บทที่6

1879 คำ
บทที่6 หยางหรงเหยาแต่เดิมก็มิใช่ผู้ชมชอบเอ่ยความ ยิ่งมาพบเจอคำกล่าวดุดันมิไว้หน้าเขาจึงยิ่งสิ้นคำจะโต้ตอบด้วยจวบจนเข้าวัยยี่สิบห้าหนาว ล้วนมิเคยพบเจอผู้ใดเอ่ยคำพูดแสนแสบทรวงเช่นคนตัวเล็กซึ่งกำลังกระชับกระบี่คู่กายของเขาด้วยกิริยามิอ่อนข้อลงให้แก่บุรุษซึ่งมีทั้งร่างกายและพละกำลังมากกว่า...นางช่างกล้ามิกลัวตายจริงแท้! ... “ท่านสมควรสงบปากสงบคำเอาไว้จะเป็นผลดีต่อลำคอของตนเองมากกว่านะ...คุณชายหน้าดำ เพราะคนมีของคมอยู่ในกำมือนั้นเขาย่อมต้องมีสิทธิ์พูดเสียงดังกว่า เช่นนั้นยามนี้กระบี่ยังอยู่ในมือข้าท่านจงฟังอย่างเดียว หาไม่หากมือของข้าเกิดเส้นเอ็นกระตุกลำคอของคุณชายสามนั้นเกรงว่าจะได้เลือดจนเลยไปถึงสิ้นชีพเอาได้” อาจจะด้วยยังมิคุ้นชินต่อสำเนียงของคนยังยุคนี้ อีกทั้งยามนี้ตนเองทุกประสาทล้วนตึงเครียดเฉินอิงลั่วนางจึงเผลอกล่าวออกไปทั้งสำเนียงยังภพนี้ผสานไปด้วยสำเนียงภพเดิมที่ตนเองพูดคุยติดลิ้นมายี่สิบปี ทว่ายามนี้เฉินอิงลั่วนั้นมือข้างขวานางก็กระชับด้ามของกระบี่เล่มโตมั่นคง อีกมือก็เร่งขมวดปมผ้าห่มผืนใหญ่ปกปิดกายเปลือยของตนเองให้แน่นหนาเข้าไว้ก่อน ด้วยหากว่าตนเองต้อง ‘บู๊’ กว่านี้อีก ย่อมแน่นอนว่านางมิได้คิดหวังอยู่แล้วว่าตนเองจะรอดเงื้อมมือของบุรุษผู้นี้ไปโดยง่าย เพราะนี่คือ ‘ถิ่น’ ของเขา อีกทั้งตนเองก็ไร้ที่ไป ทว่านางเพียงต้องการเวลาก็เท่านั้น “เจ้าควรเรียกข้าอย่างให้เกียรติสักหน่อยเสี่ยวหูหลี่! “ ...เสี่ยวหูหลี่... เฉินอิงลั่วนางเร่งทบทวนเล็กน้อยก็กระจ่างว่าตนเองถูกกล่าวหาว่าเป็นลูกจิ้งจอกน้อย เจ็บจี๊ดยิ่งกว่าโดนกระทืบเล็บเท้าเสียอีก ด้วยสิ่งที่ตลอดมานางกลัวที่สุดก็คือลูกสุนัขตัวเล็ก ๆ ที่ขี้หูหนาขี้ตาเกรอะกรัง เพราะในวัยเยาว์ตนเองเคยถูกลูกสุนัขกัดจนต้องไปฉีดยากันพิษสุนัขบ้าถึงยี่สิบสี่เข็ม นรกแตกยิ่งนัก เช่นนั้นแล้วนางจึงมีความหลังฝังใจต่อลูกสุนัขเป็นอย่างมาก แล้วเมื่อตนเองถูกเรียกเป็นลูกจิ้งจอกน้อยนางจึงขนพองทันใด “ท่าน...กล้าดียังไงมากล่าวหาว่าข้าเป็นลูกจิ้งจอก ดูปากข้านะ...ข้า...เกลียด...ลูก...