ภายในท้องพระโรงอันมีฮ่องเต้ฉีเซียนหยางนั่งประทับอยู่ด้วยมาดทรงอำนาจแลดูน่าเกรงขามเหนือชายใดทั้งๆ ที่พระองค์มีพระชนมพรรษามากโข
ข้างๆ กายอันทรงพลังของพระองค์ที่มีรัศมีอำนาจแผ่กระจายไปทั่วร่างนั้นมีร่างระหงในอาภรณ์สีจัดลวยหลายหงส์สง่าของสตรีผู้เป็นฮองเฮานั่งเคียงข้างเป็นหงส์เคียงมังกรด้วยมาดสตรีสูงศักดิ์น่ายำเกรงเหนืออิสตรีด้วยกัน
ถัดจากบัลลังก์มังกรประกอบไปด้วยองค์รัชทายาทในมาดไม่ธรรมดาความเย็นชาท่วมท้น
หากมองดูดีๆ จะพบว่าใบหน้าแลคิ้วตาที่หล่อเหลารูปร่างงดงามเหนือใครของรัชทายาทพระองค์นี้เหมือนกับฉีเล่อทั้งรูปลักษณ์และเอกลักษณ์อยู่หลายส่วน
ข้างกายสูงสง่าขององค์รัชทายาทเป็นสตรีงดงามใบหน้าสวยเฉี่ยวสายตาเฉียบขาดมาดดั่งนางพญาคาดว่าน่าจะเป็นถึงพระชายาขององค์รัชทายาทผู้หล่อเหลา
ถัดไปอีกสองข้างฝั่งซ้ายขวาเป็นองค์ชายและองค์หญิงไม่กี่พระองค์
และถัดมาอีกสองข้างฝั่งล้วนแล้วเป็นขุนนางสูงอายุที่มองดูแล้วสามารถเรียกได้ว่าเป็นจิ้งจอกเฒ่ามากประสบการณ์
พวกเขาทั้งหลายยืนเรียงรายกันจนเต็มพื้นที่สองฝั่งซ้ายขวา พวกเขาพากันมองมาทางองค์หญิงแคว้นเฉินเป็นตาเดียวด้วยสายตาเรียวดำแลดูลึกล้ำจ้องเขมือบ
เฉินลี่หลินลอบมองกราดปราดเดียวสังเกตได้ทุกอย่าง นางถึงกับหางตากระตุกมือสั่นระริกนึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ทุกผู้คนในท้องพระโรงนี้ประหนึ่งออกมาจากดินแดนลึกลับอันประกอบไปด้วยสัตว์เทพตะบะสูง
จะเป็นเซียนก็ไม่ใช่จะเป็นมารก็ไม่เชิง
หากแต่มิใช่ปีศาจแน่ๆ เพราะว่าตำแหน่งนั้นบ้านฟงได้ครองตำแหน่งไปแล้ว
หญิงสาวเพียงยืนนิ่งๆ ลอบวิเคราะห์บุคคลทั้งหลายของเป่ยฉีอยู่เงียบๆ นางอยู่ตำแหน่งกลางท้องพระโรงอย่างเด่นสง่า
ถัดไปไกลๆ ที่หน้าประตูของท้องพระโรงในระยะที่อนุญาตให้เหล่าทหารของแคว้นเฉินเข้ามาได้นั้น ประกอบไปด้วยแม่ทัพฟงในมาดน่ายำเกรงทรงพลังพร้อมด้วยทหารติดตามไม่กี่นายในมาดพร้อมข่มขวัญทุกสรรพสิ่ง
พวกเขายืนอยู่นิ่งๆ ห่างออกไปมากนัก ทุกคนเพียงค้อมตัวคุกเข่าลงอย่างสุขุมก่อนจะทำความเคารพองค์จักรพรรดิในทันทีที่เข้ามายังประตูของท้องพระโรงอันทรงเกียรติแห่งนี้อย่างรู้งานเป็นอย่างมากทำให้เฉินลี่หลินต้องทำความเคารพตามพี่ชายทั้งสองในทันทีเช่นกัน เมื่อรับรู้ได้จากสายตาของเหล่าขุนนางที่มองผ่านร่างบางของนางไปในระยะไกลที่หน้าประตูท้องพระโรง
