บ้านพาณิชย์เจริญกุล
“อะไรนะคะคุณพ่อ!!!”เสียงหวานสั่นไหวระริกเอื้อนเอ่ยออกมา
เมื่อเธอได้ยินข่าวสารออกจากปากของผู้เป็นพ่อถึงสถานการณ์อันเลวร้ายที่กำลังเกิดขึ้นภายในครอบครัว และสิ่งที่อีกฝ่ายเรียกร้องหลักประกันเพิ่มเติม นั้นก็คือตัวเธอนั้นเอง ดวงตาคู่สวยมองบิดาที่นั่งหน้าเศร้าหมองด้วยความอมทุกข์มากกว่าความดีใจที่ได้รับอนุมัติเงินกู้จำนวน 500 ล้านบาท
อานนท์ พาณิชย์เจริญกุล เจ้าของกิจการโรงานเย็บผ้าและสิ่งทอ รวมไปถึงโรงแรมระดับแนวหน้าที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในโรงแรมที่ดีสุดแห่งหนึ่งของประเทศ ตระกูลพาณิชย์เจริญกุล ดำเนินกิจการทั้ง 2 อย่างควบคู่มาอย่างยาวนานจนก้าวเข้าสู่การบริหารของทายาทรุ่นปัจจุบันคือนายอานนท์ พาณิชย์เจริญกุล โรงแรมอคราซึ่งเป็นชื่อดั้งเดิมแต่กาลก่อน ค่อยๆ เติบโตจากกิจการเล็กๆ จนกลายมาเป็น อครา วอเตอเกท ชื่อกิจการในปัจจุบันเป็นโรงแรมสุดหรูระดับ 5 ดาวลำดับต้นๆ ของประเทศ
ทว่าทุกสิ่งล้วนไม่จีรัง ยุคสมัยมีการเปลี่ยนแปลง เศรษฐกิจเกิดภาวะถดถอยเพราะเกมการเมืองของผู้มีอำนาจในประเทศ ทำให้ห้างร้านบริษัทฯ และกลุ่มธุรกิจหลายแขนงเกิดการชะลอตัว
และลงท้ายปิดกิจการไปในที่สุด ผู้คนตกงานทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกปี และอครา วอเตอเกท กำลังประสบปัญหาเฉกเช่นเดียวกันและรุนแรงถึงขั้นกำลังจะล้มละลายในระยะเวลาอันใกล้นี้
“คุณพ่อคิดอย่างไรกับข้อเสนอของทางนั้นคะ”เสียงหวานของบุตรสาวถามบิดาด้วยความอยากรู้
ปรางค์ลดา พาณิชย์เจริญกุล หรือน้องปรางค์ของผู้เป็นบิดา หญิงสาวแสนสวยในวัยนักศึกษาชั้นปีสุดท้ายของคณะบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง และเธอก็ใกล้จะเรียนจบปริญญาตรีในอีก 3 เดือนข้างหน้านี้แล้ว ไม่คาดคิดเลยว่าสถานการณ์ภายในครอบครัวของเธอจะรุนแรงถึงเพียงนี้
คุณอานนท์ เงยหน้ามองลูกสาวเพียงคนเดียวของเขา ลูกอันเป็นแก้วตาดวงใจที่เฝ้าทะนุถนอมคอยเลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะจะต้องถูกส่งไปเป็นหลักประกันเพิ่มในการกู้เงินจำนวนมหาศาลในครั้งนี้ของเขา
“พ่อตอบตกลงกับทางนั้นว่าจะเพิ่มหลักประกัน เพราะอยากได้เงินมากอบกู้กิจการของเรา แต่ตอนนี้พ่อเปลี่ยนใจแล้ว พ่อจะไม่ยอมส่งลูกไปตามความต้องการของเขาเด็ดขาด เพราะลูกของพ่อกำลังถูกส่งให้ไปเป็นผู้หญิงของเขาซึ่งเค้าจะทำอะไรก็ได้...พ่อจะโทรไปบอกทางนั้นว่าขอยกเลิกเงินกู้ 500 ล้าน ไม่เอามันแล้วเงินบ้าบออะไรนั้น อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต”