สุนัข! ... “ เมื่อกระชับปมผ้าห่มแน่นดีแล้ว เฉินอิงลั่วนางจึงยกนิ้วชี้จิ้มเข้าสู่ริมฝีปากตนเองก่อนจะเอ่ยช้าและแจ่มชัดเน้นคำให้อีกฝ่ายเข้าใจ ด้วยเช่นไรนางย่อมรู้คงยากหนีพ้นคงต้องทนอยู่กับคนผู้นี้ไปก่อน “ก็เจ้าล้วนมากเล่ห์! เมื่อมิเอ่ยนาม เช่นนั้นข้าก็จะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวหูหลี่” กระบี่ในมือนี้คล้ายว่านางนั้นจะใช้มิคล่องนัก แต่เมื่อใช้มิคล่อง เช่นนั้นใช้ทุบศีรษะผู้เป็นเจ้าของก็คงมิผิดกฎใช่หรือไม่! ... ดังนั้นแล้วเพียงพริบตาเดียวหยางหรงเหยาก็คล้ายหน้ามืดวูบดับไปชั่วเวลาอันสั้น ก่อนจะพบว่าตนเองนั้นยามนี้ได้เสียหลักหงายหลังหล่นจากเตียงกว้างเสียงดังโครมใหญ่ ลงไปนอนงงงันยังพื้นห้องกว้างเป็นครู่เลยทีเดียว ...หึ... มิเคยรู้ใช่หรือไม่ว่าเรื่องอันใดที่สตรีมิชมชอบอย่าได้คิดตอกย้ำขัดใจกัน ถึงนางจะนับว่าเป็นสตรีสายถึกสีทนได้มาแต่ไหนแต่ไร ด้วยถูกเลี้ยงมาโดยบิดาซึ่งเป็นทหารกับพี่ชายที่เป็นตำตรวจย่อมมิได้ถึกทนธรรมดาอยู่แล้ว แต่ทว่าความกลัวของคนอื่นอย่าได้เอามาล้อเล่นมันไม่สมควรพูด เพราะหากใครหาญกล้ามากล่าวกันต่อหน้านาง มักไม่ค่อยได้ตายศพสวยสักราย ต่อให้เป็นพี่ชายก็ตาม!! ตุ๊บ! ตั๊บ! โพละ! พลัก! โอ๊ะ! ... อุก! อึ๊ก! ... “ข้าบอกว่าเกลียดก็ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น อย่ามามีเสียงต่อผู้ถือกระบี่อีก” อันที่จริงนางกลัวทว่าให้กล่าวจุดอ่อนต่อคนแปลกหน้าคงมิใช่ผู้ฉลาดนัก เช่นนั้นจึงต้องแสร้งทำเป็นว่าตนเองเกลียดเจ้าสัตว์หน้าขนตัวเล็กซึ่งสตรีมากมายล้วนเอ็นดู ทว่าเฉินอิงลั่วนางกลับกลัวจนย้ายอุจจาระขึ้นไปไว้ยังสมองเลยทีเดียวหากได้พบเห็นไกล ๆ หรือเพียงได้ยิน ภาพตนเองถูกลูกสุนัขไล่กัดอย่างบ้าคลั่งเมื่อครั้งยังเยาว์ก็มักถาโถมจนสติหายเสมอ อาการเช่นนี้ทั้งผู้เป็นพี่ชายและเพื่อนสนิทหลายคนต่างลงความเห็นว่านางนั้นคงป่วยด้วยโรคโฟเบีย* (การกลัวสัตว์หรือสิ่งของชนิดฝังใจรุนแรง) เข้าเสียแล้ว ซึ่งยามนี้อาการดังกล่าวกลับทำให้นางนั้นกลายเป็นผู้พลิกตำนานหนูถล่มราชสีห์ขึ้นมาโดยแท้... ส่วนคุณชายสามแห่งตระกูลหยางนั้นมึนหัวด้วยหงายหลังลงมานอนกระแทกพื้นไม้แข็งโป๊กอย่างมิทันได้ตั้งตัว ...เฮอะ! ... นรกมันเถิด ขายหน้าสิ้นดี! ... เขาไม่เคยเจอสตรีแปลกประหลาดผู้ใดบ้าดีเดือดได้เท่าสตรีดวงตาสีฟ้าออกม่วงผู้นี้มาก่อนเลย ให้ตายสิ้นเสียเถิด เขาถูกโจมตีแบบยังไม่ทันตั้งตัวอีกครั้งหนึ่งแล้ว มิอาจทราบได้ว่าเจ้าติงเค่อผู้นั้นมันไปตายเสียที่ใดแล้วจึงปล่อยให้เขาต้องเผชิญกับสตรีโหดร้ายนางนี้อยู่เพียงลำพัง! “หยุดนะ!” ยามเมื่อเห็นกายสูงใหญ่ยังพื้นเริ่มขยับ เฉินอิงลั่วนางก็สะบัดเอาคมกระบี่เข้าใส่ยังหน้าอกแกร่งซึ่งเปลือยเปล่าด้วยรอยเสื้อคลุมแหวกจนแทบปิดอันใดไม่มิด ...