้ามาในห้องทำงานของผู้เป็นพี่ชาย เขานั่งลงที่เก้าอี้ว่างตรงข้ามแล้วหัวเราะเบาๆ
“เห็นความทุกข์ของคนอื่นเป็นเรื่องสนุกก็หัวเราะไป” หนุ่มใหญ่เลื่อนปมเนทไทลงเล็กน้อย “ข้างนอกไม่มีแล้วใช่ไหม”
ฟรานเชสโก้ส่ายหน้าไปมา สายตาช่างสังเกตของเขาเห็นรอยแดงคลายรอยลิปสติกที่ปกเสือเชิ้ตของผู้เป็นพี่แล้วก็อดหลิวตาให้ไม่ได้
“แน่ใจว่าหาพี่เลี้ยงเด็กอยู่นะ”
อันโตนิโอเข้าใจสายตาของน้องชาย เขายิ่งรู้สึกหงุดหงิดเป็นสองเท่า ก็วันนี้เขานัดคนที่สมัครเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้เข้ามาสัมภาษณ์มีเข้ามาประมาณยี่สิบคน แต่ละคนทำเหมือนอยากสมัครเป็นภรรยาของเสียมากกว่า บางคนลงทุนจู่โจมแทบตั้งตัวไม่ทันถ้าไม่เกรงใจเห็นว่าเป็นผู้หญิง เขาคงจับหักแขนไปแล้ว “นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบแบบนี้” อันโตนิโอมองแก้วกาแฟที่ว่างเปล่า “ฉันอยากหาพี่เลี้ยงดีๆ ให้อลองโซ”
“เสียใจด้วยที่พี่เลี้ยงดีๆ อย่างคุณป้าโมนิก้าล้มในห้องน้ำจนต้องพักรักษาตัวยาวแบบนี้ แต่ยังไงวันหนึ่งป้าโมนิก้าก็ทำงานไม่ไหวต้องหยุดพักผ่อนอยู่ดี”
“ฉันรู้นานแล้วว่ายังไงป้าโมนิก้าก็ต้องถึงเวลาพักผ่อน” อันโตนิโอหมายถึงหญิงชราวัยหกสิบที่คอยดูแลลูกชายของเขามาตั้งแต่เกิดโมนิก้าเป็นคนสนิทของนาตาลี-ภรรยาของเขาซึ่งเคยเป็นพี่เลี้ยงภรรยาของเขามาก่อน อลองโซเองก็ติดโมนิก้ามาก เขาพยายามเหลือเกินที่จะให้ลูกชายของเขากลับมาร่าเริงเป็นเด็กชายที่พร้อมจะเติบโตไปในวันข้างหน้า ไม่ใช่จมอยู่กับความเศร้าเนิ่นนานกว่าสามปีอย่างนี้