ผู้เป็นพ่อกล่าวพร้อมยกมืออันแห้งกร้าน ลูบเบาๆ บนเรือนผมลูกสาวสุดรักเพียงคนเดียวที่เข้ามากอดเพื่อให้กำลังใจเขา
ทว่าสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวลนั้นลูกสาวแสนสวยของเขาดูออกทันที ว่าหากตัดสินใจแบบนั้นจริงๆ สถานการณ์จะเลวร้ายนับเท่าทวีคูณ คนงานจำนวนหลายร้อยชีวิตจะต้องถูกลอยแพ และแน่นอนบิดาของเธอไม่มีเงินจ่ายค่าจ้างหรือแม้แต่ค่าชดเชยให้แต่อย่างใด
“ปรางค์ตกลงจะไปเป็นหลักประกันเพิ่มค่ะคุณพ่อ”หญิงสาวบอกบิดาเมื่อเธอได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเลือกที่จะช่วยกอบกู้สถานการณ์ของครอบครัว
“ยายหนู!”นายอานนท์เอ่ยขึ้นอย่างตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายชรารีบดันร่างอรชรของบุตรสาวเพื่อเอื้อนเอ่ยเจรจากับเธอ
“ไม่ต้องยายปรางค์ พ่อจะไม่มีวันยอมส่งลูกไปเป็นหลักประกันเพิ่ม จะไม่ยอมให้ลูกต้องไปเป็นผู้หญิงของใครเด็ดขาด”ชายชราบอกกับลูกสาว
“หนูทราบคะว่าคุณพ่อรักและหวังดีกับลูกคนนี้มากแค่ไหน แต่เงิน 500 ล้านนี้ คุณพ่อบอกปรางค์ไม่ใช่เหรอคะว่ามันจะสามารถกอบกู้สถานการณ์บริษัทฯ ของเรากลับคืนมาได้อีกครั้ง ถ้าเราได้เงินก่อนนี้มาก็จะสามารถจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานและเงินชดเชยอื่นๆ ถ้าเราจะเลือกปรับตัวของขนาดโรงงานให้ลดลงเหมาะกับสภาพเศรษฐกิจหรืออาจะปรับ เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นแทน ในเมื่อโอกาสนั้นมาถึงเราแล้ว ทำไมคุณพ่อไม่รับมันไว้คะ”ปรางค์ลดากล่าวให้ข้อคิดคนเป็นพ่อก่อนจะกล่าวสำทับตามติดมา
“ถ้าหากการเสียสละของปรางค์ในครั้งนี้มันทำให้กิจการของเรารอดพ้นจากวิกฤตที่เป็นอยู่แบบนี้ หนูยินดีที่จะไปเป็นหลักประกันเพิ่มให้ทางนั้นด้วยความเต็มใจคะ แค่ปีเดียวเองที่ลูกต้องอยู่ห่างจากคุณพ่อคุณแม่ หลังจากนั้นเราก็จะได้กลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม คุณพ่อไม่ต้องห่วงลูกคนนี้นะคะ ปรางค์จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเลยค่ะ”หญิงสาวยิ้มทั้งน้ำตาพร้อมเข้าสวมกอดร่างของผู้เป็นพ่อเพื่อขอไออุ่นแห่งรักอีกครั้ง
“โธ่! ยายหนูลูกพ่อ”
นายอานนท์ ได้แต่สะอื้นไห้อยู่ในอก ชายชราหลั่งรินน้ำตาออกมาอย่างไม่ขาดสาย สองพ่อลูกได้แต่สวมกอดให้กำลังใจกันและกันโดยมิได้เอื้อนเอ่ยคำใดออกมาอีกเลย
เพ้นท์เฮาส์สุดหรูใจกลางกรุง