คุณชาย...ท่านช่างยั่วยวนข้าเกินไปแล้วนะ... “...พอแล้ว หยุดเถิด เราค่อยพูดค่อยจากันด้วยดีตามใจของเจ้าก็ได้” ...หมดกัน... เกียรติของคุณชายสามแห่งตระกูลหยางอันยิ่งใหญ่สิ้นแล้วในวันนี้ ทั้งที่ตลอดมาผู้คนล้วนหวาดกลัวเพียงได้ยินนามคุณชายสามหยางหรงเหยาโดยแท้ ทว่ายามนี้ต้องสิ้นท่าเพียงเสียทีสตรีตัวเล็กเท่าลูกแมว นี่เองที่อาจารย์เคยสั่งสอนแล้วตนเองหาจดจำไม่ว่าอย่าวางใจต่อสตรีตัวเล็ก ด้วยตัวนางเล็กก็จริงทว่าความคิดของพวกนางล้วนล้ำลึกยิ่งนัก ยามนี้เขาล้วนพบเจอด้วยตนเองจนแจ่มชัดยิ่งนักแล้ว “พลัวะ!” ประตูถูกเปิดเข้ามาด้วยคนเปิดคงตกใจใช่เล่น แต่ภาพที่เห็นช่างเป็นอะไรที่ทำเอาคนสนิทข้างกายคุณชายสามวัยยี่สิบเจ็ดหนาวยิ่งกว่าตื่นตกใจ! ... ติงเค่อยามนี้เขาอ้าปากค้างไปราวสองอึดใจ สวรรค์! นั่นมันอันใดกันเล่า! ... “คุณชาย...” เสียงที่หลุดออกมาจากริมฝีปากแดงอมชมพูแบบหนุ่มเจ้าสำอางของบอยแบนด์เกาหลีในสายตาของมนุษย์สายติ่งเช่นเฉินอิงลั่ว ...หากทว่าตามความเป็นจริงในยุคนี้ภพนี้ ชายผู้นี้คงจะเป็นมือขวาของคุณชายสามผู้ฆ่าเคียงบ่าเคียงไหล่ทุกรูปแบบกับเจ้านายหนุ่มของเขามาโดยตลอด แต่ภาพตรงหน้าทำเอาเพชฌฆาตหน้าหยกตะลึงตาค้างปากอ้าแล้วหุบนั่น สาบานว่าคนผู้ซึ่งนอนสิ้นท่าหมดลวดลายยังพื้นแข็งนั้นคือเจ้านายของเขาตัวจริงแท้แน่หรือไม่เล่า?! ... สวรรค์ช่วยอีกรอบ กับภาพสยองตรงหน้า บุรุษรูปร่างสูงใหญ่กว่านอนอยู่ตรงพื้นหน้าเตียงขนาดใหญ่ โดยมีร่างเอ่อ...เท่ามด...ของดรุณีน้อยผิวขาวจัดราวหิมะ ทว่านางกลับมีเรือนผมยาวสีดำสนิทดังปีศาจจิ้งจอกสาวในเรื่องเล่าตามโรงน้ำชา ซึ่งยามนี้นั้นนางกำลังจะสิงร่างคุณชายสาม.... มิใช่สิ นางกำลังจะเอากระบี่เตรียมเสียบเข้ายังหน้าอกของผู้เป็นเจ้านายของเขาอยู่ ที่สำคัญไปกว่านั้นกายของคุณชายสามยามนี้ล้วนมีสภาพยับเยินเกินเยียวยาเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งติงเค่อที่เติบโตมากับคุณชายสามกล้าสาบานเลยว่าจวบจนบัดนี้ต่อให้อยู่กลางสนามรบยังชายแดน หยางหรงเหยาก็มิเคยสิ้นสภาพได้ถึงเพียงนี้มาก่อนเลย