ในยามปกตินั้นการเข้ามาปรากฏกายต่อหน้าพระพักตร์เจ้าแห่งแผ่นดินอันสูงศักดิ์ทั้งยังเป็นท้องพระโรงอันศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงนี้การปิดบังซ่อนเร้นใบหน้านั้นย่อมนับว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก เสียงขององค์ชายท่านหนึ่งจึงเอ่ยขึ้น
“องค์หญิงคงไม่คุ้นชินกับกฎระเบียบของแคว้นเป่ยฉี กระมังถึงได้ปิดบังซ่อนเร้นคล้ายอำพรางเช่นนี้ ท่านควรเปิดเผยมากกว่านี้หรือไม่” อันที่จริงเขาอยากเห็นใบหน้าของนางว่าจะงดงามปานใด แค่มองดวงตาที่สวยโฉบเฉี่ยวของนางแล้วเขายังใจเต้นระทึกอกสั่นระริกปานนี้ เขาจึงอยากจะมองนางให้มากกว่านั้นก็เท่านั้น
เฉินลี่หลินพลันชะงักเมื่อได้ยินคำกล่าวคล้ายต่อว่ากันฐานไม่รู้กาลเทศะ ในขณะที่พี่ชายทั้งสองของนางในระยะหลายจั้งถึงกับหางคิ้วกระตุกก่อนหรี่ตาเรียวคมดุดันมององค์ชายปากมากผู้นั้นแล้วจดจำใบหน้าเอาไว้
ฮึ่ม! สงสัยอยากมีริ้วรอยตามร่างกาย
หากแต่ฉีเล่อรีบออกตัว “องค์หญิงเฉินลี่หลินเป็นว่าที่เจ้าสาวที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับกระหม่อม”
เขากล่าวคำพลางทอดมองเพียงองค์เหนือหัวผู้มีอำนาจหนึ่งเดียวโดยหาได้ปรายสายตาคมมองไปที่องค์ชายเจ้าของประโยคเมื่อครู่ไม่
เห็นได้ชัดว่าองค์ชายผู้นั้นมิได้อยู่ในสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย
ฉีเล่อเอ่ยต่อ “แน่นอนว่าการปิดบังใบหน้าด้วยผ้าโปร่งสีแดงไม่นับว่าผิดอันใดเนื่องจากนางเดินทางมาในฐานะองค์หญิงเชื่อมสัมพันธ์ที่จะต้องเป็นเจ้าสาวหนึ่งเดียวขององค์ชายรองแห่งแคว้นเป่ยฉีก็คือกระหม่อม การเปิดเผยใบหน้าต่อสาธารณะก่อนงานแต่งจึงไม่จำเป็น” กล่าวจบก็ตีหน้านิ่งเย็นชาเป็นที่สุด เขาช่างแนบเนียนไร้ที่ติในการแก้ตัวเพื่อสตรีข้างกาย
ภายในพระราชวังแห่งนี้นอกจากเสด็จพ่อและเสด็จพี่ที่เป็นองค์รัชทายาทแล้วใครหน้าไหนก็อย่ามากล้าดีกับเขา ฉีเล่อมักเป็นเช่นนี้ ทำเอาองค์ชายผู้นั้นต้องถลึงตาจ้องมองอย่างเอาเรื่องเมื่อถูกหักหน้าต่อทุกคนเยี่ยงนั้น
ฉีเล่อไม่ยินยอมเช่นกัน เขาส่งเพียงหางตามองกลับไปนิ่งๆ แต่ยิ่งเพิ่มบรรยากาศกดดันอยู่โดยรอบได้อย่างไม่น่าเชื่อ
นั่นจึงทำให้บรรยากาศที่แลดูอึดอัดเมื่อครู่ยิ่งเพิ่มความร้อนระอุแบบแปลกๆ
กลิ่นอายเหนือผู้คนไม่ยอมลงให้ใครทั้งนั้นกำลังแผ่กำจายออกจากร่างกายสูงค่าของฉีเล่ออย่างเข้มข้น หากจะบอกว่าองค์เหนือหัวแห่งแคว้นเป่ยฉีน่าเกรงขามมากแล้วกับฉีเล่อย่อมไม่ต่างกัน
เฉินลี่หลินเห็นได้ชัดว่าวังหลวงแห่งนี้น่ากลัวยิ่งนัก แคว้นที่เรืองอำนาจต้องน่ากลัวกันถึงเพียงนี้เชียวหรือ ลักษณะของแคว้นเรืองอำนาจหากจะอยู่ได้คงต้องมีอำนาจเยี่ยงฟ้าเหนือฟ้าเมฆเหนือเมฆเท่านั้น แต่ละคนเห็นได้ชัดว่ามีลักษณะเป็นเช่นไร
นี่นับได้ว่านางกำลังเป็นบุปผางดงามเพียงหนึ่งท่ามกลางหมู่อสรพิษมากมาย หากย้อนเวลากลับไปได้นางจะเข้าวังแคว้นเฉินให้บ่อยกว่านี้อีกสักหน่อยจะได้ชาชินกับบรรยากาศแบบนี้อีกสักเล็กน้อยก็ยังดี
อา...แล้วนางจะรอดชีวิตได้นานหรือไม่
นางควรคิดใหม่เสียแล้ว...
ริมฝีปากสีชมพูอมแดงภายใต้ผ้าโปร่งสีแดงขบเม้มกันแน่นจนแก้มป่องออกมา ถึงแม้ว่าสายตาเรียวสวยจะยังคงคมเฉี่ยวอยู่ก็ตามที
ฉีหยางเซียนฮ่องเต้เพียงปรายสายพระเนตรดำลึกดั่งมังกรทองตัวใหญ่ยามบินอยู่สูงแล้วมองลงมายังพื้นดินเบื้องล่างก่อนตรัสด้วยสุรเสียงทุ้มใหญ่เนิบนาบแต่กลับแผ่อำนาจมากล้น
“เรายินดียิ่งนักที่ได้เกี่ยวดองกับแคว้นเฉิน หวังว่าองค์หญิงจะชมชอบแคว้นเป่ยฉีของเรา”
เฉินลี่หลินรีบปรับอารมณ์หวั่นเกรงแล้วโค้งตัวลงอย่างอ่อนช้อยงดงามเป็นสง่าไม่ให้เสียชื่อแว่นแคว้นก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงแว่วหวานกังวานใส
“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นล้นพ้นเพคะ หวังว่าแคว้นเฉินกับแคว้นเป่ยฉีจะเป็นพันธมิตรสืบไป” นางต้องหมั่นย้ำเสียหน่อยอุตส่าห์ลงทุนลงใจถึงเพียงนี้ นางต้องแต่งงานเชียวนะ
ฉีเล่อปรายสายตามองเฉินลี่หลินอย่างรู้ทัน เฉินลี่หลินปรายหางตามองกลับอย่างยียวนรู้กัน ทั้งสองจึงส่งสายตายียวนประสานกันไม่มีใครยอมใครอย่างลืมตัว
ฮ่องเต้จึงแย้มสรวลบางเบาอันหาได้ยากยิ่งบนใบหน้าเย็นชาพาบรรยากาศอึดอัดเมฆมืดดำพลันเปลี่ยนไปคล้ายบรรยากาศหลังฝนตกฉ่ำเย็นกระนั้น พระองค์คาดไม่ถึงว่าจะมีใครกล้าต่อกรกับฉีเล่อโอรสผู้นี้ของเขา
ฉีเล่อสังเกตเห็นได้ไม่ยากเขาจึงเอ่ย “ทูลเสด็จพ่อ องค์หญิงเดินทางมาไกลคงเหน็ดเหนื่อยมากนัก หากให้องค์หญิงได้พักผ่อนสักหน่อยก่อนงานเลี้ยงต้อนรับยามค่ำนี้น่าจะเป็นการดีพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีหยางเซียนฮ่องเต้ทรงตรัสเชิงเย้าซึ่งหาได้ยากยิ่งเช่นกัน
“ลำบากเจ้าแล้ว ฉีเล่อ...”
“...”
และอีกคราที่เฉินลี่หลินต้องขมวดคิ้วงุนงง นางไม่เคยเข้าใจพวกผู้ใหญ่จริงๆ ว่าระหว่างนางกับฉีเล่อนั้นทำไมทุกคนถึงได้เป็นห่วงเพียงฉีเล่อ…
ภายในตำหนักอันใหญ่โตแห่งพระราชวังเป่ยฉีอันเป็นที่ประทับของฮองเฮาซึ่งจัดเอาไว้สำหรับเป็นที่พักพิงชั่วคราวให้องค์หญิงแคว้นเฉินได้พำนักระหว่างรอพิธีอันเป็นมหามงคลในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า
ฮองเฮาทรงต้องการดูแลว่าที่พระชายาในโอรสคนรองของพระนางด้วยองค์เองจึงทรงมอบตำหนักแห่งนี้ให้เฉินลี่หลินเป็นพิเศษ
“ยามอยู่ในท้องพระโรง ข้าเห็นใครบางคนมือไม้สั่นจนแก้มพองลม” ฉีเล่อเอ่ยเชิงเย้าทับถมเฉินลี่หลินในทันทีหลังจากที่ทั้งสองได้เดินเข้ามายังห้องโถงของตำหนักอันรโหฐานหรูหรา
“อา...ใครคนนั้นคงกำลังหิวมากเป็นแน่” เฉินลี่หลินไม่มีทางยอมรับหรอกว่านางกำลังเกิดอาการจิตตกฉับพลันตอนอยู่ในท้องพระโรงนั่น น่าขายหน้านัก!
“อ้อ...” ฉีเล่อลากเสียงยาว “เช่นนั้นข้าจะจัดอาหารให้มากหน่อย เกรงว่าใครคนนั้นจะไม่อิ่มหนำสำราญ แล้วโมโหหิวขึ้นมา” เขาช่างยียวนได้ตลอดเวลา
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” เฉินลี่หลินเลิกคิ้วเรียวสวยขึ้นสูงลอยหน้าลอยตา “หาไม่แล้ว ใครคนนั้นคงหิวจนตาลายจนอาจจะกลืนกินองค์ชายสูงศักดิ์เข้าไปได้ทั้งตัว”
ฉีเล่อถึงกับชะงักกับคำว่า กลืนกิน
เฉินลี่หลินยังคงไม่รู้ว่าหลุดคำใดออกมาจึงเงยหน้าขึ้นมองบุรุษตรงหน้าแบบเต็มตาทำท่าทางเชิดหน้าเชิดตาน่าชัง
ฉีเล่อยืนนิ่งจ้องมองดวงตาเรียวสวยจมูกเชิดรั้นริมฝีปากสีชมพูอมแดงของสตรีตรงหน้าให้ความรู้สึกคันยุบยิบที่หัวใจ
เฉินลี่หลินยังคงยกยิ้มน้อยๆ แต่มีเสน่ห์มากนักยักคิ้วหลิ่วตาอย่างนึกสนุกเมื่อเห็นฉีเล่อยืนนิ่งจ้องมองมาโดยไร้ซึ่งเส้นเสียงเอ่ยเถียงอันใด
ฉีเล่อยิ่งนึกเข่นเขี้ยวสตรีตรงหน้าขึ้นมาจับใจ เขาควรจะ ต้องไปเร่งรัดกรมพิธีการที่รับผิดชอบการจัดงานมงคลสมรสให้รวดเร็วขึ้นอีกสักหน่อย หาไม่แล้วเขาคงอกแตกตาย
เมื่อคิดได้อย่างนั้นจึงรีบหมุนตัวเดินคล้ายพุ่งร่างออกไปจากตำหนักรับรองแห่งนี้ในทันที
ครานี้เป็นเฉินลี่หลินบ้างที่ต้องมองตามฉีเล่อตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจอันใด
ไยรีบออกไปอย่างนั้น นางแค่ล้อเล่น มิได้หิวจริงๆ เสียหน่อย อะไรกัน!?