ภายในห้องรับรองแขกสุดหรูหราที่ตกแต่งอย่างทันสมัย ภายในเพ้นท์เฮาส์ของมหาเศรษฐีหนุ่มรูปหล่อกำลังต้อนรับหญิงสาวร่างอรชรอยู่ในขณะนี้ ร่างสูงสง่าของชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลากำลังเดินเข้ามาใกล้รัศมีสายตาของเจ้าหล่อน ทั้งเค้าและเธอต่างสบประสานสายตากัน เพียงชั่วครู่ดวงตากลมโตถึงกับเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจเมื่อเธอจดจำชายตรงหน้านี้ได้แล้วว่าเป็นใคร
“ คุณ..!!!” ปรางค์ลดาอุทานเสียงดังออกมาทันใด
พลางจ้องใบหน้าราวเทพบุตรของชายหนุ่มที่นั่งยิ้มมุมปากส่งให้เธอ หญิงสาวหันไปเกาะแขนบิดาของเธอทันทีและไม่มีทีท่าว่าจะยอมไหว้ทักทายคนตรงหน้าในฐานะคนอายุน้อยกว่าควรทำ
“ยายหนูนี่คือคุณคอนเนอร์ บาริงตัน สวัสดีคุณเข้าหน่อยสิลูก”นายอานนท์แนะนำอีกฝ่ายให้กับบุตรสาวได้ทำความรู้จัก
“ไม่ค่ะ” หญิงสาวกล่าวเสียงห้วนพร้อมสะบัดหน้าหนีก่อนจะเชิดใบหน้าสวยด้วยความถือดี
“ใครจะไปไหว้ลงไอ้คนลามกแบบนั้น”หญิงสาวพึมพำออกมาเบาๆ
“ยายปรางค์! พ่อบอกให้ไหว้คุณเขาอย่างไงละลูก” นายอานนท์พูดเสียงดุก่อนจะเหลือบสายตามองชายหนุ่มที่นั่งยิ้มกวนประสาทอย่างไม่ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด
“ช่างเถอะ ผมไม่ได้มาถือสาอะไรกับเด็กหรอก” คอนเนอร์จงใจพูดยียวนกวนประสาทจนหญิงสาวหันมาค้อนให้เขาวงเบ้อเริ่ม
“ฉันไม่ใช่เด็ก พูดให้มันดีๆ”หญิงสาวตอบกลับไปเสียงห้วน
“ตัวไม่เด็กแต่สมองนะสิเด็ก คนที่เขาโตๆ กันแล้วย่อมรู้จักคำว่ามรรยาทกันทั้งนั้น”ชายหนุ่มพูดลอยๆ เล่นเอาเจ้าตัวฟังแล้วหน้าม้านไปเลยทีเดียว
“นี่....คุณ!”หญิงสาวถลึงตาใส่อีกฝ่าย
“ยายปรางค์ ไหว้คุณคอนเนอร์ลูก” นายอานนท์กล่าวห้ามปรามบุตรสาวเพราะไม่อยากให้เกิดสงครามขนาดย่อมขึ้นตอนนี้
เมื่อลูกสาวของเขากำลังตั้งป้อมต่อต้านอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด ส่วนอีกฝ่ายนั้นรึแลดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับรู้สึกสนุกสนานที่ได้ปะทะคารม
“สวัสดีค่ะ”หญิงสาวยกมือไหว้แบบเสียไม่ได้ก่อนจะสะบัดหน้าหนีจนคอแทบหัก
นายอานนท์ได้แต่ส่ายหน้าไปมา เมื่อเห็นกิริยาของบุตรสาวเป็นเช่นนั้น
“เดี๋ยวพ่อกลับมา ขอคุยธุระอะไรบางอย่างกับคุณเขาสักหน่อยนะลูก”
“ค่ะคุณพ่อ” หญิงสาวรับคำเบาๆ รู้สึกใจหายขึ้นมาโดยพลัน
ดวงตาเริ่มสั่นไหวเมื่อบิดาดึงร่างของเธอเข้าไปกอดไว้แนบอกจนแน่น ก่อนจะเดินตามหลังผู้ชายจอมลามกคนนั้น ร่างบางค่อยๆ นั่งลงบนโซฟามองตามหลังคนทั้งสองที่เดินจากไป ก่อนจะพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“นี่เราคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่”