ทว่าเพียงครู่สายตาเฉียบคมของติงเค่อก็ค้นพบว่ายามนี้ปลายด้ามของกระบี่คล้ายเขาจะแลเห็นรอยเปื้อนของหยาดโลหิต เช่นนี้สายตาจึงดึงสลับกลับไปยังใบหน้าของผู้เป็นนายตน สุดท้ายก็กระจ่างต่อใจทันที คุณชายสามนั้นคงเสียทีให้แก่กระบี่ตนเองเข้าเสียแล้ว เช่นนี้แล้วคนสนิทหนุ่มจึงได้เพียงร้องหาเง็กเซียนในใจไม่หยุด “ติงเค่อ เจ้าจะยืนดูข้าสิ้นใจอยู่ตรงนั้นอีกนานหรือไม่” นั่นเองที่ใบหน้าของติงเค่อแสนลำบากใจ หากเป็นบุรุษเป็นสิบเป็นร้อยเสี่ยวติงมิเคยปริปากบ่น ทว่าให้ต่อกรกับสตรีตัวเท่ามดเขานั้นจึงยากจะตัดใจลงมือไปได้ แต่สายตาของผู้เป็นนายก็ช่างน่ากลัวยิ่ง สุดท้ายติงเค่อจึงตัดสินใจพุ่งเข้าหากายเล็กเร็วไวจนเฉินอิงลั่วนางถึงกับเสียหลักถูกบิดข้อมือเล็กจนใบหน้าบิดเบี้ยว ปล่อยให้กระบี่ในมือตนเองหลุดร่วงลงพื้นเสียงดังเคร้ง “บ้าเอ๊ย!” นางสบถภาษาไทยชัดเจน “รังแกสตรีเพียงคนเดียวพวกท่านยังเป็นบุรุษได้อยู่อีกหรือ ชั่วช้ายิ่งนัก ข้าเพียงอยากพูดคุยด้วยดีโดยแท้” กายสมส่วนถอยร่นไปหลบยังข้างเสาหัวเตียง “เจ้าเสียทีแล้วจึงมากล่าวเช่นนี้” หยางหรงเหยาขยับกายลุกขึ้นจัดเสื้อให้เข้าที่ก่อนเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง “ข้าหาได้ตั้งใจทำร้ายท่าน ตั้งแต่แรกเป็นท่านที่เอาข้าไปเปรียบเทียบต่อสิ่งที่เกลียด ข้าน้อยจึงเสียสติไปชั่วครู่พลั้งมือโดยแท้...พลั้งมือทั้งสิ้นเจ้าค่ะคุณชายสาม” ยามเข้าตาจนต้องรู้จักกำลังตน เฉินอิงลั่วนางคอยย้ำเตือนตนสติของตนเองเช่นนั้น ...นางกล่าวว่าเช่นไรนะ? ...นี่นางมิได้คิดต่อสู้ขัดขืนด้วยเขาลงมือปลุกปล้ำนางเช่นนั้นหรือ? ... ...พลั้งมือ... นางคิดว่าเขาเป็นบุรุษโฉดเขลามากนักหรืออย่างไร ผู้ใดเชื่อลมปากนางล้วนต้องเสียสติทั้งสิ้น หยางหรงเหยาที่ยังทั้งเจ็บใจมากกว่าเจ็บกายกรุ่นโกรธ ที่ทุบเขาจนน่วมบอบช้ำนี่เพราะเขาดันเผลอไปเรียกว่านางว่า ‘เสี่ยวหูหลี่’ หรอกหรือ? ...เสียสติสิ้นดี!!! ... “โอ๊ย!” ทว่าเพียงครู่เสียงร้องของติงเค่อคนสนิทคู่ใจของตนเองก็ปลุกสติโกรธกรุ่นของคุณชายหนุ่มออกมาจากภวังค์ความคิดทันใด “ติงเค่อ เจ้าอย่าได้ทำให้นางเจ็บแม้เพียงปลายเล็บเชียวนะ!” ด้วยหยางหรงเหยานั้นรู้นิสัยและฝีมือกับกำลังของคนสนิทตนเองดี
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม